ยุคจ้านกว๋อ
แคว้นหมิ่นเยว่ ดินแดนอันมีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเลนับแสนหมู่ จนสุดอาณาจักรโคกูรยอทางตอนเหนือ มีหมู่เกาะมากมายอยู่ภายใต้การปกครอง มีทั้งเกาะรกร้างและเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่ รวมไปถึงเกาะที่เป็นดินแดนแห่งคนเถื่อน แคว้นหมิ่นเยว่ถูกราชวงศ์เฉินปกครองมาอย่างยาวนานกว่าสองร้อยปี มีเจ้าผู้ครองแคว้นขึ้นปกครองมาแล้ว 14 พระองค์ จนมาถึงรัชสมัยของเฉินหย่งกงซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นลำดับที่ 15 ของราชวงศ์เฉิน เฉินหย่งกงหรือพระนามเดิมว่าเฉินอวี้ ทรงมีพระนางอี้ซิน องค์หญิงจากแคว้นหยางมาเป็นฮองเฮาเคียงข้างพระวรกาย และยังมีฟูเหรินอีกสี่พระองค์ โดยอี้ซินฮองเฮาทรงประสูติพระราชโอรสทั้งสิ้นห้าพระองค์ โดยองค์ชายสี่เฉินจิ้นและองค์ชายห้าเฉินคังเป็นพระโอรสฝาแฝด ซึ่งมีรูปโฉมประดุจพิมพ์เดียวกันหล่อเหลาจนแยกไม่ออกเลยทีเดียว จวบจนกระทั่งเหล่าพระโอรสเจริญพระชันษา เฉินหย่งกงสถาปนาองค์ชายใหญ่เฉินเจี๋ย ดำรงตำแหน่งรัชทายาท ขึ้นครองแคว้นสืบต่อไป หากแต่องค์ชายใหญ่ครองตำแหน่งรัชทายาทได้เพียงปีครึ่งก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน สาเหตุมาจากเสวยน้ำจัณฑ์มากจนตกสระน้ำภายในตำหนักของพระองค์ จมน้ำสิ้นพระชนม์ไปอย่างน่าเคลือบแคลง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะองค์ชายใหญ่ทรงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสุราพันจอก พระองค์ไม่เคยเมามายแม้แต่ครั้งเดียว และนับจากองค์ชายใหญ่เป็นต้นมา บรรดาพระโอรสของเฉินหย่งกงทยอยสิ้นพระชนม์ห่างกันเพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้น องค์ชายรองเฉินฟู่สิ้นพระชนม์หลังจากองค์ชายใหญ่เพียงแค่สองปี ทันทีที่เฉินหย่งกง ทรงให้องค์ชายรองขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาทสืบต่อไป และสาเหตุที่สิ้นพระชนม์นั่นก็คือ ทรงบรรทมไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกเลย นำพาความสงสัยให้เหล่าหมอหลวงอย่างยิ่งยวด หลังจากองค์ชายรองสิ้นพระชนม์ลงเพียงหนึ่งปี องค์ชายสามเฉินเหย่าก็สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหันก่อนหน้าจะมีพิธีแต่งตั้งเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ด้วยสาเหตุมาจากเทศกาลล่าสัตว์ประจำปี พระองค์ถูกลูกธนูขององค์ชายห้าเฉินคังยิงเข้าทะลุหัวใจด้วยคิดว่าเป็นกวางป่า ขณะที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างร่วมเทศกาลล่าสัตว์ด้วยกันทั้งสิ้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้องค์ชายห้าเฉินคังถูกเนรเทศให้ไปอยู่ดินแดนอู๋อี๋ซานเพื่อสำนึกตนที่กระทำความผิดและห้ามกลับคืนสู่แคว้นหมิ่นเย่ว หากไม่มีพระบัญชา เพื่อให้ล่วงรู้ว่าได้กระทำผิดมหันต์ครั้งยิ่งใหญ่จากการกระทำของพระองค์ ซึ่งได้ชื่อว่าเจตนาลอบปลงพระชนม์พระเชษฐาเพื่อหมายปองราชบัลลังก์ จึงทำให้เหลือองค์ชายสี่เฉินจิ้นเท่านั้นที่ยังคงอยู่และไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เฉินหย่งกงจึงมีดำริที่จะแต่งตั้งองค์ชายเฉินจิ้น