“หว่านหนิง ยังไม่ทันได้มีสิ่งใดรองท้องเห็นที่ต้องอำลาเพียงแค่นี้”
ตัดบทเอาเสียดื้อๆไม่จำเป็นต้องเสวนาให้มากความในเมื่อคนผู้นี้ไม่ได้มีผลต่อการใช้ชีวิตในตำหนักร้อบดาวของหว่านหนิง
“เดี๋ยว”
มือใหญ่ฉุดมือบางไว้ หว่านหนิงเหลือบตามองมือใหญ่ ค่อยๆแกะมันออกไป ขันทีข้างกายไท่จือกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เกรงว่าไท่จือจะทำสิ่งใดโดยพลการจนทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวาย ตามมาทีหลัง
“ไท่จือ หว่านหนิงเพิ่งแต่งเข้าตำหนักร้อยดาว ไท่จือมีอะไรเชิญพูดตรงๆ ”เหลือบตามองมือใหญ่ที่จับอยู่ที่ข้อแขน
“ข้า..กำลังต้องการใครสักคน มาเดินชมสวนเป็นเพื่อนในเช้านี้”สายตาจงใจสื่อความหมายบางอย่าง
“เกรงว่าจะไม่เหมาะนักห้องหับในตำหนักร้อยดาวรกเรื้อ หว่านหนิงเห็นทีต้อง ทำความสะอาดเสียยกใหญ่เช่นนั้นคงไม่อาจซุกตัว”
พูดความจริงเพื่อหลบหลีก เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้สนใจไท่จือมากไปกว่าการทำความสะอาดตำหนักร้อยดาวหรืออีกความหมายก็คือการทำงานหนักสำคัญกว่าตำแหน่งของเล่นของไท่จือหว่านหนิงพร้อมที่จะทนทุกข์ดีกว่าต้องไปเดินเล่นกับไท่จือ
“ลี่หยาง...พี่ห้า ยึดครองตำหนักร้อยดาวมาแต่ต้นและไม่ยอมให้ใครเข้าออก”หว่านหนิงขมวดคิ้วจะเชื่อดีไหม
“เช่นนั้นไท่จือโปรด ให้หว่านหนิงไปเถิดตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไร”
เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ทำให้ไท่จือยังไม่ละความพยายาม
“ตำหนักร้อยดาวไม่มีคนเสวย ลี่หยางก็ถูกสั่งให้ออกมาเสวยข้างนอก หากเจ้าไม่ถือสาตำหนักบูรพาของข้า ยกเครื่องเสวยหลายเวลาครบครันคาวหวาน”
หว่านหนิงยิ้มประสานมือย่อตัวลงช้าๆยิ้มเยือกเย็น
“หว่านหนิงทูลลา”ลี่กวงมองตามสุดสายตา ใบหน้างดงามยังติดตรึงใจ
“ทำไมข้าไม่เจอนางก่อนที่เสด็จพ่อจะประทานนางให้เขา”
พึมพำเบาๆด้วย นิสัยส่วนตัวของลี่กวงเป็นที่รู้ดีในวังหลวง
หว่านหนิงมาถึงห้องเครื่องที่กำลังโกลาหลในการจัดเครื่องเสวยในเวลากลางวัน โชคดีอาจได้ของกินให้พอได้อิ่มท้องเช่นนั้นหรือนึกถึงคำพูดประโยคสุดท้ายของลี่หยาง ในเมื่อเป็นชายาขององค์ชายเช่นไรจึงต้องลำบากถึงเพียงนี้
“นายหญิง เสี่ยวไถอาสาไปเตรียมอาหารให้”น้ำเสียงจริงใจ
“ที่เขาเตรียมไว้เล่า”
หว่านหนิงถามกลับในเมื่อเห็นว่ามีหลายคนช่วยกันจัดเตรียมเครื่องเสวยคาวหวานมากมายไว้สำหรับเครื่องเสวยตอนกลางวัน
“อาหารพวกนั้นสำหรับตำหนักต่างๆ ไม่มีของตำหนักร้อยดาว”
