“เสวี่ยเอ๋อร์! เจ้าจะไม่เข้าไปอำลาเฉียนเฉียนเป็นครั้งสุดท้ายอย่างนั้นรึ”หวังฮูหยินถามออกมาทันที ครั้นนางอำลาบุตรีสาวคนเดียวเป็นที่เรียบร้อย
และนั่นทำให้เสวี่ยเหยารู้สึกตัวจากภวังค์แห่งความคิดและหมกมุ่นเรื่องต่างๆ นานาอยู่ในขณะนั้นขึ้นมาทันใด “ลูกกำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้แล้วเจ้าค่ะท่านแม่”นางตอบหวังฮูหยินกลับไป ใบหน้าอวบอิ่มพยักหน้าขึ้นลงพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาของนาง “ตอนนี้ท่านพ่อก็เหลือแต่เจ้ากับเฉินเอ๋อร์เท่านั้น เสร็จจากฝังเฉียนเฉียนแล้ว เตรียมตัวฝึกมารยาทยอ่างเข้มงวดที่จะต้องนำไปใช้ในราชสำนักหมิ่นเยว่ให้จงหนัก อย่าให้เสียชื่อท่านหญิงใหญ่จากเมืองอูเจี๋ยนเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”หวังฮูหยินกำชับลูกเลี้ยงของนาง “ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ”เสวี่ยเหยาขานรับกลับไปแข็งขัน “นี่ถ้าแม่ของเจ้าไม่จากไปเสียก่อน วันนี้หน้าที่ในการอบรมดูแลเพื่อให้เจ้าเตรียมพร้อมเป็นพระชายาที่ดีคงไม่ใช่ข้าหรอกและถ้าคนแต่งเป็นเฉียนเฉียน น้องของเจ้าไม่สิ้นชีพไปเสียก่อน ข้าจะต้องดีใจมากเป็นแน่แท้”ที่สุดแล้วหวังฮูหยินก็ไม่วายยกบุตรีของนางขึ้นมาเปรียบเทียบกับเสวี่ยเหยาเช่นเดิม ใบหน้างามจากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมลายหายไปโดยพลัน ครั้นได้ยินถ้อยคำเช่นนั้นออกมาจากปากของหวังฮูหยิน ดวงตาแข็งกร้าวลุกโชนขึ้นมาทันที “ที่สุดก็ไม่เคยคิดที่จะอยากให้ข้าได้ดีเกินกว่าเฉียนเฉียนลูกของนางแม้แต่น้อย แต่เอาเถิดอีกไม่นานข้าก็จะเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ภายในวังหลวงและมีฐานะสูงส่งเกินกว่าพวกเจ้าจะแตะต้องข้าได้ ถึงเวลานั้นอย่าหวังเลยว่าข้าจะหวนกลับมาเหยียบจวนนี้อีก!!”เสวี่ยเหยาก่นด่าอยู่ภายในใจพร้อมเสียงของหยางผิงดังขึ้น “เสวี่ยเอ๋อร์เข้าไปหาเฉียนเฉียนสิลูก ใกล้เวลาจะต้องนำน้องไปฝังแล้ว”เสียงของคนเป็นพ่อบอกบุตรีคนโตด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าค่ะท่านพ่อ”ร่างอรชรย่อตัวลงเคารพบิดาพลางก้าวเดินเข้าไปภายในห้องเก็บศพตรงหน้า ครั้นร่างระหงก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกแปรเปลี่ยนไปทันที ดวงหน้างามเชิดขึ้นสูง ดวงตาที่มีแต่หยาดน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลากลับเหือดหายไปจนหมดสิ้นและรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นมาแทนที่เมื่อเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโลงศพที่ถูกปิดสนิทเอาไว้อยู่ในขณะนี้ “เป็นอย่างไรเล่าเฉียนเฉียนน้องพี่ เจ้านอนอยู่ในนั้นมานานหลายวันแล้วรู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง นับจากวันนี้เป็นต้นไปพี่ก็จะไม่ได้เห็นใบหน้าของเจ้าอีกต่อไปแล้ว และเพื่อให้เจ้าได้กลับไปเกิดใหม่มีใบหน้าสวยงามและรูปร่างที่ดี ข้า! สู้อุตสาห์เฟ้นหาจิตรกรฝีมือเยี่ยมมาวาดภาพของเจ้าในชาติหน้าให้ด้วยนะ เอาติดตัวไปด้วยเผื่อเกิดชาติหน้าจะได้ดูดีกว่านี้ และสวยงามกว่าข้าอย่างไรเล่าเฉียนเฉียน”เสวี่ยเหยาพูดพลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ชายเสื้อถูกถลกขึ้นพร้อมม้วนภาพวาดถูกดึงออกมา