ให้ครองตำแหน่งรัชทายาทครองแคว้นสืบต่อไป ทว่าพิธีแต่งตั้งกลับยังมิถูกจัดขึ้น เมื่อเฉินหย่งกง ทรงพบเงื่อนงำบางอย่างทำให้พระองค์เกิดความสงสัยจึงมีพระบัญชาให้กรมอาญาตามสืบร่องรอยสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระโอรสทั้งสามในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่างเป็นความลับ พร้อมทรงมีพระบัญชาให้นำองค์ชายเฉินคังกลับแคว้น เพื่อทำการไต่สวนคดีลอบปลงพระชนม์องค์ชายสามที่มีคำสั่งให้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ หากแต่ยังมิทันที่องค์ชายเฉินคังจะได้เสด็จกลับมา ก็มีข่าวส่งมาจากดินแดนอู๋อี๋ซานว่าองค์ชายห้าประชวรด้วยโรคจั้งชี่ ซึ่งก็คือไข้จับสั่น ซึ่งเป็นโรคระบาดที่น่ากลัวและรุนแรงมากในยุคสมัยจีนโบราณ โดยจะมีอาการหนาวสั่น ไข้สูง และเหงื่อออกมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย ระบาดโดยการถูกยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ซึ่งก็คือไข้จับสั่นนั้นเอง ซึ่งตอนนี้ดินแดนอู๋อี๋ซาน กำลังระบาดหนักอย่างรุนแรง จั้งซี่หรือไข้จับสั่นน่ากลัวและรุนแรงมากคร่าชีวิตผู้คนล้มตายไปนับหมื่นนับแสนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนดินแดนอู๋อี๋ซานซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดโรคระบาดกลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างไปในชั่วพริบตา ผู้คนล้มตายไม่มีรอดชีวิตรวมไปถึงองค์ชายเฉินคังจากแคว้นหมิ่นเย่วก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้เหลือองค์ชายสี่เฉินจิ้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่รอด และองค์ชายหนุ่มจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชทายาท ภายหลังเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับธิดาเจ้าเมืองอูเจี๋ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมืองอูเจี๋ยน จวนเจ้าเมือง เสียงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจดังระงมไปทั่วบริเวณจวนเจ้าเมือง เมื่อธิดาคนรองนามว่าหยางเฉียนเฉียน จู่ๆ ก็สิ้นชีพลงอย่างกะทันหัน ในสภาพกำลังนอนหลับใหลภายในห้องนอนส่วนตัว โดยท่านหญิงใหญ่หยางเสวี่ยเหยาเป็นผู้เข้าไปพบเห็นเป็นคนแรก ซึ่งหมอประจำจวนเจ้าเมืองได้ลงความเห็นว่า ท่านหญิงรองหยางเฉียนเฉียน หลับใหลจนสิ้นชีพไปเอง ภายในห้องเคารพศพบริเวณกลางห้อง ปรากฏโต๊ะสำหรับวางป้ายวิญญาณตั้งไว้เพื่อให้ผู้คนมากมายที่ทยอยเดินทางมาร่วมงานศพดังกล่าวได้คาราวะผู้ตายและร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนำไปฝังไว้ที่สุสานซึ่งจัดเตรียมเอาไว้ ถัดจากโต๊ะวางป้ายวิญญาณมีห้องกั้นระหว่างกลางตั้งโลงศพขนาดใหญ่ทำจากไม้เนื้อดีเอาไว้ ภายในโลงถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดีเพื่อมองให้เป็นสถานที่ผู้ตายได้นอนหลับไปชั่วนิรันดร์ ดอกไม้นานาพรรณนำมาวางไว้ล้อมรอบโลงเพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงปรารถนาซึ่งจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า ตามประเพณีของเมืองอูเจี๋ยน วันแรกของคนตายจะวางศพเอาไว้ในโลงโดยจะยังไม่นำฝาโลงมาปิด