เมื่อใจผูกพันกลับกลายเป็นรักต้องห้าม สุดท้ายหลินซูมี่ทำได้เพียงมอบกายแล้วหายไป อย่างนี้แล้วแม่ทัพใหญ่จะทำอย่างไร เมื่อต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับดวงใจที่หนีไป
ดูเพิ่มเติมณ แคว้นหลินอันรุ่งเรือง
ยามนี้ภายในวังหลวงของแคว้นหลิน กำลังเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขึ้นขององค์หญิงตัวน้อยซึ่งเกิดจากฮองเฮา
“อุแว้!! อุแว้!! อุแว้!!”
“โอ๋ เด็กดี ไม่ร้องนะ ดูมารดาของเจ้าสิ นางเหนื่อยขนาดไหนเพื่อคลอดเจ้าออกมา เจ้าก็อย่าส่งเสียงดังรบกวนนางเลยนะ”
ผู้เป็นฮ่องเต้และเป็นพระบิดาขององค์หญิงน้อย กำลังปลอบประโลมทารกน้อยในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน พลางมองไปทางฮองเฮาด้วยแววตาที่หวานชื่นและแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“ไป! อี้กงกง เจ้าจงรีบไปประกาศให้ทั่วทั้งเมืองหลวงรับรู้ถึงการถือกำเนิดของบุตรสาวเรา”
เมื่อกล่อมจนทารกน้อยเงียบเสียงลง ฮ่องเต้ก็หันไปรับสั่งกับกงกงทันที
“น้อมรับพระบัญชา พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นอี้กงกงก็ก้มศีรษะรับคำสั่ง รีบวิ่งไปป่าวประกาศให้ทั่วทั้งวังหลวงตามพระประสงค์ของฝ่าบาท
เมื่อข้าราชบริพารและทางวังหลวงทราบเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็กระจายข่าวอันน่ายินดีนี้ออกไปนอกวัง จนเวลานี้ชาวบ้านทุกคนได้รับรู้กันไปทั่วทั้งแคว้นแล้ว
ขณะเดียวกันก็มีชายร่างสูงใหญ่ รูปร่างกำยำและดูภูมิฐานได้เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนและเอ่ยถามขึ้นมา
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
“อ้าว เจ้ามาแล้วหรือเยวียนสือ ไม่ต้องมากพิธีไปหรอก ข้าบอกแล้วมิใช่หรือไงว่า เมื่ออยู่กันแค่พวกเรา เจ้าก็สนทนากับข้าตามปกติเถิด ศิษย์น้อง”
ฮ่องเต้ตอบด้วยท่าทางสนิทสนม ใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับยื่นทารกน้อยในอ้อมแขนให้ชายตรงหน้าได้ชื่นชม ก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ
“พี่สะใภ้ของเจ้าปลอดภัยดี นางกำลังพักผ่อนน่ะ เรื่องนั้นก็ช่างก่อนเถอะ เจ้ามาดูหลานสาวของเจ้าสิ นางหน้าตาน่ารักน่าชัง จ้ำม่ำยิ่งนัก”
เสวี่ยเยวียนสือชะโงกหน้ามองไปยังทารกน้อยอย่างชื่นชม ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอ่อนโยน อย่างที่ไม่ค่อยมีใครพบเห็นมาก่อน
“หน้าตาช่างละไม้คล้ายคลึงกับพี่สะใภ้สมัยยามวัยเยาว์ยิ่งนัก แล้วท่านให้นางชื่ออะไรหรือศิษย์พี่”
“ข้าให้นางมีนามว่า หลินซูมี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร” ฮ่องเต้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ในยามที่เอ่ยนามของธิดาออกมา
“ผืนป่าอันงดงาม แต่เต็มไปด้วยความลับเช่นนั้นหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยความหมายของชื่อออกมาอย่างผู้รู้ ก่อนจะกล่าวอีกครั้งว่า “เป็นชื่อที่ไพเราะยิ่งนัก แต่ก็แฝงไปด้วยความลึกลับ ข้าคิดว่าเมื่อนางเติบโตขึ้นมา จะต้องทั้งฉลาดและงดงามอย่างมากแน่”
“ฮ่า ๆ ย่อมเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เชื้อสายของข้าและฮองเฮาดีมากขนาดนี้ ลูกเกิดมาก็ย่อมดีไม่ต่างจากบิดาและมารดาหรอก”
ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจพร้อมกับตรัสด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไม่น้อย
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าจะต้องช่วยข้าเลี้ยงเด็กคนนี้ให้ดี เข้าใจหรือไม่”
“เหตุใดข้าจะต้องช่วยท่านเลี้ยงด้วยเล่าศิษย์พี่ ท่านรู้ดีว่าข้าถนัดแต่จับดาบเพื่อรบกับศัตรู ไหนเลยจะถนัดการเลี้ยงเด็กน้อย อีกอย่าง ในวังหลวงก็น่าจะมีแม่นมและเหล่าพระอาจารย์มากมายอยู่แล้ว”
เสวี่ยเยวียนสือถามออกมาอย่างไม่เข้าใจในพระประสงค์ของฮ่องเต้ เนื่องจากในวังมีคนอยู่มากมาย จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจะต้องให้เขาช่วยเลี้ยงดูธิดาคนนี้ด้วย
“เพราะข้าไม่ปรารถนาให้บุตรสาวของข้าอ่อนแอ จนโดนผู้อื่นรังแกได้โดยง่ายอย่างไรละ และข้าไว้ใจเจ้ามากที่สุด”
ฮ่องเต้ตรัสออกมาด้วยสุรเสียงที่จริงจัง ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าคนในวังหลวงคงไม่มีผู้ใดกล้าสั่งสอนนางอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วเมื่อนางถึงวัยที่ต้องเรียนรู้ ข้าจะส่งนางให้เจ้า และเจ้าจะต้องสั่งสอนนางให้เชี่ยวชาญทั้งเรื่องการต่อสู้ วิชาความรู้ และกลยุทธ์พิชัยสงคราม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันนางให้มีชีวิตอยู่ในวังหลวงได้อย่างปลอดภัย เข้าใจหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ขมวดคิ้วทันที เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี คิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ปัญหาที่น่าชวนปวดหัวกำลังจะวิ่งเข้ามาหาตนอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกไป เพราะถึงอย่างไรเสียเด็กน้อยคนนี้ เขาก็มองว่านางเป็นลูกของศิษย์พี่คนหนึ่งเหมือนกัน
