ยุคจ้านกว๋อ
แคว้นหมิ่นเยว่ ดินแดนอันมีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเลนับแสนหมู่ จนสุดอาณาจักรโคกูรยอทางตอนเหนือ มีหมู่เกาะมากมายอยู่ภายใต้การปกครอง มีทั้งเกาะรกร้างและเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่ รวมไปถึงเกาะที่เป็นดินแดนแห่งคนเถื่อน แคว้นหมิ่นเยว่ถูกราชวงศ์เฉินปกครองมาอย่างยาวนานกว่าสองร้อยปี มีเจ้าผู้ครองแคว้นขึ้นปกครองมาแล้ว 14 พระองค์ จนมาถึงรัชสมัยของเฉินหย่งกงซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นลำดับที่ 15 ของราชวงศ์เฉิน เฉินหย่งกงหรือพระนามเดิมว่าเฉินอวี้ ทรงมีพระนางอี้ซิน องค์หญิงจากแคว้นหยางมาเป็นฮองเฮาเคียงข้างพระวรกาย และยังมีฟูเหรินอีกสี่พระองค์ โดยอี้ซินฮองเฮาทรงประสูติพระราชโอรสทั้งสิ้นห้าพระองค์ โดยองค์ชายสี่เฉินจิ้นและองค์ชายห้าเฉินคังเป็นพระโอรสฝาแฝด ซึ่งมีรูปโฉมประดุจพิมพ์เดียวกันหล่อเหลาจนแยกไม่ออกเลยทีเดียว จวบจนกระทั่งเหล่าพระโอรสเจริญพระชันษา เฉินหย่งกงสถาปนาองค์ชายใหญ่เฉินเจี๋ย ดำรงตำแหน่งรัชทายาท ขึ้นครองแคว้นสืบต่อไป หากแต่องค์ชายใหญ่ครองตำแหน่งรัชทายาทได้เพียงปีครึ่งก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน สาเหตุมาจากเสวยน้ำจัณฑ์มากจนตกสระน้ำภายในตำหนักของพระองค์ จมน้ำสิ้นพระชนม์ไปอย่างน่าเคลือบแคลง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะองค์ชายใหญ่ทรงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสุราพันจอก พระองค์ไม่เคยเมามายแม้แต่ครั้งเดียว และนับจากองค์ชายใหญ่เป็นต้นมา บรรดาพระโอรสของเฉินหย่งกงทยอยสิ้นพระชนม์ห่างกันเพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้น องค์ชายรองเฉินฟู่สิ้นพระชนม์หลังจากองค์ชายใหญ่เพียงแค่สองปี ทันทีที่เฉินหย่งกง ทรงให้องค์ชายรองขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาทสืบต่อไป และสาเหตุที่สิ้นพระชนม์นั่นก็คือ ทรงบรรทมไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกเลย นำพาความสงสัยให้เหล่าหมอหลวงอย่างยิ่งยวด หลังจากองค์ชายรองสิ้นพระชนม์ลงเพียงหนึ่งปี องค์ชายสามเฉินเหย่าก็สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหันก่อนหน้าจะมีพิธีแต่งตั้งเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ด้วยสาเหตุมาจากเทศกาลล่าสัตว์ประจำปี พระองค์ถูกลูกธนูขององค์ชายห้าเฉินคังยิงเข้าทะลุหัวใจด้วยคิดว่าเป็นกวางป่า ขณะที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างร่วมเทศกาลล่าสัตว์ด้วยกันทั้งสิ้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้องค์ชายห้าเฉินคังถูกเนรเทศให้ไปอยู่ดินแดนอู๋อี๋ซานเพื่อสำนึกตนที่กระทำความผิดและห้ามกลับคืนสู่แคว้นหมิ่นเย่ว หากไม่มีพระบัญชา เพื่อให้ล่วงรู้ว่าได้กระทำผิดมหันต์ครั้งยิ่งใหญ่จากการกระทำของพระองค์ ซึ่งได้ชื่อว่าเจตนาลอบปลงพระชนม์พระเชษฐาเพื่อหมายปองราชบัลลังก์ จึงทำให้เหลือองค์ชายสี่เฉินจิ้นเท่านั้นที่ยังคงอยู่และไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เฉินหย่งกงจึงมีดำริที่จะแต่งตั้งองค์ชายเฉินจิ้น ให้ครองตำแหน่งรัชทายาทครองแคว้นสืบต่อไป ทว่าพิธีแต่งตั้งกลับยังมิถูกจัดขึ้น เมื่อเฉินหย่งกง ทรงพบเงื่อนงำบางอย่างทำให้พระองค์เกิดความสงสัยจึงมีพระบัญชาให้กรมอาญาตามสืบร่องรอยสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระโอรสทั้งสามในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่างเป็นความลับ พร้อมทรงมีพระบัญชาให้นำองค์ชายเฉินคังกลับแคว้น เพื่อทำการไต่สวนคดีลอบปลงพระชนม์องค์ชายสามที่มีคำสั่งให้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ หากแต่ยังมิทันที่องค์ชายเฉินคังจะได้เสด็จกลับมา ก็มีข่าวส่งมาจากดินแดนอู๋อี๋ซานว่าองค์ชายห้าประชวรด้วยโรคจั้งชี่ ซึ่งก็คือไข้จับสั่น ซึ่งเป็นโรคระบาดที่น่ากลัวและรุนแรงมากในยุคสมัยจีนโบราณ โดยจะมีอาการหนาวสั่น ไข้สูง และเหงื่อออกมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย ระบาดโดยการถูกยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ซึ่งก็คือไข้จับสั่นนั้นเอง ซึ่งตอนนี้ดินแดนอู๋อี๋ซาน กำลังระบาดหนักอย่างรุนแรง จั้งซี่หรือไข้จับสั่นน่ากลัวและรุนแรงมากคร่าชีวิตผู้คนล้มตายไปนับหมื่นนับแสนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนดินแดนอู๋อี๋ซานซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดโรคระบาดกลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างไปในชั่วพริบตา ผู้คนล้มตายไม่มีรอดชีวิตรวมไปถึงองค์ชายเฉินคังจากแคว้นหมิ่นเย่วก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้เหลือองค์ชายสี่เฉินจิ้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่รอด และองค์ชายหนุ่มจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชทายาท ภายหลังเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับธิดาเจ้าเมืองอูเจี๋ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมืองอูเจี๋ยน จวนเจ้าเมือง เสียงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจดังระงมไปทั่วบริเวณจวนเจ้าเมือง เมื่อธิดาคนรองนามว่าหยางเฉียนเฉียน จู่ๆ ก็สิ้นชีพลงอย่างกะทันหัน ในสภาพกำลังนอนหลับใหลภายในห้องนอนส่วนตัว โดยท่านหญิงใหญ่หยางเสวี่ยเหยาเป็นผู้เข้าไปพบเห็นเป็นคนแรก ซึ่งหมอประจำจวนเจ้าเมืองได้ลงความเห็นว่า ท่านหญิงรองหยางเฉียนเฉียน หลับใหลจนสิ้นชีพไปเอง ภายในห้องเคารพศพบริเวณกลางห้อง ปรากฏโต๊ะสำหรับวางป้ายวิญญาณตั้งไว้เพื่อให้ผู้คนมากมายที่ทยอยเดินทางมาร่วมงานศพดังกล่าวได้คาราวะผู้ตายและร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนำไปฝังไว้ที่สุสานซึ่งจัดเตรียมเอาไว้ ถัดจากโต๊ะวางป้ายวิญญาณมีห้องกั้นระหว่างกลางตั้งโลงศพขนาดใหญ่ทำจากไม้เนื้อดีเอาไว้ ภายในโลงถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดีเพื่อมองให้เป็นสถานที่ผู้ตายได้นอนหลับไปชั่วนิรันดร์ ดอกไม้นานาพรรณนำมาวางไว้ล้อมรอบโลงเพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงปรารถนาซึ่งจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า ตามประเพณีของเมืองอูเจี๋ยน วันแรกของคนตายจะวางศพเอาไว้ในโลงโดยจะยังไม่นำฝาโลงมาปิด เปิดเผยศพให้แก่ญาติพี่น้องของผู้ตายได้เห็นหน้าเพื่อสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำฝาโลงมาปิดให้สนิทในรุ่งอรุณถัดไป และเพื่อป้องกันกลิ่นมิให้รบกวนที่อาจจะมีขึ้นในวันแรกของซากศพ จึงนิยมจัดวางดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานาชนิดอัดแน่นล้อมรอบไปทั่วบริเวณเพื่อดูดซับกลิ่นดังกล่าว โดยจะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่าดอกหวนคืนซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นได้เป็นอย่างดี มีดอกขนาดใหญ่และมีสีขาวหอมเย็นๆ และจะส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน แต่ช่วงกลางวันจะทำหน้าที่ดูดซับกลิ่นรอบบริเวณกักเก็บเข้าไปไว้ในตัวดอกเอาไว้จนหมดนิยมนำมาใช้ประดับในงานศพของยุคนั้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าดอกไม้หวนคืนปัจจุบันสูญพันธุ์ไปหมดสิ้นแล้ว ร่างอันไร้วิญญาณของเด็กสาวในวัยที่กำลังจะเข้าพิธีปักปิ่น นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพขนาดใหญ่ที่ยังมิได้นำฝาโลงมาปิด ด้วยนางเพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อช่วงเช้าตรงกับยามเฉิน จนถึงขณะนี้ยามเซินทุกสิ่งทุกอย่างภายในจวนเจ้าเมืองอูเจี๋ยนถูกแปรเปลี่ยนจากงานที่ผู้คนต่างทยอยมาร่วมงานในพิธีปักปิ่นของหยางเฉียนเฉียน ธิดาสาวคนรองของเจ้าเมืองอูเจี๋ยนนามว่าหยางผิง ทว่าจากงานมงคลกลับแปรเปลี่ยนต้องจัดงานศพขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อสาวน้อยเจ้าของพิธีดังกล่าวสิ้นชีพลงอย่างมิรู้สาเหตุ พร้อมข่าวลือภายในจวนแพร่สะพัดไปทันทีว่า หยางเฉียนเฉียนฝ่าฝืนคำทำนายของโหรหลวงประจำเมือง ที่เคยทำนายเอาไว้ว่า หยางเฉียนเฉียนจะต้องตายหากแต่งงานเมื่อมีอายุถึงวัยเข้าพิธีปักปิ่น ซึ่งท่านหญิงรองของจวนมิเชื่อคำทำนายของโหรหลวงดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อเฉินหย่งกง เจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเยว่มีพระบรมราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้แก่องค์รัชทายาทกับธิดาของเจ้าเมืองอูเจี๋ยน ซึ่งหยางผิงคือเจ้าเมืองคนปัจจุบันมีธิดาด้วยกันสองคน คือท่านหญิงใหญ่หยางเสวี่ยเหยา วัย 17 ปีเกิดจากภรรยารองและหยางเฉียนเฉียน วัย 15 ปีซึ่งเกิดจากภรรยาเอก และแน่นอนว่าเจ้าเมืองหยางผิงเลือกธิดาคนใดคนหนึ่งให้เข้าพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งเฉินหย่งกงพระราชทานให้ในครั้งนี้และจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ท่านหญิงรองหยางเฉียนเฉียน ที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องในหลักของการสืบสานทางจารีตประเพณี ที่จะต้องเลือกบุตรซึ่งเกิดจากภรรยาเอกมาก่อนเสมอไม่ว่าเรื่องอะไรในทั้งสิ้น