เปิดเผยศพให้แก่ญาติพี่น้องของผู้ตายได้เห็นหน้าเพื่อสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำฝาโลงมาปิดให้สนิทในรุ่งอรุณถัดไป และเพื่อป้องกันกลิ่นมิให้รบกวนที่อาจจะมีขึ้นในวันแรกของซากศพ จึงนิยมจัดวางดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานาชนิดอัดแน่นล้อมรอบไปทั่วบริเวณเพื่อดูดซับกลิ่นดังกล่าว โดยจะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่าดอกหวนคืนซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นได้เป็นอย่างดี มีดอกขนาดใหญ่และมีสีขาวหอมเย็นๆ และจะส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน แต่ช่วงกลางวันจะทำหน้าที่ดูดซับกลิ่นรอบบริเวณกักเก็บเข้าไปไว้ในตัวดอกเอาไว้จนหมดนิยมนำมาใช้ประดับในงานศพของยุคนั้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าดอกไม้หวนคืนปัจจุบันสูญพันธุ์ไปหมดสิ้นแล้ว ร่างอันไร้วิญญาณของเด็กสาวในวัยที่กำลังจะเข้าพิธีปักปิ่น นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพขนาดใหญ่ที่ยังมิได้นำฝาโลงมาปิด ด้วยนางเพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อช่วงเช้าตรงกับยามเฉิน จนถึงขณะนี้ยามเซินทุกสิ่งทุกอย่างภายในจวนเจ้าเมืองอูเจี๋ยนถูกแปรเปลี่ยนจากงานที่ผู้คนต่างทยอยมาร่วมงานในพิธีปักปิ่นของหยางเฉียนเฉียน ธิดาสาวคนรองของเจ้าเมืองอูเจี๋ยนนามว่าหยางผิง ทว่าจากงานมงคลกลับแปรเปลี่ยนต้องจัดงานศพขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อสาวน้อยเจ้าของพิธีดังกล่าวสิ้นชีพลงอย่างมิรู้สาเหตุ พร้อมข่าวลือภายในจวนแพร่สะพัดไปทันทีว่า หยางเฉียนเฉียนฝ่าฝืนคำทำนายของโหรหลวงประจำเมือง ที่เคยทำนายเอาไว้ว่า หยางเฉียนเฉียนจะต้องตายหากแต่งงานเมื่อมีอายุถึงวัยเข้าพิธีปักปิ่น ซึ่งท่านหญิงรองของจวนมิเชื่อคำทำนายของโหรหลวงดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อเฉินหย่งกง เจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเยว่มีพระบรมราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้แก่องค์รัชทายาทกับธิดาของเจ้าเมืองอูเจี๋ยน ซึ่งหยางผิงคือเจ้าเมืองคนปัจจุบันมีธิดาด้วยกันสองคน คือท่านหญิงใหญ่หยางเสวี่ยเหยา วัย 17 ปีเกิดจากภรรยารองและหยางเฉียนเฉียน วัย 15 ปีซึ่งเกิดจากภรรยาเอก และแน่นอนว่าเจ้าเมืองหยางผิงเลือกธิดาคนใดคนหนึ่งให้เข้าพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งเฉินหย่งกงพระราชทานให้ในครั้งนี้และจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ท่านหญิงรองหยางเฉียนเฉียน ที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องในหลักของการสืบสานทางจารีตประเพณี ที่จะต้องเลือกบุตรซึ่งเกิดจากภรรยาเอกมาก่อนเสมอไม่ว่าเรื่องอะไรในทั้งสิ้น บุตรอันเกิดจากภรรยาลำดับถัดไปจะถูกนำมาพิจารณาหลังจากมีการเลือกเฟ้นจากบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกเสร็จสิ้นแล้ว หากแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าสมรสพระราชทานในครั้งนี้ สร้างความคับแค้นใจให้กับหยางเสวี่ยเหยา ซึ่งมีฐานะเป็นท่านหญิงใหญ่ของจวน