CW: มีการกล่าวถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ, เลือด, ความรุนแรง, เนื้อหาล่อแหลมทางเพศ, ภาวะซึมเศร้า และการอัตวินิบากกรม
**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเป็นอย่างสูง**
กุมภ์ต้องการบอกสามีคนปัจจุบันมาตลอด ว่าคืนแต่งงานนั้น ‘ไม่ใช่ครั้งแรก’ ของเขา แม้ว่านั่นจะเป็นร่างกายอันบริสุทธิ์ก็ตาม ตลอดช่วงที่คบหากันเขาคิดมาเสมอ ว่าการได้มาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในชาติที่สามจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้พบเจอกับใบหน้าอุบาทว์นี่สะท้อนอยู่บนกระจก
เขามีอาการต่อต้านหลังเพศสัมพันธ์กับพ่อครูคนนั้น ซึ่งพยาบาลอย่างเขาทราบดีว่ามันหมายถึงอะไร การอาเจียน อาการครั่นเนื้อครั่นตัวพะอืดพะอม และความร้อนผ่าวราวถูกไฟลนเมื่อถูกสัมผัสจากผู้ชายคนอื่น มันหมายความว่าลึก ๆ ร่างกายตอบสนองตามความทรงจำที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายเป็น
แม้มันอาจเลือนรางไปบ้าง แต่ในชาติแรกของเขารวมถึงอีกสองชีวิตที่เคยใช้ เขามีจุดเริ่มต้นมาจากตระกูลเศรษฐีผู้ร่ำรวย มีมารดาผู้จิตใจดี และบิดาซึ่งคอยประคบประหงมตัวเขาซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวราวกับไข่ในหิน ไม่ว่าต้องการอะไร หากเป็นสิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินตรา เขาจะได้มันมาถือครองทั้งหมด รวมไปถึงการมีอาจารย์ส่วนตัวคอยสอนทั้งเรื่องภายในครัวเรือน ยันวิชาเฉพาะในโรงเรียนที่ยากจะมีโอกาสนัก หากเกิดเป็นเพศสุคนธ์ เมื่อมีความรู้ติดตัวมากขึ้น มันจึงราวกับเป็นการเปิดโลกทัศน์
ตัวเขาในวัย ๑๓ ปี อ้อนบิดาเพื่อขอไปช่วยงานพยาบาลซึ่งเป็นอาชีพในฝันหลังได้ลองศึกษาตำราพื้นฐานด้วยตนเอง แม้งานที่มีโอกาสได้ทำจะเป็นการเย็บมุมเอกสาร หรือการช่วยทำความสะอาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม แต่เมื่อได้ลองไปหาประสบการณ์จริง เขาจึงมั่นใจว่าอยากทำอาชีพนี้เพื่อเป็นความภาคภูมิใจของตนเองและพ่อแม่
การเรียนการสอนมีด้วยกันทั้งหมดรวมการฝึกงานแล้วสิ้น ๒ ปีครึ่ง แม้ลำบากไปสักนิดในการขอร้องผู้ปกครอง แต่สุดท้ายด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าของเด็กวัยละอ่อน เขาจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนเฉพาะทาง ซึ่งเต็มไปด้วยเพศที่สูงกว่าและตัวเขาก็เป็นสุคนธ์เพียงคนเดียวในสถานศึกษา
ทว่านอกจากบิดามารดาจะต้องอนุญาตแล้ว คู่หมั้นของเขาเองก็ต้องเห็นด้วยกับสิ่งนี้ผ่านการลงนามในเอกสารเช่นกัน ทางโรงเรียนจึงจะยอมรับให้สุคนธ์เข้าไปศึกษาได้ เนื่องจากโดยทั่วไป วัยนี้สุคนธ์ล้วนต่างต้องออกเรือนแต่งสามีกันหมด หากมีการตั้งครรภ์ขึ้นมาขณะเรียนคงไม่เหมาะสมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