บุตรอันเกิดจากภรรยาลำดับถัดไปจะถูกนำมาพิจารณาหลังจากมีการเลือกเฟ้นจากบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกเสร็จสิ้นแล้ว หากแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าสมรสพระราชทานในครั้งนี้ สร้างความคับแค้นใจให้กับหยางเสวี่ยเหยา ซึ่งมีฐานะเป็นท่านหญิงใหญ่ของจวน ซึ่งเกิดจากภรรยารองอย่างยิ่งยวด เพียงเพราะคำว่าเกิดเป็นลูกเมียรอง จึงทำให้นางแลดูต่ำต้อยด้อยค่ากว่าน้องสาวและน้องชายที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งตระกูลหยางเลือกให้แต่งเข้าจวนเพราะหวังฮูหยินเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฉินหย่งกงเจ้าผู้ครองแคว้น ในขณะที่ท่านแม่ของเสวี่ยเหยาเป็นเพียงสตรีจากตระกูลชนชั้นคหบดีเข้าขั้นในระดับมหาเศรษฐีของเมืองอูเจี๋ยนเลยทีเดียว พื้นเพดั้งเดิมมาจากครอบครัวชาวประมงและเติบโตจนมีกิจการขยายออกเป็นวงกว้างขึ้นในภายหลัง แต่ถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใดตระกูลหยางเลือกเฟ้นสตรีที่จะแต่งเข้าจวนนั้นจะต้องมาจากชนชั้นขุนนางด้วยกันเท่านั้น แม้ว่าหยางผิง เจ้าเมืองอูเจี๋ยนจะรักท่านแม่ของเสวี่ยเหยามากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็มิอาจขัดกฎของตระกูลได้ จากคนที่มาก่อนกลับกลายเป็นเพียงรองและอยู่ในฐานะที่สองมาโดยตลอดจวบจนถึงรุ่นลูก ก็ยังต้องเป็นที่สองอยู่ร่ำไป เป็นเหตุให้เสวี่ยเหยาพกพาความคับแค้นใจอย่างยิ่งยวด ต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้นางหลุดพ้นจากคำว่าลูกเมียรองและไม่ต้องการเป็นที่สองอีกต่อไป ดังนั้นหากนางได้ขยับฐานะขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นหมิ่นเยว่ และครองตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า ชีวิตของนางจะมีฐานะสูงส่งยิ่งกว่าผู้ใดและไม่ต้องก้มหัวฟังใครอีกต่อไปนับต่อจากนี้ คำว่าที่สองจะหลุดพ้นไปจากชีวิตของนางทันที และนั่นจึงเป็นที่มาของความตายซึ่งหยางเฉียนเฉียน จะต้องประสบชะตากรรม นอกจากความเสมอภาคระหว่างลูกเมียรองและเมียเอกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากนิสัยส่วนตัวของ หยางเฉียนเฉียนก็ด้วยเช่นกัน ภายใต้คราบน้ำตาของท่านหญิงรองซึ่งคนภายนอกมิล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรนางมิได้มีนิสัยอ่อนโยนหรือเกิดจากความอ่อนแอแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหยางเฉียนเฉียนแม้จะมีอายุเพียง 15 ปี แต่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยอุบายมากมาย อีกทั้งยังมีนิสัยขี้อิจฉาและมีความริษยาฝังลึกอย่างรุนแรง นางอิจฉาเสวี่ยเหยาที่มีหน้าตางดงามและรูปร่างอรชรต้องตาต้องใจบุรุษเพศเป็นยิ่งนัก ในขณะที่เฉียนเฉียนกลับเจ้าเนื้ออวบอ้วนค่อนข้างไปทางตุ้ยนุ้ย ความงดงามถูกบดบังเพราะความเจ้าเนื้อของนางเป็นเหตุ และมีนิสัยชอบแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของเสวี่ยเหยาไปเป็นของตนเองมากที่สุด และทันทีที่หยางเฉียนเฉียนล่วงรู้ว่าเฉินหย่งกง