ซึ่งเกิดจากภรรยารองอย่างยิ่งยวด เพียงเพราะคำว่าเกิดเป็นลูกเมียรอง จึงทำให้นางแลดูต่ำต้อยด้อยค่ากว่าน้องสาวและน้องชายที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งตระกูลหยางเลือกให้แต่งเข้าจวนเพราะหวังฮูหยินเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฉินหย่งกงเจ้าผู้ครองแคว้น ในขณะที่ท่านแม่ของเสวี่ยเหยาเป็นเพียงสตรีจากตระกูลชนชั้นคหบดีเข้าขั้นในระดับมหาเศรษฐีของเมืองอูเจี๋ยนเลยทีเดียว พื้นเพดั้งเดิมมาจากครอบครัวชาวประมงและเติบโตจนมีกิจการขยายออกเป็นวงกว้างขึ้นในภายหลัง แต่ถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใดตระกูลหยางเลือกเฟ้นสตรีที่จะแต่งเข้าจวนนั้นจะต้องมาจากชนชั้นขุนนางด้วยกันเท่านั้น แม้ว่าหยางผิง เจ้าเมืองอูเจี๋ยนจะรักท่านแม่ของเสวี่ยเหยามากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็มิอาจขัดกฎของตระกูลได้ จากคนที่มาก่อนกลับกลายเป็นเพียงรองและอยู่ในฐานะที่สองมาโดยตลอดจวบจนถึงรุ่นลูก ก็ยังต้องเป็นที่สองอยู่ร่ำไป เป็นเหตุให้เสวี่ยเหยาพกพาความคับแค้นใจอย่างยิ่งยวด ต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้นางหลุดพ้นจากคำว่าลูกเมียรองและไม่ต้องการเป็นที่สองอีกต่อไป ดังนั้นหากนางได้ขยับฐานะขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นหมิ่นเยว่ และครองตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า ชีวิตของนางจะมีฐานะสูงส่งยิ่งกว่าผู้ใดและไม่ต้องก้มหัวฟังใครอีกต่อไปนับต่อจากนี้ คำว่าที่สองจะหลุดพ้นไปจากชีวิตของนางทันที และนั่นจึงเป็นที่มาของความตายซึ่งหยางเฉียนเฉียน จะต้องประสบชะตากรรม นอกจากความเสมอภาคระหว่างลูกเมียรองและเมียเอกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากนิสัยส่วนตัวของ หยางเฉียนเฉียนก็ด้วยเช่นกัน ภายใต้คราบน้ำตาของท่านหญิงรองซึ่งคนภายนอกมิล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรนางมิได้มีนิสัยอ่อนโยนหรือเกิดจากความอ่อนแอแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหยางเฉียนเฉียนแม้จะมีอายุเพียง 15 ปี แต่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยอุบายมากมาย อีกทั้งยังมีนิสัยขี้อิจฉาและมีความริษยาฝังลึกอย่างรุนแรง นางอิจฉาเสวี่ยเหยาที่มีหน้าตางดงามและรูปร่างอรชรต้องตาต้องใจบุรุษเพศเป็นยิ่งนัก ในขณะที่เฉียนเฉียนกลับเจ้าเนื้ออวบอ้วนค่อนข้างไปทางตุ้ยนุ้ย ความงดงามถูกบดบังเพราะความเจ้าเนื้อของนางเป็นเหตุ และมีนิสัยชอบแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของเสวี่ยเหยาไปเป็นของตนเองมากที่สุด และทันทีที่หยางเฉียนเฉียนล่วงรู้ว่าเฉินหย่งกง ทรงมีพระประสงค์มอบสมรสพระราชทาน เพื่อมีสัมพันธ์ไมตรีเป็นทองแผ่นดินเดียวกันกับเมืองอูเจี๋ยนซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญติดทะเล จุดประสงค์ก็เพื่อขยายดินแดนของแคว้นหมิ่นเยว่ให้ขยายกว้างออกไปจนสุดขอบชายฝั่งทางทะเลทั้งหมด อีกทั้งเพื่อทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าเมืองอูเจี๋ยนซึ่งเป็นพระสหายในวัยเยาว์ชันษาและยังมีมิตรภาพต่อกันด้วยดีเสมอมา