“ไม่ว่ากุมภ์จะทำอะไร พี่พร้อมสนับสนุนเสมอ”
น้ำเสียงอันอบอุ่นราวกับไอน้ำที่ลอยฟุ้งในอากาศนั้นเขายังจำได้ไม่ลืมเลือน ผู้ชายคนนั้นเอ่ยมันพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็ก ๆ พลางจับมือถือแขนขึ้นไปจุมพิตอย่างแผ่วเบาคล้ายกับตัวเขากำลังอยู่ในเทพนิยาย
“พี่จิระใจดีกับน้องเสมอเลย”
“แน่นอนสิ กุมภ์ของพี่ทั้งที”
เสียงใส ๆ ที่ตอบกลับชายคนรักพร้อมรอยยิ้มกว้างที่แทบจะฉีกถึงหู หากย้อนกลับไปได้เขาจะไม่ให้คนอย่างมันมาแตะต้องตัวเด็ดขาด
เด็กไร้เดียงสาไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ภาพลักษณ์ของชายสุภาพคนนั้นจะมีแต่ความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะภายหลังเมื่อเขาร่ำเรียนไปได้เพียงปีเดียว จู่ ๆ อาจารย์ที่สอนก็มาบอกว่าตัวเขาถูกถอดชื่อออกจากสถาบัน เนื่องจากมีหนึ่งในผู้ปกครองมายื่นคำร้อง และคนคนนั้นคือคนที่บอกว่าพร้อมจะสนับสนุนเขาไม่ว่าความต้องการของเขาจะเป็นสิ่งใด
ในวันเดียวกันนั้นเอง เขาพาตัวเองไปที่ห้องธุรการเพื่อสอบถามความแน่ใจอีกครั้ง แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาไม่สามารถเข้าเรียนกับเพื่อน ๆ ได้อีกต่อไป จำต้องทิ้งวิชาที่พยายามร่ำเรียนมาเพื่อทำตามความต้องการของคนนอก
เขาขังตัวเองอยู่ในห้องราวกับเป็นเด็กไม่รู้จักโต ปฏิเสธการเข้าหาจากทุกคนและใช้ชีวิตจากอาหารที่แม่บ้านนำขึ้นมาวางให้หน้าห้อง ยิ่งรู้ว่าพ่อกับแม่เห็นดีเห็นงามกับจิระ ตัวเขาก็หมดความไว้เนื้อเชื่อใจไปจนสิ้น
ไม่ใช่ว่าเราสัญญากันแล้วหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าจะสนับสนุนตัวเขาหรือ ทำไมถึงได้มากลับคำแบบนี้ ทว่าตัวเขาในตอนนั้นช่างไร้หัวคิดจนน่าโมโหจริง ๆ คิดเหรอว่าตัวเองที่ถูกคู่หมั้นมองว่าเป็นเครื่องผลิตลูกราคาแพงจะได้เป็นอิสระจากค่านิยมของสังคม
“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรานะครับ”
ถ้าปากมากนักก็อย่าดีแต่พูดแก้ตัว
“แต่พี่เห็นเราเรียนหนัก”
แล้วมันไปหนักบนหัวพ่อคุณหรืออย่างไร
“เป็นแบบนี้ต่อไปมันจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายเรานะครับ”
ตัวเขายังไม่มีปัญหากับร่างกายตัวเองเลย แล้วคนอย่างคุณมีสิทธิ์อะไรมากำหนดชีวิตคนอื่นตามใจชอบ
“พี่...เป็นห่วงเรานะครับ”
ทว่าตัวเขาซึ่งยังไม่ประสีประสา โดนคำหวานปลอมเปลือกล้างสมองเสียจนหลงเชื่อไปทุกสิ่งอย่างที่ชายคนนั้นพูด น้อมรับกอดนั้นเข้ามาทั้งที่ความฝันทั้งชีวิตของตัวเองถูกพังไม่มีชิ้นดี
ด้วยเหตุอันไม่อาจให้อภัยนั้น เขาจึงขอเลื่อนการแต่งงานออกไป อันเป็นที่หัวเสียของทั้งผู้ใหญ่ฝั่งนั้นและฝั่งเขาเป็นอย่างมาก จากบิดาที่เคยจิตใจดีเริ่มกล่าวคำกดดันย้ำเตือนถึงจุดประสงค์ของร่างกายนี้
‘กูเลี้ยงมึงมาโตป่านนี้ ทำไมถึงไม่รู้หน้าที่ของตัวเองอีก’