ทรงมีพระประสงค์มอบสมรสพระราชทาน เพื่อมีสัมพันธ์ไมตรีเป็นทองแผ่นดินเดียวกันกับเมืองอูเจี๋ยนซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญติดทะเล จุดประสงค์ก็เพื่อขยายดินแดนของแคว้นหมิ่นเยว่ให้ขยายกว้างออกไปจนสุดขอบชายฝั่งทางทะเลทั้งหมด อีกทั้งเพื่อทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าเมืองอูเจี๋ยนซึ่งเป็นพระสหายในวัยเยาว์ชันษาและยังมีมิตรภาพต่อกันด้วยดีเสมอมา ดังนั้นสมรสพระราชทานจึงบังเกิดขึ้น ซึ่งเดิมทีหยางผิงจะให้เสวี่ยเหยาธิดาคนโตอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาทเพื่อเป็นหน้าตาของตระกูล ด้วยบุตรีผู้นี้ขึ้นชื่อได้ว่างดงามอย่างยิ่งยวดเป็นที่หมายปองของบุรุษและองค์ชายต่างแคว้นมากมาย และเพื่อมิให้คำนายของโหรหลวงประจำเมืองกลายเป็นเรื่องจริง ด้วยสมรสพระราชทานในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงปีที่บุตรีคนรองกำลังจะเข้าพิธีปักปิ่นด้วยเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้หยางผิงเลือกที่จะให้บุตรีคนโตของตนเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายเฉินจิ้นที่มีตำแหน่งว่าที่องค์รัชทายาท ซึ่งจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเย่วสืบต่อไปเบื้องหน้า และด้วยเหตุดังกล่าวทำให้เฉียนเฉียนไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ที่พี่สาวต่างแม่จะได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท นางจึงร้องขอบิดาอาสาทำหน้าที่กตัญญูต่อตระกูล ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของลูกที่เกิดจากเมียเอกต้องพึงได้รับเป็นอันดับแรกก่อนจะไปตกไปถึงลูกเมียรอง โดยมิรู้ตัวเลยว่า วอนหาความตายเข้าหาใส่ตัวเพราะความริษยาของนางเป็นเหตุ ทำให้เสวี่ยเหยาลงมือสังหารน้องสาวตัวเองจนตายคามือ หยางเฉียนเฉียน จึงเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่หยางเสวี่ยเหยา ลงมือปลิดชีพน้องสาวของตัวเอง แรงเกลียดและความชิงชังที่เก็บกดอยู่ภายในใจมีมากล้นพ้นทวีที่น้องสาวต่างแม่มีนิสัยต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง ความคั่งแค้นถึงขนาด ปลอมลายมือเขียนบันทึกเหตุการณ์ของเมืองอูเจี๋ยน เพื่อใส่ร้ายน้องสาวต่างแม่ให้นางเลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม และเพราะความอำมหิตโหดเหี้ยมของนางจึงทำให้พบจุดจบของชีวิตอย่างไม่คาดฝัน ในวันที่หยางเฉียนเฉียนตาย ข้าทาสบริวารภายในจวนเจ้าเมืองต่างยินดีกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว มีเพียงเสียงร่ำไห้ของหวังฮูหยินเท่านั้น ร่ำร้องคร่ำครวญต่อการจากไปของบุตรีอย่างยิ่งยวด ด้วยเด็กสาวต่อหน้าพ่อและแม่รวมไปถึงคนภายนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ล่วงรู้แต่เพียงว่าหยางเฉียนเฉียนเป็นคนเฉลียวฉลาดและรอบรู้ทุกด้าน สามารถบริหารเมืองช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่หยางผิงมากมายยิ่งนัก รวมไปถึงคอยช่วยเหลือชาวเมืองอูเจี๋ยนตลอดเวลา