หว่างหนิงถอนใจยาวเอาเข้าจริงลำบากกว่าที่คิดเสียอีก
“ไม่เป็นไร ข้าหาเองได้”
เดินเข้าไปข้างในสายตานับสิบคู่ไม่ได้เป็นมิตรอย่างที่อยากให้เป็น แต่หว่านหนิงรู้แล้วว่าอาจเจออะไรที่แย่กว่านี้ ในเมื่อลี่หยางโดดเดี่ยว หว่านหนิงก็คงไม่ต่างกัน
หยิบผักและหมูมาลงมือหั่น เตรียมสำหรับผัดไม่จำเป็นต้องให้ใครทำหว่านหนิงใช้ชีวิตแบบนี้งานบ้านงานเรือนไม่เคยบกพร่อง อิงไถกับกุ้ยอิงมองอย่างชื่นชมในความเรียบง่ายของหว่านหนิง
ใช้เวลาทำอาหารเพียงครู่เดียวก็ได้ผัดผักหอมกรุ่น คิดขึ้นได้ว่าองค์ชายห้าจะเสวยที่ไหน เวลานี้ก็ใกล้ได้เวลาเสวยกลางวันแล้ว อิงไถยกถาดมาวาง หว่านหนิงตักผัดผักฝีมือของตัวเองลงบนถาด ตักข้าวใส่ถ้วยจนพูนพยักหน้าให้อิงไถ
“ยกไปให้องค์ชายห้าแล้วค่อยกลับมาที่ตำหนักร้อยดาว”ทอดเสียงอ่อนโยนไม่ได้ออกคำสั่งอย่างที่อิงไถคิดไว้
อิงไถยิ้ม นับว่ามีมิตรไมตรีไม่น้อยสาวใช้นิสัยใช้ได้สองคน เหมือนกับถูกคัดสรรมาให้หว่านหนิงโดยเฉพาะนับว่าสวรรค์มีตา กุ้ยอิงถือถาดผัดผักกับข้าวสามจานตามหว่านหนิงไปที่ตำหนักร้อยดาว
อิงไถยกถาดอาหารยืนรอหน้าตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้ กลิ่นผัดผักร้อนๆหอมน่ากิน ลี่หยางเหลือบตามองอิงไถ
“องค์ชาย พระชายาให้นำมาให้ท่าน”
ใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึกแต่ก็ยอมรับเอามาถือไว้โดยดี ฮ่องเต้เดินมายืนเอามือไพล่หลังมอง ลี่หยางนั่งลงกินเครื่องเสวยฝีมือหว่านหนิง
“ลูกคนนี้ จะรักก็ไม่ได้จะเกลียดก็ไม่อาจทำ”
ฮ่องเต้พูดเปรยๆ ต่อหน้าขันทีข้างกายฝานกงกงที่อมยิ้ม
“รักไม่ให้ใครรู้ เกลียดยามที่มีคนเห็นเช่นนั้นถึงจะทำให้องค์ชาย...ไม่เป็นที่เกลียดชังยิ่งไปกว่านี้”ฮ่องเต้ถอนหายใจยาวเหยียด
เย็นมากแล้ว หว่านหนิงทำความสะอาดตำหนักร้อยดาวยังไม่ถึงครึ่งของส่วนที่เหลือ ตำหนักใหญ่กว้างขวางแทบจะไร้ประโยชน์เมื่อผู้ครอบครองเป็นคนที่ไร้ซึ่งอำนาจเช่นองค์ชายห้าลี่หยางตำหนักจึงถูกปล่อยปะเช่นเดียวกับผู้ครอบครอง
“พระชายา เหนื่อยมากแล้วให้เสี่ยวไถกับเสี่ยวกุ้ยจัดการให้ ระหว่างนี้ไปแช่น้ำรอองค์ชายกลับมาจะดีกว่า”
โอ้หากจะเป็นอย่างนั้นคงจะดีไม่น้อย แต่ตอนนี้ไม่อาจทำได้ ในเมื่ออาหารเย็นก็ไม่มี ความคิดสะดุดลงเมื่อฝานกงกงเดินนำบวนของเหล่าขันทีและนางกำนัลเข้ามาเป็นแถวยาวเหยียด
“จงหว่านหนิงชายาองค์ชายห้า รับราชโองการรรร”
หว่านหนิงรีบเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน เดินมาคุกเข่าตรงหน้าขันทีข้างกายฮ่องเต้ฝานกงกง