ก่อนจะชูขึ้นพลางคลี่ออกมาอย่างช้าๆ เพื่อเยาะเย้ยน้องสาวผู้วายชนม์ไปแล้ว “ข้าสนองความต้องการของเจ้าที่อยากเกิดมางดงามดั่งเช่นข้า จึงสั่งให้จิตรกรวาดเจ้าให้งดงามมากมายยิ่งนัก ประดุจท่านทวดหยางเชาเย่วราวเป็นคนเดียวกัน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วตัวจริงของเจ้ามันช่างแตกต่างไปจากในภาพเสียนี่กระไร แต่เอาเถิดเพื่อสนองความใฝ่ฝันที่เจ้าพึงอยากได้ตลอดเวลา ข้าจึงสงเคราะห์ด้วยความเวทนา”พูดพร้อมม้วนภาพวาดดังกล่าวกลับเข้าตามเดิม ครืดดดด!!! สองมือดันฝาโลงออกมาเล็กน้อยเพื่อนำภาพวาดใส่ลงไป ในขณะที่กำลังจะนำภาพวาดวางลงไปภายในโลง เสียงที่นางคุ้นหูเป็นอย่างดีพลันดังขึ้นอยู่นอกประตู “ท่านหญิงใหญ่อยู่ในห้องใช่ไหม! ข้าจะได้เข้าไป”เสียงด้านนอกถามกับบ่าวไพร่ตรงหน้าประตู บานประตูทั้งสองด้านเริ่มขยับไปมาเมื่อคนด้านนอกกำลังจะเข้ามาภายในห้องดังกล่าว ฟิ้ว!!! ม้วนภาพวาดถูกโยนลงไปในโลงอย่างรวดเร็ว พร้อมรีบเลื่อนฝาโลงปิดโดยพลัน ตุบ!!!! ม้วนภาพนั้นถูกโยนลงไปกระทบกับใบหน้าของ หยางเฉียนเฉียนเข้าให้อย่างจัง ฉับพลันใบหน้าที่ปราศจากสีเลือดเจือจางและขาวซีดมาโดยตลอด กลับปรากฏเลือดฝาดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หัวคิ้วเริ่มเคลื่อนไหวไปมาราวกับร่างนั้นกำลังหวนคืนกลับมามีชีวิตฉันใดก็ฉันนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงของแขกผู้มาเยือนดังแทรกขึ้น “คาราวะพี่หญิงใหญ่”เสียงนั้นเรียกหยางเสวี่ยเหยา “เจ้าเองเหรอจิ่วเซียน นึกว่าจะไม่มาล่ำลาเฉียนเฉียนเป็น ครั้งสุดท้ายเสียแล้ว”เสวี่ยเหยาแสร้งทำทีถามกลับไป หญิงสาวร่างบอบบางนามว่าพานจิ่วเซียน บุตรีคนเล็กจากตระกูลขุนศึกของแม่ทัพพานซิ่วอิ๋ง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของ หยางเฉียนเฉียนเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ปากกระจับได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ กลับมา “เหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงพูดเช่นนั้น ข้ากับเฉียนเฉียนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก เมื่อเพื่อนรักจากไปก่อนวัยอันควรเช่นนี้ย่อมต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว ข้าก็แค่มาช้าไปหน่อยเพราะเพิ่งกลับจากแดนเหนือ พอล่วงรู้ข่าวก็รีบมาทันที” เสวี่ยเหยาคลี่ยิ้มเหยียดครั้นได้ยินเช่นนั้น “ก็คงจะมีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่สามารถเป็นเพื่อนสนิทของเฉียนเฉียน เพราะน้องสาวของข้าผู้นี้หามีผู้ใดอยากคบหาเป็นมิตรสหายด้วยนิสัยส่วนตัวของนาง เจ้าเองก็น่าจะล่วงรู้ดีกว่าผู้ใดว่าเพื่อนของเจ้าเป็นเช่นไรมิใช่รึ”เสวี่ยเหยาพูดเหน็บกลับไป และนั่นทำให้จิ่วเซียนแสยะยิ้มออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “ข้าและพี่หญิงใหญ่ต่างก็ล่วงรู้ดีว่าเฉียนเฉียนเป็นอย่างไรพอๆ กันนั่นแหละ เช่นเดียวกันข้าและเฉียนเฉียนต่างก็ล่วงรู้ดีว่าท่านเป็นอย่างไงเหมือนกัน จะว่าไปแล้วการจากไปของเฉียนเฉียน