‘ที่ผ่านมาไม่ว่าอะไรกูก็หามาให้ อยากไปเรียนข้างนอกกูก็ให้ไป แล้วยังจะต้องการอะไรอีก’
จะทำกูขายขี้หน้าไปถึงไหน... แสดงว่าตัวเขาที่ถูกเลี้ยงดูมาให้มีรูปร่างหน้าตาดีตามสมัยนิยม ถูกฝึกมารยาท และมีคนมาป้อนความรู้ให้ถึงที่บ้านเพียงเพื่อเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งของครอบครัวเองหรอกหรือ
จนเมื่อความอดทนนั้นหมดลง ค่ำคืนที่ฟ้าฝนโหมกระหน่ำในวัย ๑๗ แรก ได้มีเสียงเดินผิดแผกขึ้นมาบนเรือน พร้อมกับกุญแจที่สามารถเปิดห้องชั้นในสุดซึ่งเป็นห้องนอนของเขาได้ ยามเมื่อสายฟ้าผ่าลงมา ลูกชายเพียงคนเดียวคนนั้นซึ่งกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบพยาบาลครั้งถัดไปก็ได้เห็นร่างของใครบางคนเดินตรงเข้ามาราวกับมีจุดประสงค์บางอย่าง
บานประตูนั้นได้ปิดลงพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน หรือบางทีทุกคนในเรือนนั้นต่างรู้กันดีว่าในคืนนั้นตัวเขาจะถูกกระทำสิ่งใดจากคู่หมั้นซึ่งเมามายบ้าง
รอยพันธะบริเวณหลังคอนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดและบวมปูดโปน อันเนื่องมาจากร่างกายอันไม่สมยอม คราบน้ำเหนียวพร้อมเลือดแห้งสีน้ำตาลเกรอะกรังเต็มช่วงล่างไหลนองไม่ต่างจากน้ำตาบนใบหน้า ตัวเขาในคืนนั้นร้องขอความปรานีจนเสียงแหบแห้งแต่ไม่เป็นผล ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่รอยช้ำจ้ำแดงจากการตีตราจองและการขัดขืนตลอดราตรี
หลังจากนั้นตัวเขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองทำอะไรลงไปหลังกลับมามีสติ ทว่าจำได้อีกก็คงจะเป็นตอนถูกส่งตัวมายังบ้านสามีหลังพิธีแต่งงานพร้อมหน้าแก้มที่บวมช้ำจากแรงตบของบิดาผู้ให้กำเนิดนั่น จึงทำให้แม่สามีไม่พอใจใบหน้าของเขาซึ่งได้รอยแผลมา แม้อีกไม่กี่สัปดาห์มันจะหายกลับมาเป็นปกติก็ตาม
ภายในคฤหาสน์หลังนั้นตัวเขาโดนแม่สามีโขกสับราวกับเป็นคนใช้ แต่เพราะทำครัวไม่เป็นจึงโดนไล่ให้มาปัดกวาดเช็ดถูบ้านทั้งหลังเพียงคนเดียวแทน เพราะเจ้าหล่อนบอกว่าสมัยเธอเป็นสะใภ้ก็ต้องดูแลทุกอย่างในบ้านเช่นกัน
ความต้องการของผู้หญิงคนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากบังคับเขาตื่นเช้ามาเช็ดทำความสะอาดซักผ้ารีดผ้าจรดค่ำแล้ว ยังสั่งให้มีบุตรกับลูกชายตัวเอง แต่การที่เขานอนไม่พอติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้ร่างกายไม่ตอบรับความต้องการอันเกินตัวนั้นทั้งอาหารมื้อหนึ่งที่เขากินได้นั้นมีปริมาณน้อยนิด เนื่องมาจากสามีคนนั้นไม่ชอบคนอ้วน จึงฝากแม่ตัวเองมากำชับไม่ให้เขาทานข้าวเกินมื้อละ ๑ ทัพพี สั่งให้เดินยกของไปมาติดต่อกันเป็นเวลานาน ประกอบกับการพักผ่อนที่น้อยเป็นทุนเดิมจึงทำให้ตลอดหลายเดือนมานี้ ไม่มีสัญญาณการตั้งครรภ์เลยแม้แต่น้อย
“กุมภ์ ไม่เป็นไรนะครับ เรามาพยายามด้วยกันนะ”
“อือ...”