“ด้วย ฝ่าบาททรงตระหนักเรื่องการใช้ชีวิตในตำหนักร้อยดาว และเห็นว่าเจ้าจะต้องทำอาหารเองลำบากเดินทางระหว่างห้องเครื่องให้เกิดความวุ่นวายจึงได้พระราชทานเครื่องครัวและ มีบัญชาให้จัดห้องสำหรับทำเครื่องเสวยที่นี่เป็นกรณีพิเศษ ทุกเช้าบัญชาให้ห้องเครื่องนำวัตถุดิบเช่นเดียวกับที่ทำเครื่องเสวยแบ่งมาให้ตำหนักร้อยดาว จงหว่านหนิงรับราชโองการรรร”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หว่านหนิงก้มศีรษะจรดพื้น อย่างไรถึงเรียกว่ามีโชคเช่นนี้ใช่หรือไม่
เอื้อมมือรับราชโองการมาถือไว้ เครื่องครัวและวัตถุดิบมากมายถูกลำเลียงเข้ามาวางในตำหนักร้อยดาว
“ต่อไปพระชายาก็ไม่ต้องลำบากไปหาของกินที่ห้องเครื่องอีกแล้ว”
ฝานกงกงเหมือนจะรู้ความเคลื่อนไหวของหว่านหนิงดี
“หว่านหนิง ขอบคุณกงกงที่เมตตา”ย่อกายลงน้อยๆ ฝานกงกงประสานมือรับการเคารพ
“หากจะขอบคุณข้าน้อย พระชายานำคำขอบคุณไปกล่าวกับองค์ชายจะดีกว่า”
ยิ้มจริงใจที่หว่านหนิงไม่คิดว่าจะได้พบเจอที่นี่
เครื่องเสวยเย็นที่เป็นการร่วมแรงร่วมใจของทั้งหว่านหนิงอิงไถและกุ้ยอิง สำเร็จลุล่วงง่ายดาย เครื่องเสวยวางอยู่เต็มโต๊ะที่ถูกจัดเรียงอย่างสวยงาม
ลี่หยาง เดินถือหมวกเข้ามาในตำหนัก ภายในสะอาดสะอ้าน แจกันมีดอกไม้ ฝุ่นจับเกรอะกรังหายไป หน้าต่างถูกเปิดอ้าออกรับลมเสียงกระดิ่งลมแว่วมาเบาๆ กลิ่นพิสุทธิ์จนเผลอสูดลมหายใจเข้าลึกๆรู้สึกสดชื่นอย่างที่สุด
“องค์ชาย เครื่องเสวยพร้อมแล้ว”
หว่านหนิงในชุดเสื้อผ้ามอมแมม ยังไม่ทันอาบน้ำชำระร่างกายแต่ทว่าใบหน้ามอมแมมกับน่ามองไปอีกแบบ หากเป็นผู้อื่นคงเผลอยิ้ม แต่ลี่หยางหาเหมือนคนอื่นไม่ คิ้วดกขมวดเข้ากัน
ก้าวขาเข้าไปข้างในใบหน้ายังเรียบเฉย โต๊ะเสวยถูกจัดเตรียมพร้อมไว้แล้วเขานั่งลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยข้าวร้อนๆ ขึ้นมาพุ้ยใส่ปากไม่มีคำชมแม้ว่ารสชาติอาหารจะถูกปากเหมือนเมื่อกลางวันไม่มีผิด
“ของในห้องเครื่องมีจำกัด”
เหมือนจะบอกว่าไม่ควรหยิบมาโดยพล เป็นการตำหนิกลายๆอย่างนั้นหรือ
“ฝ่าบาท มีบัญชาให้ข้าทำเครื่องเสวยสำหรับองค์ชายที่นี่ได้ และยังแบ่งวัตถุดิบเช่นเดียวกับที่ทำเครื่องเสวยมาในทุกวัน”หว่านหนิงอธิบาย
“คงเกรงว่า.. พระชายาจะไปวุ่นวายในห้องเครื่องเช่นเมื่อกลางวัน”หว่านหนิงยิ้ม นอกจากไม่ชมแล้วยังว่ากล่าวได้อีก
“ท่านยอมอด แต่ข้าไม่”
พูดตามที่คิดไม่ได้โกรธเคืองคำว่ากล่าวนั้น คิดว่าคงจบเพียงเท่านั้นแต่..