ดังนั้นสมรสพระราชทานจึงบังเกิดขึ้น ซึ่งเดิมทีหยางผิงจะให้เสวี่ยเหยาธิดาคนโตอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาทเพื่อเป็นหน้าตาของตระกูล ด้วยบุตรีผู้นี้ขึ้นชื่อได้ว่างดงามอย่างยิ่งยวดเป็นที่หมายปองของบุรุษและองค์ชายต่างแคว้นมากมาย และเพื่อมิให้คำนายของโหรหลวงประจำเมืองกลายเป็นเรื่องจริง ด้วยสมรสพระราชทานในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงปีที่บุตรีคนรองกำลังจะเข้าพิธีปักปิ่นด้วยเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้หยางผิงเลือกที่จะให้บุตรีคนโตของตนเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายเฉินจิ้นที่มีตำแหน่งว่าที่องค์รัชทายาท ซึ่งจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเย่วสืบต่อไปเบื้องหน้า และด้วยเหตุดังกล่าวทำให้เฉียนเฉียนไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ที่พี่สาวต่างแม่จะได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท นางจึงร้องขอบิดาอาสาทำหน้าที่กตัญญูต่อตระกูล ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของลูกที่เกิดจากเมียเอกต้องพึงได้รับเป็นอันดับแรกก่อนจะไปตกไปถึงลูกเมียรอง โดยมิรู้ตัวเลยว่า วอนหาความตายเข้าหาใส่ตัวเพราะความริษยาของนางเป็นเหตุ ทำให้เสวี่ยเหยาลงมือสังหารน้องสาวตัวเองจนตายคามือ หยางเฉียนเฉียน จึงเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่หยางเสวี่ยเหยา ลงมือปลิดชีพน้องสาวของตัวเอง แรงเกลียดและความชิงชังที่เก็บกดอยู่ภายในใจมีมากล้นพ้นทวีที่น้องสาวต่างแม่มีนิสัยต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง ความคั่งแค้นถึงขนาด ปลอมลายมือเขียนบันทึกเหตุการณ์ของเมืองอูเจี๋ยน เพื่อใส่ร้ายน้องสาวต่างแม่ให้นางเลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม และเพราะความอำมหิตโหดเหี้ยมของนางจึงทำให้พบจุดจบของชีวิตอย่างไม่คาดฝัน ในวันที่หยางเฉียนเฉียนตาย ข้าทาสบริวารภายในจวนเจ้าเมืองต่างยินดีกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว มีเพียงเสียงร่ำไห้ของหวังฮูหยินเท่านั้น ร่ำร้องคร่ำครวญต่อการจากไปของบุตรีอย่างยิ่งยวด ด้วยเด็กสาวต่อหน้าพ่อและแม่รวมไปถึงคนภายนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ล่วงรู้แต่เพียงว่าหยางเฉียนเฉียนเป็นคนเฉลียวฉลาดและรอบรู้ทุกด้าน สามารถบริหารเมืองช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่หยางผิงมากมายยิ่งนัก รวมไปถึงคอยช่วยเหลือชาวเมืองอูเจี๋ยนตลอดเวลา ซึ่งเสวี่ยเหยาก็ล้างแค้นน้องสาว โดยการนำบันทึกปลอมไปสลับวางไว้กับบันทึกเหตุการณ์เมืองของจริง โดยติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลหอจดหมายของเมืองอูเจี๋ยน ด้วยเพราะเหตุนี้บันทึกเหตุการณ์ปลอมดังกล่าว จึงทำให้ หยางเฉียนเฉียน เป็นสตรีที่ร้ายกาจจากที่ร้ายอยู่แล้วยิ่งร้ายมากขึ้นไปกว่าเดิมนับเท่าทวีคูณ และแน่นอนว่าภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน จวนเจ้าเมืองอูเจี๋ยนจะมีพิธีมงคลกลบร่องรอยความโศกเศร้าเสียใจเข้ามาแทนที่ ด้วยสมรสพระราชทานระหว่างว่าที่องค์รัชทายาทองค์ชายเฉินจิ้นและหยางเสวี่ยเหยา ที่ทำทุกอย่างจนนางได้สิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองกลับคืนสมดั่งใจหวัง “อีกหนึ่งชั่วยามเคลื่อนขบวน! เชิญญาติพบคนตายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่ออำลา!!”