“เจ้าลองอุ้มดูสิ เมื่อกี้นางนอนหลับ พอเจ้ามาถึงก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม นี่คงเพราะมีวาสนาต่อกันแน่นอน”
ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างยินดี จากนั้นก็ส่งทารกในอ้อมแขนให้กับศิษย์น้องไปอุ้ม
เมื่อได้อุ้มแล้วเสวี่ยเยวียนสือก็รู้สึกแปลก ๆ เขามองทารกน้อยที่กำลังยิ้มให้ ก็พลอยให้เขายกยิ้มที่ริมฝีปากอย่างลืมตัว พร้อมกับคิดอยู่ในใจ ‘เจ้านี่หรือจะมีวาสนาต่อข้า หลินซูมี่’
จวบจนเวลาผ่านไป ยามนี้องค์หญิงหลินซูมี่มีอายุได้ห้าหนาวแล้ว ฮ่องเต้จึงได้ส่งนางให้กับศิษย์น้องที่พระองค์ไว้ใจที่สุด เพื่อให้ช่วยอบรมสั่งสอนนาง ตามที่เคยตรัสไว้ในวันที่นางลืมตามมาดูโลก
โดยที่พระองค์ไม่เคยทรงทราบเลยว่า การตัดสินใจในครั้งนี้ จะเป็นการผูกเงื่อนตายที่ไม่สามารถคลายได้ให้กับศิษย์น้องของตนเอง และจะนำพาความวุ่นวายมาสู่วังหลวงในอนาคต...
บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวาเมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียวหลินซู
บทที่ 5 การตายขององค์ชายสามตำหนักเจียงฮวา“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลังหากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่าง
บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่างนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงหลินซูมี่ได้หัดชกหุ่นฟาง วันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในวันนี้องค์หญิงก็ต้องกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้อย่างอื่นอีกครั้ง“มี่เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะสอนการใช้กระบี่ ส่วนกระบี่ที่จะให้เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำกายนั้น ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับเจ้าที่ฝึกอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่น ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา”เสวี่ยเยวียนสือกล่าวกับหลินซูมี่อย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นรางวัลในความตั้งใจของนาง เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบกระบี่ออกมามอบให้กับคนตรงหน้า“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม และยื่นมือออกไปรับกระบี่ทันทีที่ได้เห็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก หลินซูมี่ก็รู้สึกหลงใหลกระบี่นี้ไม่น้อยเลย และหลังจากวันนั้นที่ได้รับกระบี่จากเสวี่ยเยวียนสือมา นางก็มักจะนำกระบี่เล่มนี้ติดตัวเสมอสองปีผ่านไป…วันเวลาที่เลยผ่าน ทำให้นางสำเร็จวิชาการต่อสู้หลายแขนงจากแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และในยามนี้เสวี่ยเยวียนสือกำลังจะสั่งสอนวิชากลยุทธ์ทางการทหารให้กับนาง“ศาสตร์วิชาบทกวีและศาสตร์วิชาศิลปะการต่อสู้ เจ้าก็ได้เรียนร
บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนักหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอนความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆจนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อแม้มือเล็กจะถูกเลือ
บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อยระหว่างนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ได้เขียนจดหมายขึ้นมา เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าในการเรียนวันนี้ของหลินซูมี่ให้ฮ่องเต้รับรู้ โดยจะฝากไปกับทหารผู้ติดตามทว่าในตอนที่เขานำจดหมายไปส่งให้ทหารผู้ติดตามขององค์หญิง กลับได้รับแจ้งว่า“รายงานท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องการเรียนขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองขอรับ” ทหารติดตามองค์หญิงรายงานทันที ก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและบ่นออกมาเล็กน้อย“เห้อ...ตั้งแต่ศิษย์พี่มีบุตรสาวคนนี้ ข้ารู้สึกว่าถูกเบียดเบียนเวลาชีวิตไปอย่างมากมายเหลือเกิน”แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจขัดพระบัญชาได้ จึงต้องควบม้าตัวโปรดเพื่อเข้าวังหลวงทันทีเมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวังหลวง ก็ได้ถูกเชิญไปยังห้องทรงพระอักษร โดยที่นั่นมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับรออยู่แล้วหลังจากเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเสียเถอะ แล้วเล่าให้ข้าฟังว่า บุตรสาวของข้า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่อ
บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันทีทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่น
ความคิดเห็น