ซึ่งเสวี่ยเหยาก็ล้างแค้นน้องสาว โดยการนำบันทึกปลอมไปสลับวางไว้กับบันทึกเหตุการณ์เมืองของจริง โดยติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลหอจดหมายของเมืองอูเจี๋ยน ด้วยเพราะเหตุนี้บันทึกเหตุการณ์ปลอมดังกล่าว จึงทำให้ หยางเฉียนเฉียน เป็นสตรีที่ร้ายกาจจากที่ร้ายอยู่แล้วยิ่งร้ายมากขึ้นไปกว่าเดิมนับเท่าทวีคูณ และแน่นอนว่าภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน จวนเจ้าเมืองอูเจี๋ยนจะมีพิธีมงคลกลบร่องรอยความโศกเศร้าเสียใจเข้ามาแทนที่ ด้วยสมรสพระราชทานระหว่างว่าที่องค์รัชทายาทองค์ชายเฉินจิ้นและหยางเสวี่ยเหยา ที่ทำทุกอย่างจนนางได้สิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองกลับคืนสมดั่งใจหวัง “อีกหนึ่งชั่วยามเคลื่อนขบวน! เชิญญาติพบคนตายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่ออำลา!!”เสียงตะโกนดังก้องออกมา ด้วยถึงวันที่จะต้องนำหยางเฉียนเฉียน เดินทางไปยังสุสานประจำตระกูลซึ่งอยู่บนเกาะเฉิงไห่ อันเป็นสถานที่ใช้สำหรับเป็นสุสานฝังศพของคนในตระกูลหยางนั่นเอง เจ้าเมืองหยางผิงประคองหวังฮูหยินเข้าไปภายในห้องเก็บศพของหยางเฉียนเฉียนเพื่ออำลาครั้งสุดท้าย โดยมีสายตาของเสวี่ยเหยามองตามหลังพร้อมรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้างามของนาง “ในที่สุดวันนี้ที่ข้ารอคอยก็มาถึง นางเฉียนเฉียนมันจะถูกฝังลงไปอยู่ใต้ดินชั่วกาลนานเสียที”เสวี่ยเหยารำพึงอยู่ภายในใจพลางยืนคิดอะไรเพลินจนไม่รู้ตัวเลยว่า ญาติพี่น้องต่างทยอยเข้าไปหาผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายจนเหลือนางเท่านั้นยุคอดีตหอเทพธิดาเมืองอูเจี๋ยนยามนี้ภายในหอเทพธิดาเพิ่งเสร็จสิ้นพิธีบูชาไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม กลิ่นกำยานหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นดอกไม้นานาพรรณหอมตลบอบอวล ด้วยเทพธิดาโปรดปรานดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมทุกชนิดและตรงหน้าแท่นทำพิธีปรากฏบุรุษสูงใหญ่อาภรณ์ขาว เกศานิลกาฬรับกับดวงเนตรคู่สวย กำลังนั่งคุกเข่าขอพรจากเทพธิดาอูเจี๋ยนด้วยความรักและคิดถึงคนที่อยู่ในหัวใจอยู่ทุกค่ำคืน คำอ้อนวอนจากหัวใจกำลังพรั่งพรูออกจากปากบุรุษคนดังกล่าว“ข้าน้อยเฉินคัง ขออ้อนวอนเทพธิดาอูเจี๋ยน ฝากคำรักมั่นและสัญญาของหัวใจไปถึงฉิงชวนฮูหยินของข้าที่สถิตอยู่สวรรค์เบื้องบน คำรักมั่นที่สัญญาไว้จะมิวันแปรเปลี่ยนไปจากหัวใจของข้าน้อย ขอเทพธิดาได้โปรดนำคำรักของข้านี้มอบให้แก่นางได้ล่วงรู้ หากแม้นเทพธิดาและสวรรค์เบื้องบนเมตตา ขอให้ข้าน้อยได้พบดวงวิญญาณของนางสักเพียงครั้งด้วยเถิด”คำอธิษฐานเพียรเฝ้าอ้อนวอนอยู่ในห้วงคำนึงขององค์ชายหนุ่มรูปงามดวงเนตรสีนิลกาฬทอดสายตาจับจ้องอยู่แต่ภาพวาดตรงหน้า ซึ่งเป็นผู้ลงมือวาดกับมือด้วยความโหยหาและอาลัยรักเป็นยิ่งนัก ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็ม