“อย่าน้อยใจไปเลยนะครับ แม่พี่เขาก็เป็นแบบนี้ ต่อให้จะตำหนิเรา จะดุเรา แต่เขาก็รักเราไม่ต่างจากพี่หรอก”
เพราะมีคำหวานเคลือบยาขมป้อนในทุกคืน เขาจึงยอมทนอยู่ในขุมนรกมาจนตั้งท้องได้ โดยทำเป็นเมินการกระทำอันสวนทางของสามี ที่ไม่เคยถามความยินยอมภรรยายามร่วมเตียงเลยสักครั้ง
เขาพยายามทำตามสิ่งที่บ้านหลังนั้นคาดหวังราวกับคนบ้าเพื่อให้ได้รับการยอมรับ แม้ว่าจะตั้งท้องมาจนเข้าเดือนที่ห้าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงนอนไม่พอถึงกระนั้นก็ยังดีที่คุณนายอนุญาตให้ทานอาหารเพิ่มได้อีกนิดหน่อย
“พี่ นั่นใครเหรอจ๊ะ?”
กุมภ์ปลดเสื้อกันเปื้อน อุ้มท้องหอบสารร่างกระเซอะกระเซิงจากการทำงานบ้านไปทักทายสามีที่พึ่งกลับจากการคุยธุรกิจ ก่อนจะเห็นว่าวันนี้มีผู้ติดตามหูกระรอกมาด้วยหนึ่งคน
“ผมนภัคครับ เป็นเลขาของคุณจิระศักดิ์ ยินดีที่ได้พบครับนายหญิง”
“สะ...สวัสดีจ้ะ เดินมาคงเหนื่อยแย่ เดี๋ยวไปเตรียมน้ำมาให้นะจ๊ะ”
แม้ว่าตัวเขาจะตั้งครรภ์มาจนป่านนี้ แต่สามีกลับไม่คิดจะจ้างแม่บ้านสักคนเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ พอเลือกใจดีสู้เสือเอาเรื่องนี้ไปคุยกับแม่สามีกลับได้รับการตอบกลับมาแบบนี้
“จะขี้เกียจตัวเป็นขนไปจนถึงเมื่อไร! ฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าได้ลูกคุณหนูมาเป็นสะใภ้แล้วมันจะเรื่องเยอะขนาดนี้!”
“ตะ...แต่ฉันท้องอยู่นะจ๊ะแม่”
“อะไร ใกล้คลอดเสียเมื่อไหร่ ถ้าฉันจ้างพวกรากหญ้ามาแล้วเกิดมันขโมยสมบัติฉันไปจะทำยังไง เอ็งจะรับผิดชอบไหม!?”
“จะ...จ้ะ ฉันขอโทษจ้ะแม่ จะไม่ถามอีกแล้วจ้ะ”
“เหอะ! ให้มันรู้หน้าที่เสียบ้าง ไม่ใช่สร้างแต่เรื่องให้ฉันหัวเสีย”
ไม่ใช่ว่าตัวเขาไม่พยายามติดต่อกับบิดามารดาเลย แต่เพราะงานที่รัดตัว ตกกลางคืนมาก็เหนื่อยจนไม่มีแรงเขียน คราวจะหาปากกากับกระดาษก็ยากลำบากเพราะช่วงหลังมานี้สามีไม่ชอบให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายในห้องทำงานส่วนตัว พร้อมบอกจะทำความสะอาดเอง จึงไม่มีโอกาสได้ขอเครื่องเขียนมาส่งจดหมายไปถึงที่บ้าน กลับกันทางนั้นเองก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนเขาเลยนับตั้งแต่แต่งงาน สงสัยตอนนั้นคงตัดพ่อตัดลูก ข้อหาทำเสียหน้าไปแล้วกระมัง
นอกจากนี้ในชาติแรกยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ มันเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่หลังตัวเขาและแม่สามีกลับมาจากการทำบุญที่วัด กลิ่นน้ำหอมนั้นโชยมาจากชั้นสอง เป็นกลิ่นที่สามีใช้บ่อยหลังเขาตั้งครรภ์ ซึ่งมันไม่ดีต่อเด็กในท้องแน่นอนแต่เขาที่ไม่อยากมีปัญหาจึงทำได้แต่เงียบไว้ไม่ให้ครอบครัวมีปากเสียง