“ยิ่งมากคนก็ยิ่งวุ่นวายเดิมทีข้าอยู่เพียงลำพัง ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นอย่างนี้ฮองเฮาจะคิดว่าเจ้ามากเรื่อง”
จะบอกว่าให้ระวังตัวอย่างนั้นหรือ หว่านหนิงนิ่งไม่ต่อความก็ในเมื่อรู้สึกเหมือนคำพูดนั้นต้องการตักเตือนด้วยความจริงใจ
ลี่หยางกินได้มากกว่าทุกวัน หว่าหนิง ช่วยกุ้ยอิงกับอิงไถเก็บโต๊ะเสวย
จากนั้นหว่านหนิงเตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบ ใส่ในถังไม้น้ำอุ่นกำลังพอดี ตั้งใจถอดเสื้อผ้าให้ ตามแบบของภรรยาที่ดี
“เจ้าก็ไปอาบน้ำเสียเถิด เหนื่อยมาทั้งวัน”
ถอดเสื้อรุ่มร่ามออกเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวซีดแต่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม หว่านหนิงหลุบตามองพื้นแล้วรีบออกจากห้องน้ำไป ใจเต้นโครมคราม อีกคนหย่อนตัวลงไปในน้ำจนมิดหัวนอนนิ่งอยู่ใต้น้ำปล่อยความคิดมากมายวิ่งวน รู้สึกประหลาดกับหว่านหนิง เหมือนกับกำแพงความโดดเดี่ยวทั้งหมดถูกทลายลงไป
แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองจำต้องพูดมากกว่าที่ผ่านมา
เกี้ยวสีแดงถูกหามส่งเข้าวังในตอนเย็นย่ำวันหนึ่ง หว่านหวงลู่รู้ดีว่าไม่ต้องมาส่งหว่านหนิง สิ่งที่หว่านหนิงต้องการคือการเข้าไปในตำหนักร้อยดาวแบบเงียบๆ ก็ในเมื่อลี่หยางมิได้เป็นที่สนใจ และไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร“คุณหนู ข้าเห็นทีต้องกลับแล้วเช่นกัน ท่านนั่งรออยู่ในห้องบรรทมขององค์ชายห้า เพียงครู่คาดว่า องค์ชายคงเสด็จในไม่ช้าเพราะมิได้มีการเลี้ยงฉลอง งานแต่งอย่างที่ควรจะเป็น “แม่สื่อที่มีหน้าที่เดินนำเกี้ยว ตามธรรมเนียมเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึงตำหนักร้อยดาว“ท่านป้ากลับไปเถิดข้าทำใจไว้แล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้ หลายอย่างไม่เกินคาดหมายนัก”แม่สื่อยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะถอยออกไปทันทีหว่านหนิงยืนนิ่งหน้าตำหนักรกร้างไม่มีการเลี้ยงฉลองไม่มีแม้กระทั่งการคารวะบรรพบุรุษ หรือญาติผู้ใหญ่มีเพียงส่งตัวหว่านหนิงเข้ามาในตำหนักร้อยดาวเพียงลำพัง“ท่านแม่ หว่านหนิงจะพยายามให้ถึงที่สุด”สูดลมหายใจเข้าลึกๆผลักบานประตูเข้าไปช้าๆ ภาพเบื้องหน้าคนผู้หนึ่งในอาภรณ์สีแดงรูปร่างสูงโปร่ง แต่ซูบผอมปากคอคิ้วคางแม้จะรับกับใบหน้าคิ้วดกดำผิวขาวจนกลายเป็นซีด ริมฝีปากบางแต่ทว่าซีดขาว หากมีสีเลือดกว่านี้ บุรุษผู้นี้อาจจะนับได้ว่าหล่อเหลาเราเ