9 เดือนผ่านไปมณฑลฝูเจี๋ยนมณฑลฝูเจี้ยนหรือ มณฑลฮกเกี้ยนเป็นมณฑลชายฝั่งทะเลที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน อาณาเขตทางภาคเหนือติดกับมณฑลเจ้อเจียง ภาคใต้ติดกับมณฑลกวางตุ้ง ภาคตะวันออกติดกับช่องแคบไต้หวัน ฝูเจี้ยนมาจากอักษรนำหน้าชื่อเมืองสองเมืองรวมกันคือฝูโจวและเจี้ยนโอว ชื่อนี้ได้รับการตั้งในสมัยราชวงศ์ถังในยุคสมัยจ้านกว๋อซึ่งเจ็ดแคว้นใหญ่เรืองอำนาจอยู่ในขณะนั้น มณฑลฝูเจี๋ยนก็คือแคว้นหมิ่นเย่ว ซึ่งรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในยุคโบราณจวบจนกระทั่งปัจจุบันก็ยังรุ่งเรืองเปลี่ยนผันไปตามยุคสมัยที่ผ่านไปภายใต้เรืองร่างงามระหงของหวังฉิงชวน ที่กำลังยืนอยู่บริเวณท่าเทียบเรือฉวนโจว อันเมืองท่าเก่าแก่มีอายุพันกว่าปีซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหมทางทะเลในยุคโบราณ ดวงตาคู่สวยกำลังเหม่อมองน้ำทะเลสีครามอยู่ตรงเบื้องหน้าภาพในความฝันที่มิอาจลืมเลือนไปจากความทรงจำและจากหัวใจของฉิงชวนไปได้เลย บุรุษรูปร่างสูงใหญ่สวมอาภรณ์ขาว เส้นผมสีดำสนิทยาวจนถึงกลางหลังยืนถือตำราอยู่บนเรือ กำลังสอนหนังสือให้แก่สตรีสาวแสนงามและน้องชายตัวน้อยบนเรือซึ่งเป็นของเจ้าเมืองอูเจี๋ยน
“เฉียนเฉียน! เฉียนเฉียนลืมตาขึ้นมาสิเจ้า! เจ้าจะทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ! เฉียนเฉียน! เฉียนเฉียน!!!!!”แปะ! หยาดน้ำตาหลั่งรินออกจากขอบหางตาของใบหน้าสวยของหญิงสาว“เฉียนเฉียน!เฉียนเฉียน!”เสียงเรียกที่ค้นหูเป็นอย่างดียังคงดังขึ้นอยู่ชิดริมหูไม่คลาดคราเปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ กลอกกลิ้งไปมา พร้อมขนตางอนยาวเริ่มกะพริบขึ้นติดต่อกัน ก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพอันพร่าเลือนค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นพร้อมเพดานเบื้องบนปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงตากลมโตจับอยู่ที่หลอดไฟสีนวลอ่อนๆ กระจายไปทั่วทั้งเพดานครั้นมองไปทางด้านข้างเสาเหล็กสำหรับแขวนขวดยารักษาอาการของคนป่วยพร้อมสายระโยงระยางต่อตรงเข้ากับท่อนแขนขาวผ่องซึ่งอยู่ในชุดของคนไข้ในโรงพยาบาลของกรุงปักกิ่งดวงตากลมโตดั่งตากวางมองไปทั่วห้องก่อนจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้ามากมายตั้งตระหง่านอยู่นอกประตูกระจก“นะ..นี่..นี่..ฉัน..ฉันกลับมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไง! ทะ...ทำไม!...”ฉิงชวนนอนพึมพำอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความรู้สึกสับสนจน
พร้อมเสียงของเฉินคังดังก้องขึ้นมาทันที“รีบพาออกไปจากที่นี่! สกัดพิษเอาไว้อย่าให้แพร่กระจาย”สิ้นเสียงของเฉินคังเสิ่นข่ายรีบอุ้มร่างไร้วิญญาณออกจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยองครักษ์คนอื่นๆ รีบประคองร่างของคนที่เหลือออกไปตามคำสั่ง คงเหลือเพียงฉิงชวนและเฉินคังเท่านั้นที่อยู่ภายในบริเวณนั้น “เฉินจิ้น! ปล่อยเฉียนเฉียนของข้าเดี๋ยวนี้!”