เขาค่อย ๆ พยุงท้องเจ็ดเดือนขึ้นไปข้างบนอย่างระมัดระวัง เพื่อจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมลงมาช่วยล้างผักเตรียมให้แม่สามีเข้าครัว กระนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้จากบานประตูห้องทำงานที่แง้มอยู่ เขาจึงแอบมองเข้าไปข้างใน เพราะเมื่อคืนสามีไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง จึงเป็นห่วงเกรงว่าเจ้าตัวจะป่วยไข้
เมื่อมองกลับไป มันช่างเป็นความคิดที่น่าขันยิ่งกว่ามุกตลก เพราะเขารู้ดีว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
ตัวเขาที่ตั้งท้องโวยวายราวกับเสียสติ เปิดประตูเดินเข้าไปจิกหัวเลขานุการส่วนตัวของสามีที่กำลังร่วมเพศกับสามีตามกฎหมายของตนเองอยู่บนเบาะหนังก่อนจะเหวี่ยงร่างนั้นลงกับพื้นอย่างไม่ไว้หน้า เข้าตบตีสามีทั้งน้ำตาเรียกร้องถามหาความเห็นอกเห็นใจต่อลูกในครรภ์ แต่กับสามีที่พาชู้มาเอาถึงในบ้าน ทั้งยังหน้าด้านหน้าทนพามาทำความรู้จักกับภรรยาตัวเอง มันไม่ใช่คนที่จะกลับมามีสามัญสำนึกกันได้ง่าย ๆ
“พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง! ฮึก...ทำลายอนาคตของน้องแล้วยังจะ...ฮือ น้องอุตส่าห์เชื่อใจพี่ แล้วพี่ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!!? ฮึก...ฮือ”
เรื่องราวในอดีตประเดประดังเข้ามา ร่างกายร้อนระอุไปด้วยไฟแค้น เมื่อนั้นภาพสามีที่นั่งนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาจึงได้ดับวูบลง และกลายเป็นภาพของเพดานโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแทน
ตัวเขาแท้งเนื่องจากล้มหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ มิหนำซ้ำยังได้แผลลึกจนส่งผลต่อการเดิน แม่ผัวที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็เอาแต่บ่น ว่าเขาไม่หัดรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองจนต้องเสียลูกไป แล้วมันอย่างไรล่ะ ในเมื่อต่อให้เด็กคนนั้นเกิดมา ก็ต้องมารู้ความจริงพ่อมีชู้กับเลขานุการตัวเองในระหว่างที่แม่ตั้งท้อง มันคงเสริมพัฒนาการเด็กได้ดีน่าดูเชียว
ผ่านไปสักพักผู้หญิงแก่คนนั้นก็หุบปากสีแดงสดลงได้เสียที ก่อนจะด่าทิ้งท้ายและพาลูกชายออกไปด้วยกัน ทิ้งเขาเอาไว้กับสายน้ำเกลือและห้องนอนอันเงียบสงัดยามบ่าย
บนเตียงนอน ณ เวลานั้นคงเป็นความเศร้าหมองที่สุดนับตั้งแต่ใช้ชีวิตมาในฐานะกุมภีล์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพ่อค้าทองผู้มีฐานะร่ำรวย ทว่าเขาโดนด่าว่าอะไรบ้างนะ...