หว่านหนิงในอาภรณ์เต็มพระยศในแบบของฮองเฮา ยืนเคียงข้างลี่หยางฮ่องเต้รูปงามแต่ใจเดียวสมกันราวกิ่งทองใบหยกมือข้างขวาถูกมือของลี่หยางเกาะกุมไว้ จุดธูปเทียนบูชาสวรรค์และบรรพบุรุษ เตรียมที่จะขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร ฉีกวนลี่ยืนอยู่ข้างหน้าสวมมงกุฎสีทองอร่ามลงบนศีรษะของลี่หยาง“นับแต่นี้เจ้าคือฮ่องเต้แคว้นจ้าวองค์ใหม่ ลี่หยางฮ่องเต้พ่อหวังว่าเจ้าจะทำนุบำรุงศาสนาและปกป้องดูแลราษฎรดุจลูกหลานของเจ้า”ฝานกงกง ยื่นตราประทับของฮ่องเต้ ให้ฉี่กวนลี่ที่มอบมันให้กับลี่หยางหน้ามุขสูง ทั้งสองคนลี่หยางและหว่านหนิงยืนเคียงข้างกันเสียงแซ่ซ้องจากราษฎรดังไปทั่วลานกว้าง ลี่หยางยิ้มกว้าง ชีวิตเขาแม้ผ่านความลำเค็ญมากมายเพียงใดแต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องราวที่เป็นบทเรียนสอนใจเท่านั้นต่อจากนี้ ชีวิตขององค์ชายห้าผู้อับเฉามีพร้อมแล้วซึ่งความสุขและครอบครัวในวันนั้นลี่หยางนั่งซุกอยู่ในมุมมืด เดียวดายเหน็บหนาวความมืดปกคลุมไปทั่วบริเวณท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความหิว ในคืนไหว้พระจันทร์ที่หลายคนต่างสนุกสนาน แต่เขากลับเดียวดาย ครึ่งหลับครึ่งตื่นเด็กหญิงตัวอ้วนป้อมยกมืออุ่นขึ้นลูบใบหน้าเบาๆ แล้ววางขนมไหว้พระ
ลี่หยาง สืบเสาะหาสมุนไพรนานาชนิดมาบำรุงร่างกายให้หว่านหนิงทั้งสมุนไพรสำหรับช่วยให้การคลอดไหลลื่น และสุมนไพรบำรุงร่างกายทั้งทารกในครรภ์และตัวหว่านหนิงเอง อาหารทุกอย่างล้วนถูกลี่หยางชิมเสียก่อน ท่องจำเรื่องราวอาหารคาวหวานที่หว่านหนิงกินว่าสิ่งใดทำให้แพ้ท้อง สิ่งไหนที่หว่านหนิงไม่ชอบ วันว่าง ก็จะฝึกการนั่งการนอนและการหายใจ ตำราต่างๆ มากมายนำมากองรวมกัน ลี่หยางใช้เวลาทั้งหมดในการอ่านตำราเกี่ยวกับการตั้งครรภ์“ลี่เจินส่งสาสน์เรื่องการสถาปนาฮ่องเต้ของเแค้วนเหว่ย”“ส่งของกำนัลยังแคว้นเหว่ย ความจริงข้าอยากให้ไท่จือเดินทางเข้าร่วมงานพิธีในครั้งนี้ หากแต่ไท่จือเฟยใกล้จะคลอดเต็มที คงไม่เหมาะนักที่จะให้ไท่จือเดินทางแรมเดือน”“ฝานกงกง อาสาเดินทางนำของกำนัล ร่วมแสดงความยินดีกับองค์ชายสิบสองลี่เจิน”ฉีกวนลี่พยักหน้าเห็นด้วย“ลูกคิดว่ารอให้ไท่จือเฟยคลอดองค์ชาย จึงจะส่งสาสน์ให้ลี่เจินและอันฝูร่วมเฉลิมฉลองแสดงความยินดีอีกครั้ง ลูกเองก็คิดถึงลี่เจินไม่น้อยอยู่ต่างแคว้นต้องปรับตัว คงลำบากมากหน่อย”“ลี่เจินไม่นานก็จะขึ้นนั่งบัลลังก์ เป็นเขาที่จัดการบางอย่างได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้”ฉีกวนลี่ชื่นชมลี่เจิน ออกนอก
"หญิงผู้หนึ่งที่ยอมแต่งกับองค์ชายที่มีดวงพิฆาตไม่สนใจเสียงร่ำลืออีกทั้งพยายามฉุดดึงและสร้างองค์ชายที่แข็งแกร่งยอมทนลำบากเพื่อรอวันที่สวยงามวันที่ฟ้าสดใส แต่เมื่อวันนั้นมาถึงกลับต้องถูกปล่อยให้เดียวดายในตำแหน่งที่สูงส่ง"องครักษ์วิ่งเข้ามาข้างใน"ฝ่าบาทไท่จือเฟยเป็นลมหมดสติ อยู่ข้างๆ ที่ไท่จือคุกเข่าอยู่"ฉีกวนลี่ลุกขึ้นยืน ฝานกงกงถลาออกไปด้านนอกพบลี่หยางกำลังเขย่าร่างไร้สติของหว่านหนิง ปากก็ร้องเรียกหาหมอหลวง หยาดฝนยังโปรยปรายไม่หยุดลี่หยางและหว่านหนิงเปียกปอนร่มที่ถือมาถูกกางกันฝนให้ลี่หยางแต่ตัวเองยอมเปียกฝน ลี่หยางพยายามจะลุกขึ้นยืนทั้งที่ปวดหัวเข่าเพราะคุกเข่าอยู่เสียนาน"พาไท่จือเฟยเข้าไปข้างในตำหนักก่อน"ฉีกวนลี่พูดขึ้นดังๆ ลี่หยางมองสบตาฉีกวนลี่สายตาเจ็บซ้ำ ฝานกงกงช่วยพยุงทั้งสองคนให้ลุกขึ้นพาเข้าไปด้านใน"ตามหมอหลวง"ฉี่กวนลี่ออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังฝานกงกง เตรียมอาภรณ์ชุดใหม่ให้ลี่หยาง"ให้ห้องเครื่องต้มน้ำขิงแล้วนำมาที่นี่ทันที"ตำหนักฮ่องเต้บังเกิดความวุ่นวายไม่น้อย หมอหลวงถือหลวมยาเข้ามา ลี่หยางถลาเข้าไปข้างๆหว่านหนิง"ไท่จือเฟยเป็นอย่างไรบ้าง แล้วลูกของข้าล่ะ"ฉีกวนลี่หันขวั
“ข้า..ข้า..ข้ากำลังจะเป็นพ่อเจ้าได้ยินไหม ลูกของเรา”หว่านหนิงยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นลูบที่ท้องอย่างทะนุถนอมตอนที่55ยอม"เจ้าเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเท่าที่ข้าเคยมีบัดนี้กับให้สิ่งมีค่าที่สุดแกข้าเพิ่มเติม