ในครั้งนี้ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดกว่าผู้ใดก็คือพี่หญิงใหญ่มิใช่รึ! ท่านจะได้แต่งงานกับรัชทายาทแทนเพื่อนของข้า เพราะถึงอย่างไรแล้วท่านเจ้าเมืองไม่ปฏิเสธงานสมรสพระราชทานในครั้งนี้ไปได้หรอก ในเมื่อยังเหลือท่านอยู่อีกคน”จิ่วเซียนตอบกลับไปดั่งรู้เท่าทันอีกฝ่าย ใบหน้าสวยเชิดหน้าขึ้นสูงพร้อมปรายสายตามองเด็กสาวร่างเล็กซึ่งอ่อนวัยกว่านางสองปี ร่างงามระหงเดินออกจากโลงศพมาอย่างช้าๆ มาหยุดยืนมองอยู่ตรงหน้า ต่างฝ่ายเผชิญหน้ากันในระยะใกล้ชิดเพียงแค่ลมหายใจเป่ารดปลายจมูก “ข้าไม่ใช่ตัวแทนที่มีไว้เผื่อเลือก แต่ข้าคือตัวจริงมาตั้งแต่คราแรกอยู่แล้ว เจ้าเองก็ล่วงรู้ดีว่าที่เฉียนเฉียนได้เข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้กับองค์รัชทายาทเพราะเพื่อนของเจ้าเข้าไปอาละวาดกับท่านพ่อและท่านแม่ หลงลืมเหตุการณ์วันนั้นไปแล้วรึ เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยมิใช่รึ”หยางเสวี่ยเหยาพูดย้ำเตือนความจำให้แก่อีกฝ่ายได้หวนคำนึง และถ้อยคำดังกล่าวทำให้พานจิ่วเซียนย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนก่อนได้ขึ้นมาทันที ในวันแรกที่พระบรมราชโองการของเฉินหย่งกงมาถึงจวนเจ้าเมืองหวังฉิงชวนส่ายหน้าไปมาเป็นพัลวัน “มะ...ไม่มี...ไม่มีอะไรจ๊ะ..เมื่อกี้หนูเผลอนอนหลับแล้วเกิดฝันร้ายเท่านั้นเอง”หญิงสาวพูดปดตอบกลับไป “อ่อ...เช่นนั้นรึ”เสียงทุ้มพูดเบาๆ อยู่ในลำคอพร้อมก้าวเข้ามาในห้องนอน ตรงมายังเตียงไม้ไผ่พลางวางอ่างน้ำที่ทำจากไม้สนลงตรงขอบเตียง “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการเพื่อนำมาส่องให้เห็นใบหน้า ข้านำมาให้แล้ว”ชายหนุ่มเจ้าของกระท่อมบอกฉิงชวน “ห๊ะ! นี่นะเหรอกระจก”หญิงสาวพูดออกมาทันทีครั้นได้ยินว่าอ่างไม้ขนาดย่อมที่บรรจุน้ำอยู่กว่าครึ่งเป็นกระจกที่เธอร้องเรียกหาเมื่อครู่ที่ผ่านมา “เข้าใจไม่ผิดหรอกว่าอ่างน้ำตรงหน้าเจ้าสามารถสะท้อนเงาใบหน้าให้เห็นได้อย่างชัดเจน ข้าลงไปตักน้ำจากแอ่งมรกตนำมาให้เจ้าได้ส่องใบหน้าเลยเชียวนะ เพราะน้ำในแอ่งดังกล่าวใสแวววาวจนสามารถมองเห็นทะลุไปจนถึงก้นแอ่ง ไม่เชื่อก็ลองดูสิ”ชายหนุ่มอธิบายกลับไป หวังฉิงชวนนั่งมองอ่างที่ทำจากไม้ซึ่งถูกขัดจนราบเรียบขึ้นเป็นเงา เธอค่อยๆ ชะโงกหน้าก่อนจะก้มลงมองเงาที่สะท้อนให้เห็นบนผิวน้ำที่ใสแวววาวจนสามารถล่วงรู้ว่า ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้หาใช่สาวสวยระดับตัวท็อปของคณะศิลปะการแสดงจากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์
“เฉียนเฉียน!”เสียงของดวงวิญญาณตรงหน้าเรียกชื่อของเธออย่างชัดเจน ห๊ะ! หวังฉิงชวนได้แต่ส่งเสียงออกมาเพียงเท่านั้น หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นดวงวิญญาณของคนตายเป็นครั้งแรกในชีวิต ร่างตรงหน้ามาในสภาพที่เคยมีชีวิต ใบหน้าแม้จะกลมแต่ก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ปากนิด จมูกหน่อยแต่ที่โดดเด่นนั่นก็คือดวงตากลมโตดั่งตากวาง และร่างที่อวบสมบูรณ์ไปทุกส่วนมาพร้อมกับผิวขาวอมชมพูเนียนสวยน่ามองอย่างยิ่งยวด ถึงแม้จะแลดูเจ้าเนื้ออวบอ้วน แต่มีเค้าโครงความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร หากเจริญวัยอย่างเต็มที่นับเป็นหญิงงามเลื่องชื่ออย่างหาตัวจับยากเลยทีเดียว “ธะ..