ไร้ประโยชน์...ไร้ความสามารถ...แค่สามีคนเดียวยังรั้งไว้กับตัวไม่ได้...และอีกต่าง ๆ นานาที่เขาหน่ายจะจดจำมัน
แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านผ้าม่านสีขาวบางเบาที่ปล่อยชายพลิ้วไหวไปตามแรงลมจากหน้าต่างเปิดแง้ม มันกระทบลงบนผนังสีไข่ไก่ของห้องนอนเดี่ยวในโรงพยาบาล ทิ้งเงาสีทองจางๆ ไว้บนพื้นกระเบื้องลายเก่า เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังเดินอย่างเป็นจังหวะ ขับกล่อมความเงียบงันของบ่ายวันนั้นให้เต็มไปด้วยความสงบ
เตียงเหล็กสีขาวตั้งอยู่กลางห้อง ถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสะอาดสะอ้าน มุมผ้าพับอย่างเรียบร้อยตามระเบียบ ประดับด้วยหมอนใบใหญ่ที่รองรับศีรษะของผู้ป่วยโดยที่พวกมันมีรอยยับเล็กน้อยหลังการใช้งานจากคนไข้เจ้าของห้อง
สายลมอ่อนจากหน้าต่าง พัดพากลิ่นแดดและกลิ่นใบไม้จากสวนหย่อมนอกตึกเข้ามา จักจั่นร้องระงมเป็นเสียงพื้นหลังของฤดูร้อน สอดประสานกับฝีเท้าแผ่วเบาของพยาบาลที่เดินผ่านระเบียงหน้าห้องและพื้นเบื้องล่าง
แววตาสีหม่นจ้องมองจากหน้าต่างชั้นสามลงไปยังลานดินชั้นหนึ่งด้วยความว่างเปล่า เรียวนิ้วผอมแห้งแตะวงกบหน้าต่างด้วยความอ่อนแรงและความหวัง พลางบอกตัวเองในใจว่าอีกไม่ช้าความขาดแคลนนี้จะหายเป็นปลิดทิ้ง
บานประตูห้องได้ถูกเปิดออกอีกครั้งโดยคณะแพทย์พยาบาล ทว่าภายในห้องกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งวี่แววคนไข้ เหลือเพียงเข็มน้ำเกลือเปื้อนเลือดอยู่ถูกถอดออกไปได้ไม่นาน ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมของกลุ่มคนโดยรอบก็พลันดังขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง
ไม่รู้เป็นโชคดีของเขาหรือเปล่าที่ได้เห็นใบหน้าตกตะลึงของสองแม่ลูกนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่หน้าประตูโรงพยาบาล มันคงเป็นการจากลาที่สมบูรณ์แบบ หากสองคนนั้นเห็นรอยยิ้มที่เขาส่งไปให้ในวาระสุดท้าย
วาณิช × เอมสิ้นปีนี้แลที่ไอ้วาณิชจะได้มีเมียเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียที หลังจมอยู่กับธุรกิจขนส่งมานานกว่าจะรู้ตัวก็ปาไปเกือบสามสิบแล้ว คิดว่าถ้ามีเงินมีความมั่นคงจะมีคนมารุมล้อมให้เลือกแต่กลับกันเลย คนพวกนั้นหาความจริงใจไม่ได้เลยสักนิด! ท้ายที่สุดเมื่อเขาไม่สามารถพึ่งพาสัญชาตญาณของตัวเองได้ จึงเลือกมาพึ่งพาพ่อครูที่เขาว่ามีของดีของเด็ด ที่ว่าทำนายแม่นมากที่สุดในแดนเหนือของประเทศ“ถ้าเรื่องเมีย ไม่เจอสิ้นปีนี้ก็เลื่อนไปอีกสิบปีเลยนะ”“อะไรนะครับ!!”นักธุรกิจสายพันธุ์ม้าศึกตะโกนลั่นด้วยความตกตะลึง ในขณะที่พ่อครูสินธุว่าแล้วก็เอนกายใช้แขนยันหมอนขิดง่วงเหงาหาวนอน ไอ้พ่อค้าคนนี้มาทีไรก็เอาแต่ถามเรื่องเมีย ต่อให้เขาจะรู้ไปยันชื่อว่าเมียมันมีรากเหง้าศักราชมาจากไหน แต่ด้วยนิสัยมุทะลุแบบมันแล้ว เมื่อได้ชื่อได้ลักษณะคงไปตามหาสุดหล้าฟ้าเขียวไม่เป็นอันทำงาน ซึ่งนั่นนอกจากจะไม่ทำให้มันได้เมียมานอนกกแล้ว ยังนำพาให้ธุรกิจที่ทำมาล่มจมอีกต่างหาก สู้ไม่บอกแล้วให้มันตั้งใจทำงานแบบนี้ไปจะส่งผลดีกับ