เสียงตะโกนดังก้องออกมา ด้วยถึงวันที่จะต้องนำหยางเฉียนเฉียน เดินทางไปยังสุสานประจำตระกูลซึ่งอยู่บนเกาะเฉิงไห่ อันเป็นสถานที่ใช้สำหรับเป็นสุสานฝังศพของคนในตระกูลหยางนั่นเอง เจ้าเมืองหยางผิงประคองหวังฮูหยินเข้าไปภายในห้องเก็บศพของหยางเฉียนเฉียนเพื่ออำลาครั้งสุดท้าย โดยมีสายตาของเสวี่ยเหยามองตามหลังพร้อมรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้างามของนาง “ในที่สุดวันนี้ที่ข้ารอคอยก็มาถึง นางเฉียนเฉียนมันจะถูกฝังลงไปอยู่ใต้ดินชั่วกาลนานเสียที”เสวี่ยเหยารำพึงอยู่ภายในใจพลางยืนคิดอะไรเพลินจนไม่รู้ตัวเลยว่า ญาติพี่น้องต่างทยอยเข้าไปหาผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายจนเหลือนางเท่านั้นหวังฉิงชวนส่ายหน้าไปมาเป็นพัลวัน “มะ...ไม่มี...ไม่มีอะไรจ๊ะ..เมื่อกี้หนูเผลอนอนหลับแล้วเกิดฝันร้ายเท่านั้นเอง”หญิงสาวพูดปดตอบกลับไป “อ่อ...เช่นนั้นรึ”เสียงทุ้มพูดเบาๆ อยู่ในลำคอพร้อมก้าวเข้ามาในห้องนอน ตรงมายังเตียงไม้ไผ่พลางวางอ่างน้ำที่ทำจากไม้สนลงตรงขอบเตียง “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการเพื่อนำมาส่องให้เห็นใบหน้า ข้านำมาให้แล้ว”ชายหนุ่มเจ้าของกระท่อมบอกฉิงชวน “ห๊ะ! นี่นะเหรอกระจก”หญิงสาวพูดออกมาทันทีครั้นได้ยินว่าอ่างไม้ขนาดย่อมที่บรรจุน้ำอยู่กว่าครึ่งเป็นกระจกที่เธอร้องเรียกหาเมื่อครู่ที่ผ่านมา “เข้าใจไม่ผิดหรอกว่าอ่างน้ำตรงหน้าเจ้าสามารถสะท้อนเงาใบหน้าให้เห็นได้อย่างชัดเจน ข้าลงไปตักน้ำจากแอ่งมรกตนำมาให้เจ้าได้ส่องใบหน้าเลยเชียวนะ เพราะน้ำในแอ่งดังกล่าวใสแวววาวจนสามารถมองเห็นทะลุไปจนถึงก้นแอ่ง ไม่เชื่อก็ลองดูสิ”ชายหนุ่มอธิบายกลับไป หวังฉิงชวนนั่งมองอ่างที่ทำจากไม้ซึ่งถูกขัดจนราบเรียบขึ้นเป็นเงา เธอค่อยๆ ชะโงกหน้าก่อนจะก้มลงมองเงาที่สะท้อนให้เห็นบนผิวน้ำที่ใสแวววาวจนสามารถล่วงรู้ว่า ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้หาใช่สาวสวยระดับตัวท็อปของคณะศิลปะการแสดงจากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์
“เฉียนเฉียน!”เสียงของดวงวิญญาณตรงหน้าเรียกชื่อของเธออย่างชัดเจน ห๊ะ! หวังฉิงชวนได้แต่ส่งเสียงออกมาเพียงเท่านั้น หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นดวงวิญญาณของคนตายเป็นครั้งแรกในชีวิต ร่างตรงหน้ามาในสภาพที่เคยมีชีวิต ใบหน้าแม้จะกลมแต่ก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ปากนิด จมูกหน่อยแต่ที่โดดเด่นนั่นก็คือดวงตากลมโตดั่งตากวาง และร่างที่อวบสมบูรณ์ไปทุกส่วนมาพร้อมกับผิวขาวอมชมพูเนียนสวยน่ามองอย่างยิ่งยวด ถึงแม้จะแลดูเจ้าเนื้ออวบอ้วน แต่มีเค้าโครงความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร หากเจริญวัยอย่างเต็มที่นับเป็นหญิงงามเลื่องชื่ออย่างหาตัวจับยากเลยทีเดียว “ธะ..