เธอ...เธอเป็นใคร!!!”หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงดวงวิญญาณดังกล่าวตอบกลับมา “ข้าคือหยางเฉียนเฉียน เจ้าของร่างที่เจ้ากำลังสถิตอยู่ในขณะนี้” “อะไรนะ!”ฉิงชวนอุทานออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมาติดต่อกันด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยินจากปากของดวงวิญญาณที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ไม่จริง! สิ่งที่ฉันได้ยินไม่ใช่เรื่องจริง! มันจะต้องไม่ใช่เรื่องจริง!”หญิงสาวยังคงยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง “แต่ทุกสิ่งที่เจ้าได้ยินคือเรื่องจริงทั้งสิ้น”เ
หุบเขามรกตบริเวณกระท่อมน้อย ภายในเกาะมรกตมีภูเขาสูงเสียดฟ้าทอดตัวยาวขนานไปตามความกว้างของแนวเกาะ ลึกลงไปมีหุบเขาและถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีบ่อน้ำทองคำที่สามารถแปรสภาพได้ทุกสิ่งให้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่าม และยังมีหินงอกหินย้อยมากมายสวยงาม อัดแน่นไปด้วยหยกสูงค่าและหินสีเขียวมรกต บริเวณด้านนอกถ้ำมีน้ำตกไหลจากหุบเขาสูงลงมาเบื้องล่าง สะสมน้ำจืดเอาไว้เป็นแอ่งขนาดใหญ่ลึกลงไปหลายสิบเมตรเลยทีเดียว สีของน้ำเป็นสีเขียวมรกตเช่นเดียวกัน ใสแจ๋วจนสามารถเห็นก้นแอ่งได้เป็นอย่างดีว่ามีแต่หินเบื้องล่างมากมาย ซึ่งมีทั้งหินธรรมดาและหินสูงค่านานาชนิด ภายในบริเวณดังกล่าวปรากฏกระท่อมหลังน้อย ทำจากไม้ไผ่ขนาดกำลังพอดี มีลานกว้างซึ่งเป็นโขดหินยกสูงขึ้นเป็นตัวกระท่อม มีบันไดสำหรับก้าวขึ้นประมาณห้าขั้น ซ้ายมือคือเรือนนอนและห้องหนังสือ ขวามือคือโรงครัวแบบเปิดโล่ง และระเบียงด้านนอกชานยื่นออกไป เต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาพรรณส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ฝีมือการสร้างกระท่อมที่ทำจากไม้ไผ่บ่งบอกได้ว่ามีฝีมือดุจช่างไม้เจนประสบการณ์ก็มิปาน ภายในห้องนอนซึ่งมีเตียงไม้ไผ่ยกขึ้นจากพื้
ในขณะเดียวกัน บริเวณกลางทะเล แพน้อยล่องลอยไปตามกระแสคลื่นและแรงลมพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย มิรู้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานเพียงใด ฝ่าแสงแดดอันร้อนระอุในเวลากลางวันและความเย็นย่ำในเวลากลางคืน จวบจนกระทั่งแพดังกล่าวลอยเคว้งคว้างมาจนถึงเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวทางทิศใต้ มีเมฆหมอกลอยต่ำปกคลุมอยู่ตลอดเวลามิเคยจางหายจนเรือล่องกลางทะเลมากมายแล่นผ่านเลยไปมิเคยแวะจอดเลยสักคราด้วยถูกซ่อนเร้นสายตาจากผู้คนจากสายหมอกทะมึนเหล่านั้น อีกทั้งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมิปรากฏอยู่ในแผนที่ของเส้นทางการค้าขายทางทะเลแต่อย่างใด โดยหารู้ไม่ว่าเกาะดังกล่าวแท้จริงแล้วคือเกาะเฟซ่วยต้าว หรือเกาะมรกตที่ชาวเรือและแคว้นน้อยใหญ่ที่มีดินแดนแถบชายฝั่งต่างเฝ้าค้นหามานานนับหลายพันปี เกาะที่ขึ้นชื่อได้ว่าทุกแห่งในพื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์อีกทั้งสวยงามดั่งดินแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า และยังมีบ่อน้ำที่แปรเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นทองคำไปชั่วพริบตา สร้างความมั่นคั่งให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครองอย่างยิ่งยวด และยิ่งไปกว่านั้นภายในถ้ำซึ่งอยู่ในหุบเขาบนเกาะมรกต จะมีถ้ำบางแห่งที่มีแต่หินหยกสูงค่ามากมายอัด