ช่วงสายของวันนี้กุมภีล์มีนัดสำคัญกับเพื่อนร่วมนามสกุล ว่าจะพากันไปเดินห้างเสื้อผ้าห้างญี่ปุ่น ก่อนจะไปทานมื้อเที่ยงที่ห้างธนเลิศซึ่งเป็นการตระเวนเที่ยวแบบที่กุมภีล์ไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแขกพิเศษมาร่วมก๊วนด้วยอีกสองคนคือคุณม่วง อดีตเลขานุการของคุณภูวธรรศ และคุณชาติ น้องสะใภ้ของเขาซึ่งแต่งเข้าตระกูลมาเมื่อปลายปีก่อนทว่าหากนับตามอายุแล้วคุณชาติเป็นสะใภ้ที่อาวุโสที่สุด เพราะปัจจุบันอายุย่างเข้าเลขสี่แล้ว ทว่าอีกฝ่ายเคยทำงานแสดงมาก่อนจึงรักษาเนื้อรักษาตัวดี พอมายืนข้างกันเหมือนคุณชาติเป็นพี่เขาปีสองปีเอง“มองแบบนี้พี่ก็เขินแย่สิ”สะใภ้สามสายพันธุ์จิ้งจอกร่างสูงกล่าวด้วยความเขินอาย พลางยกมือเรียวปิดหน้าปิดตาบังหน้าแก้มขึ้นสี อดีตตัวเขาทำงานอยู่ในย่านเริงรมย์ โดนจ้องมองนั้นถือเป็นเรื่องสามัญ ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็ก ๆ เหล่านี้จะเข้ามาถามวิธีคงความเยาว์วัยด้วยดวงตาใสแป๋ว สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นหนูเปลววัวน้อย หนูกุมภ์จระเข้คนสวย หรือจะหนูม่วงตัวจิ๋วต่างน่ารักน่าหยิกกันอยู่แล้ว จะมาถามอะไรกับคนวัยผู้ใหญ่ระยะสุดท้ายอย่างเขา
“คนไข้ ได้เวลาถอดสายน้ำเกลือแล้วครับ”“แป๊บหนึ่งนะหลาน ลุงขออ่านหน้านี้ให้จบก่อน”กุมภ์ยืนมองคนไข้สูงอายุที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือพิมพ์อย่างขะมักเขม้น พร้อมด้วยเหล่าคนไข้คนอื่นซึ่งดูจะสนอกสนใจข่าวหน้าหนึ่งนั้นเป็นพิเศษ แต่เพราะผู้สูงอายุแถบนี้อ่านหนังสือไม่คล่องนัก จึงกำลังรอคุณตาบนเตียงที่เรียนจบเป็นอาจารย์เล่าให้ฟังอยู่“เสร็จแล้วจ้ะหลาน นี่มือจ้ะ”“ขอบคุณครับ”หากเป็นเขาเมื่อก่อนคงหยิบหนังสือพิมพ์ออกไปจากมือทันทีเพราะมองว่าเสียเวลารอ แต่ไม่รู้ทำไมที่ผ่านมาถึงรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง เพราะมีสามีชื่อสินธุ เหมบำรุงหรือเปล่านะระหว่างกำลังวุ่นวายกับหลังมือของอาจารย์ท่านนั้น กุมภ์ก็พลอยได้ฟังเรื่องราวจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปด้วย เห็นแวบ ๆ ตอนเข้ามาว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชายวัยรุ่นสักยันต์เต็มตัวกำลังโดนตำรวจจับกุม เพราะภาพมีขนาดใหญ่สะดุดตา‘ในข่าวนะ เขาเขียนว่ามีเด็กแสร้งทำตัวเป็นหมอผี รับทำอาคมคุณไสยแต่จริง ๆ แล้วล่อลวงหญิงสาวมาทำอนาจาร...’กุมภ์พอฟังจบก็หูผึ่ง องค์ประกอบในเนื้อข่าวม