เธอ...เธอเป็นใคร!!!”หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงดวงวิญญาณดังกล่าวตอบกลับมา “ข้าคือหยางเฉียนเฉียน เจ้าของร่างที่เจ้ากำลังสถิตอยู่ในขณะนี้” “อะไรนะ!”ฉิงชวนอุทานออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมาติดต่อกันด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยินจากปากของดวงวิญญาณที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ไม่จริง! สิ่งที่ฉันได้ยินไม่ใช่เรื่องจริง! มันจะต้องไม่ใช่เรื่องจริง!”หญิงสาวยังคงยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง “แต่ทุกสิ่งที่เจ้าได้ยินคือเรื่องจริงทั้งสิ้น”เ
หุบเขามรกตบริเวณกระท่อมน้อย ภายในเกาะมรกตมีภูเขาสูงเสียดฟ้าทอดตัวยาวขนานไปตามความกว้างของแนวเกาะ ลึกลงไปมีหุบเขาและถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีบ่อน้ำทองคำที่สามารถแปรสภาพได้ทุกสิ่งให้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่าม และยังมีหินงอกหินย้อยมากมายสวยงาม อัดแน่นไปด้วยหยกสูงค่าและหินสีเขียวมรกต บริเวณด้านนอกถ้ำมีน้ำตกไหลจากหุบเขาสูงลงมาเบื้องล่าง สะสมน้ำจืดเอาไว้เป็นแอ่งขนาดใหญ่ลึกลงไปหลายสิบเมตรเลยทีเดียว สีของน้ำเป็นสีเขียวมรกตเช่นเดียวกัน ใสแจ๋วจนสามารถเห็นก้นแอ่งได้เป็นอย่างดีว่ามีแต่หินเบื้องล่างมากมาย ซึ่งมีทั้งหินธรรมดาและหินสูงค่านานาชนิด ภายในบริเวณดังกล่าวปรากฏกระท่อมหลังน้อย ทำจากไม้ไผ่ขนาดกำลังพอดี มีลานกว้างซึ่งเป็นโขดหินยกสูงขึ้นเป็นตัวกระท่อม มีบันไดสำหรับก้าวขึ้นประมาณห้าขั้น ซ้ายมือคือเรือนนอนและห้องหนังสือ ขวามือคือโรงครัวแบบเปิดโล่ง และระเบียงด้านนอกชานยื่นออกไป เต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาพรรณส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ฝีมือการสร้างกระท่อมที่ทำจากไม้ไผ่บ่งบอกได้ว่ามีฝีมือดุจช่างไม้เจนประสบการณ์ก็มิปาน ภายในห้องนอนซึ่งมีเตียงไม้ไผ่ยกขึ้นจากพื้
ในขณะเดียวกัน บริเวณกลางทะเล แพน้อยล่องลอยไปตามกระแสคลื่นและแรงลมพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย มิรู้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานเพียงใด ฝ่าแสงแดดอันร้อนระอุในเวลากลางวันและความเย็นย่ำในเวลากลางคืน จวบจนกระทั่งแพดังกล่าวลอยเคว้งคว้างมาจนถึงเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวทางทิศใต้ มีเมฆหมอกลอยต่ำปกคลุมอยู่ตลอดเวลามิเคยจางหายจนเรือล่องกลางทะเลมากมายแล่นผ่านเลยไปมิเคยแวะจอดเลยสักคราด้วยถูกซ่อนเร้นสายตาจากผู้คนจากสายหมอกทะมึนเหล่านั้น อีกทั้งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมิปรากฏอยู่ในแผนที่ของเส้นทางการค้าขายทางทะเลแต่อย่างใด โดยหารู้ไม่ว่าเกาะดังกล่าวแท้จริงแล้วคือเกาะเฟซ่วยต้าว หรือเกาะมรกตที่ชาวเรือและแคว้นน้อยใหญ่ที่มีดินแดนแถบชายฝั่งต่างเฝ้าค้นหามานานนับหลายพันปี เกาะที่ขึ้นชื่อได้ว่าทุกแห่งในพื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์อีกทั้งสวยงามดั่งดินแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า และยังมีบ่อน้ำที่แปรเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นทองคำไปชั่วพริบตา สร้างความมั่นคั่งให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครองอย่างยิ่งยวด และยิ่งไปกว่านั้นภายในถ้ำซึ่งอยู่ในหุบเขาบนเกาะมรกต จะมีถ้ำบางแห่งที่มีแต่หินหยกสูงค่ามากมายอัด