อย่างนี้จะไม่ให้รักเจ้าได้อย่างไร"กอดประคองหว่านหนิงแน่น"ท่านพี่ท่านกับลูกก็คือสิ่งเดียวที่ข้าหวงแหนที่สุด"ลี่หยางกลับพูดน้อยลงกว่าเดิม เขามีเรื่องให้ทำมากมายแต่รอยยิ้มกลับเพิ่มมากขึ้น เฝ้ามองหว่านหนิงทุกอย่างก้าว จะนั่งหรือเดินต้องคอยประคอง ดังกลัวว่าจะหกล้ม“กุ้ยอิงกับอิงไถต่อแต่นี้อย่าให้ไท่จือเฟยทำงานใดใดในตำหนักร้อยดาว พวกเจ้าต้องมั่นดูแลอย่าให้ไท่จือเฟยต้องลงมือทำสิ่งใดไม่อย่างนั้นข้าคงต้องสั่งลงโทษเจ้าทั้งสอง อีกไม่นานข้าจะหานางกำนัลที่ไว้ใจได้สักหลายคนหน่อยมาคอยดูแล ไท่จือเฟย”หว่านหนิงยิ้ม“ข้าให้หมอหลวงส่งยาบำรุงที่ดีที่สุดมาที่ตำหนักร้อยดาวข้าตั้งใจเคี่ยวยาให้เจ้าด้วยตัวเอง”“ท่านพี่จะทรงลำบากไปไย”“เพื่อเจ้า เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าทำเพื่อข้าอีกทั้งยังอุ้มท้องลูกของข้า ทนลำบากอยู่หลายเดือนเรื่องที่ข้าทำจึงถือว่าเล็กน้อยเหลือเกิน”"อีกอย่างข้าเห็นท่าน หาซื้อผ
“องค์ชายน้อยอยู่ในครรภ์ของเจ้าแล้วตอนนี้ ข้าจะทูลให้เสด็จพ่อยกเลิกกฎการมีชายารองและแต่งตั้งสนมมากมายให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมาเสียที”หว่านหนิงซุกหน้าลงบนอกกว้างที่บัดนี้กับอบอุ่นมิได้เย็นชาเหมือนที่ผ่านมา อ้อมกอดที่กระชับแน่นทั้งคืนไม่เขินอายหรือแอบประคองกอดเหมือนเมื่อครั้งแต่งเข้าตำหนักร้อยดาวใหม่ๆ“หว่านหนิงไม่ขอสิ่งใดขอเพียงได้เคียงข้างเช่นนี้ทุกค่ำคืน” หว่านหนิงตกใจใน คำพูดของตัวเองไม่น้อย ก่อนหน้านั้นยังคิดว่าการแต่งเข้าตำหนักร้อยดาวเป็นการตกนรกหรือไร แต่มาวันนี้กลับรู้สึกว่าตำหนักร้อยดาวแห่งนี้เป็นดั่งสวรรค์ เมื่อมีลี่หยางประคองกอดอยู่อย่างนี้ทุกค่ำคืนทั้งคืนหว่านหนิงสวมเสื้อคุลมมังกรสีน้ำเงินเข้มให้ลี่หยาง ใบหน้าหล่อเหลาช่างดูเหมาะกับเสื้อคลุมมังกรเหลือเกิน เหล่าขุนนางราชสำนักคุกเข่าส่งเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ“ไท่จือทรงพระเจริญ พันปี”หว่านหนิงยิ้มอย่างเป็นสุข ลี่หยางหันสบตากับหว่านหนิง ส่งยิ้มกว้างกว่าทุกครั้งที่หว่านหนิงเคยเห็นมา“เจ้าคิดว่าได้อย่างนั้นหรือ การที่เจ้าจะตัดสินใจสิ่งใดโดยใช้ความรู้สึกของตัวเองตัดสิน”“เสด็จพ่อ ฝ่าบาทลูกเห็นทีจะ ขอสละตำแหน่งไท่จือ”หว่านหนิ