บริเวณด้านหน้าเกาะ เรือลำใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้องและเครือญาติที่เดินทางมาร่วมพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน เทียบเรือลงจอดอยู่บริเวณด้านหน้าเกาะทยอยขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะจวนเจียนใกล้จะถึงเวลาฝังศพเข้าไปทุกขณะแล้ว สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปยังหลุมฝังศพซึ่งขุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่นำโลงลงไปเพียงเท่านั้น ทันทีที่มาถึงทุกคนต่างพากันผงะถอยหลัง หยุดชะงักด้วยกันทุกคนด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ บรรดาชายฉกรรจ์แต่ละคนที่มีหน้าทีเกี่ยวกับพิธีการของศพต่างพากันใช้ผ้าปิดจมูกกันไว้ทุกคน “ทำไมเฉียนเฉียนส่งกลิ่นแรงนักละ ตอนออกมาจากจวนยังไม่มีกลิ่นถึงขนาดนี้เลย”พานจิ่วเซียนถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมยกชายแขนเสื้อปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน “มิทราบเช่นกันขอรับว่าเหตุใดศพของท่านหญิงเฉียนเฉียน จึงส่งกลิ่นรุนแรงเช่นนี้พอเรือแล่นผ่านมาได้สักระยะก็เริ่มส่งกลิ่นออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ขนาดดอกไม้หวนคืนยังไม่สามารถกลบกลิ่นได้อีกเลย”เสียงของชายซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คอยดูแลจัดการงานศพอธิบายกลับไป ครั้นเสวี่ยเหยาได้ยินเช่นนั
ขบวนเรือฝังศพ ภายในเรือขนาดใหญ่จำนวนสองลำ ปรากฏโลงศพของ หยางเฉียนเฉียน ตั้งวางไว้อยู่บนเรือคลุมด้วยผ้าขาวปิดฝาโลงเอาไว้อย่างมิดชิด เตรียมพร้อมบ่ายหน้านำไปฝังบนเกาะเฉิงไห่ ซึ่งเป็นเกาะที่ตระกูลหยางครอบครองมาอย่างช้านาน กำลังลอยลำมุ่งหน้าไปยังสุสานประจำตระกูล โดยมีเรืออีกหนึ่งลำตามหลังไปซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพ่อแม่ พี่น้องและญาติสนิทของผู้ตายตามไปทำพิธีฝังศพให้ถูกต้องตามประเพณี ในขณะที่ที่เรือขนศพล้วนแล้วแต่มีชายฉกรรจ์คอยดูแลทั้งสิ้น เครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ ถูกนำไปที่สุสานก่อนหน้านี้แล้วเพื่อรอบรรจุลงไปพร้อมกับโลงในวันทำพิธีฝัง ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพ่อและแม่ยังคงมองตามโลงที่บรรจุร่างอันไร้วิญญาณของบุตรสาว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองและเสียใจต่อการจากไปของหยางเฉียนเฉียนไม่คลาดครา หากแต่กลับมีดวงตาอีกหนึ่งคู่ที่จ้องเรือขนศพลำดังกล่าวที่ลอยลำอยู่เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ ด้วยเพราะความแค้นฝังรากหยั่งลึกมานานนับตั้งแต่จำความได้ “แม้เจ้าจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกฝังร่างลงดินอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษในสุสานเดียวกันเป็นอันขาด คนเช่นเจ้า