บริเวณด้านหน้าเกาะ เรือลำใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้องและเครือญาติที่เดินทางมาร่วมพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน เทียบเรือลงจอดอยู่บริเวณด้านหน้าเกาะทยอยขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะจวนเจียนใกล้จะถึงเวลาฝังศพเข้าไปทุกขณะแล้ว สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปยังหลุมฝังศพซึ่งขุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่นำโลงลงไปเพียงเท่านั้น ทันทีที่มาถึงทุกคนต่างพากันผงะถอยหลัง หยุดชะงักด้วยกันทุกคนด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ บรรดาชายฉกรรจ์แต่ละคนที่มีหน้าทีเกี่ยวกับพิธีการของศพต่างพากันใช้ผ้าปิดจมูกกันไว้ทุกคน “ทำไมเฉียนเฉียนส่งกลิ่นแรงนักละ ตอนออกมาจากจวนยังไม่มีกลิ่นถึงขนาดนี้เลย”พานจิ่วเซียนถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมยกชายแขนเสื้อปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน “มิทราบเช่นกันขอรับว่าเหตุใดศพของท่านหญิงเฉียนเฉียน จึงส่งกลิ่นรุนแรงเช่นนี้พอเรือแล่นผ่านมาได้สักระยะก็เริ่มส่งกลิ่นออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ขนาดดอกไม้หวนคืนยังไม่สามารถกลบกลิ่นได้อีกเลย”เสียงของชายซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คอยดูแลจัดการงานศพอธิบายกลับไป ครั้นเสวี่ยเหยาได้ยินเช่นนั
ขบวนเรือฝังศพ ภายในเรือขนาดใหญ่จำนวนสองลำ ปรากฏโลงศพของ หยางเฉียนเฉียน ตั้งวางไว้อยู่บนเรือคลุมด้วยผ้าขาวปิดฝาโลงเอาไว้อย่างมิดชิด เตรียมพร้อมบ่ายหน้านำไปฝังบนเกาะเฉิงไห่ ซึ่งเป็นเกาะที่ตระกูลหยางครอบครองมาอย่างช้านาน กำลังลอยลำมุ่งหน้าไปยังสุสานประจำตระกูล โดยมีเรืออีกหนึ่งลำตามหลังไปซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพ่อแม่ พี่น้องและญาติสนิทของผู้ตายตามไปทำพิธีฝังศพให้ถูกต้องตามประเพณี ในขณะที่ที่เรือขนศพล้วนแล้วแต่มีชายฉกรรจ์คอยดูแลทั้งสิ้น เครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ ถูกนำไปที่สุสานก่อนหน้านี้แล้วเพื่อรอบรรจุลงไปพร้อมกับโลงในวันทำพิธีฝัง ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพ่อและแม่ยังคงมองตามโลงที่บรรจุร่างอันไร้วิญญาณของบุตรสาว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองและเสียใจต่อการจากไปของหยางเฉียนเฉียนไม่คลาดครา หากแต่กลับมีดวงตาอีกหนึ่งคู่ที่จ้องเรือขนศพลำดังกล่าวที่ลอยลำอยู่เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ ด้วยเพราะความแค้นฝังรากหยั่งลึกมานานนับตั้งแต่จำความได้ “แม้เจ้าจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกฝังร่างลงดินอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษในสุสานเดียวกันเป็นอันขาด คนเช่นเจ้า