เสียงตวาดดังกระหึ่ม ดวงเนตรเข็งกร้าวลุกโชนอย่างน่าสะพรึงกลัว แต่มิอาจทำอะไรได้ไปมากกว่านี้ ด้วยเพราะเป็นห่วงฮูหยินของตนเป็นยิ่งนักในขณะที่ทุกคนในที่นั้นต่างพากันตกตะลึงไปตามๆกัน ครั้นเห็นบุรุษสองคนที่มีหน้าตาประดุจพิมพ์เดียวกันจนแยกไม่ออกเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉิงชวนได้แต่มองหน้าของคนทั้งสองสลับไปสลับมาอยู่เช่นนั้น“นะ...นี่...มันอะไรกันรัชทายาทของหมิ่นเย่วเหตุใดจึงมีสองพระองค์”ฉิงชวนเอ่ยออกมาด้วยความงุนงง พร้อมเสียงหัวเราะกึกก้องของเฉินจิ้นดังขึ้นด้วยความขบขัน“เจ้ากล้ามากนักนะ!ที่บุกเข้ามาในวังของข้า อุตสาห์รอดตายมาจากโรคระบาดที่อู
กำแพงวังทิศเหนือทิศเหนือของพระราชวังหมิ่นเย่วหันหน้าออกสู่ทะเล ระยะทางจากประตูวังทางทิศเหนือเดินทางไปยังเรือของเฉินคังที่จอดรอรับอยู่ภายในบริเวณนั้นใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เดินทางถึงจุดหมาย ร่นระยะเวลาได้สั้นที่สุดและรวดเร็วบริเวณด้านข้างของกำแพงวังทางทิศใต้เป็นแม่น้ำซึ่งเชื่อมต่อกับทะเล และเบื้องล่างเต็มไปด้วยกองทหารของเฉินคังที่ปลอมตนเป็นทหารรักษาวังปะปนอยู่ภายในวังหลวงมีจำนวนด้วยกันถึงห้าพันนายเลยทีเดียวซึ่งเป็นกำลังพลของเฉินคังสามพันนาย และกองทหารจากตระกูลมู่ของเสิ่นข่ายอีกสองพันนาย ผนึกกำลังล้อมวังกำจัดเฉินจิ้นให้จงได้ ท่ามกลางกระแสลมแรงที่พัดมาจากทะเล พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายเฉินคัง ฉลองพระองค์สีขาวสูงค่า ประดับกวานสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาทซึ่งเป็นฉลองพระองค์ของพระเชษฐษา ที่เสิ่นข่ายนำออกมาให้พระองค์ทรงสวมเพื่อปลอมตนเป็นองค์ชายเฉินจิ้นวรกายสูงสง่า องอาจและผึ่งผาย ยืนอยู่ทางเดินบนกำแพงของวังหลวงทอดพระเนตรเรือใหญ่ของพระองค์เตรียมพร้อมรอรับเสด็จกลับเกาะเผิงหู่พร้อมหยางเฉียนเฉียน พระชายาคนงามที่ยังไม่ล่วงรู้จะมีเหตุการณ์ให
ในขณะเดียวกันพระตำหนักคร่ำครวญร่างระหงของหยางเสวี่ยเหยาในชุดนักโทษคุมขัง ไร้อาภรณ์สูงค่าห่อหุ้มกาย ไร้เครื่องประดับล้ำค่าประดับกายที่บ่งบอกฐานันดรศักดิ์อันสูงส่งของนาง เส้นผมดำขลับยาวถึงเอวปล่อยลงมิได้เกล้าอย่างสวยงาม รองรับเครื่องประดับของพระชายาซึ่งมีพระสวามีเป็นถึงองค์รัชทายาท เจ้าผู้ครองแคว้นที่จะขึ้นปกครองในเบื้องหน้าร่างงามถูกนำตัวออกมาจากตำหนักเดียวดายเพื่อฟังโทษทัณฑ์ของตน“หยางเสวี่ยเหยามีพระบรมราชโองการ!”เสียงของผู้ถือราชโองการดังขึ้นพร้อมร่างของสตรีสาวที่เคยสูงศักดิ์ถูกกดลงให้นั่งคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อรับราชโองการ“คุกเข่าลง! คุกเข่า!!!”เสียงเจ้าหน้าที่กรมอาญาตวาดดุดันก่อนจะใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับทั้งสองข้างตุบ! ร่างระหงทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีเพื่อฟังราชโองการ“พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก หาญกล้ากระทำการอันไร้มารยาทเยี่ยงนี้กับข้า ข้ามิใช่นักโทษแต่อย่างใดเหตุไฉนต้องกระทำกับข้าเช่นนี้ด้วย เพียงเพราะถูกกล่าวหายังมิได้เข้ารับการสอบสวนจากองค์ไทจื่อพระสวามีของข้าแต่อย่