มีการถกเถียงระหว่างสามีภรรยาเล็กน้อยเมื่อถึงคราวลูกสาวคนโตอายุถึงเกณฑ์ คุณพ่อเสือต้องการให้ลูกสาวเข้าเรียนประถมหนึ่งทีเดียว ทว่าคุณแม่จระเข้กลับอยากให้ลูกได้เรียนรู้สังคมตั้งแต่ยังเล็กจึงเสนอศูนย์อนุบาล ซึ่งเดี๋ยวนี้มีของเล่นสื่อการสอนครบครันให้ลูกสาวได้เสริมพัฒนาการท้ายที่สุดคุณแม่พยาบาลก็เป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นน้ำมนต์และเมธัสเสือน้อยคนรองจึงได้เข้าเรียนอนุบาลตามลำดับเพราะเป็นพิโดรเหมือนกันตอนคลอดคนที่สองปลายปีนั้นไม่วุ่นวายเท่าคนแรก เพราะคุณพ่อพกสติไปโรงพยาบาลด้วย ทุกอย่างจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่นกว่าเดิมสองเท่า ยิ่งไปกว่านั้นสามีเขายังรับรองให้เขาออกไปทำงานพิเศษเป็นพยาบาลยังโรงอนามัยเปิดใหม่ใกล้บ้านเพื่อหารายได้เสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังสามีได้พ่อบ้านสูงวัยมาดูแลตำหนักซึ่งเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของตระกูลดังนั้นเช้าวันจันทร์อันสดใสของคุณแม่ลูกสองจึงเริ่มต้นด้วยการปลุกเด็ก ๆ ขึ้นจากนิทรา ก่อนจะพากันลงไปอาบน้ำด้วยกันต่อจากคุณพ่อที่เดี๋ยวนี้มักจะตื่นขึ้นมาสวดมนตร์ก่อนเป็นประจำ“วันนี้มีอะไรกินเหรอจ๊ะแม่”“ลุงเย็น
สินนั่งขาสั่นหงึกมือประสานด้วยความเคร่งเครียดอยู่หน้าห้องคลอด ต่อให้ตัวเองจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่น้องกุมภ์จะได้รับการดูแลจากคณะแพทย์อย่างดีที่สุด ตั้งแต่ย้ายตัวภรรยาท้องแก่มาอยู่ยังห้องพักเดี่ยวช่วงใกล้คลอด จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้เอาไว้ครบครัน รู้เวลาอันเหมาะสมที่ลูกน้อยจะออกมาลืมตาดูโลกจากการจับยาม รวมไปถึงรู้ด้วยว่ามีมนตร์คาถาใดบ้างที่จะทำให้เมียตัวน้อยไม่เจ็บจนเกินไป กระนั้นในฐานะผัวและว่าที่พ่อคนอย่างเขายังกังวลอยู่วันยังค่ำ ทั้งที่ภรรยาคนสวยเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนแท้ ๆโดยมนตร์คาถาที่ว่าคล้ายกับเมื่อตอนน้องกุมภ์ท้องอ่อน ทว่าคราวนี้เป็นแบ่งความเจ็บปวดมาแทน-“โอ๊ย!!”สินนั่ง ๆ อยู่ก็สะดุ้งเฮือกเมื่อหน้าท้องรู้สึกเหมือนมีอะไรมากรีดเป็นทางยาว ก่อนจะตามมาด้วยความระทมทรมานอีกมากมายยังบริเวณเดียวกัน ความรู้สึกของแรงดึงบางอย่าง ดึงเนื้อลึกเข้าไปทีละชั้น สะท้อนลงไปถึงท้องน้อย ลึกเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง ทำเอาสินที่ต้องเก็บอาการกัดฟันนั่งเกร็งจนเส้นเลือดขึ้นแขนขึ้นหน้าจนเจ้าพนักงานที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ต่างคิดว่าคุณพ่อคนนี้แสดงความเป็นห่วงต
“พี่กุมภ์...”“ว่าอะไรนะจ๊ะ?”เจ้าของชื่อเอียงคอมองสามีด้วยความสงสัยพลางลูบครรภ์ระยะ ๗ เดือนไปพลาง ในตอนนี้พวกเขากำลังขับรถเดินทางไปยังร้านอาหารร้านโปรดสมัยคบหาดูใจ ทว่าจู่ ๆ คุณชายสินธุที่จับพวงมาลัยรอรถติดก็พูดสรรพนามแปร่งหูขึ้นมา“แบบนี้ไม่ใช่ว่าเราแก่กว่าพี่หรอกเหรอ?”“เพราะว่าฉันโดนทำของใส่เหรอจ๊ะ?”“ใช่”กุมภ์ใช้เวลานี้กลับมาคิดไตร่ตรอง หากรวมปีทั้งหมดเข้าด้วยกันนับตั้งแต่ชาติแรก เขาเสียตอนอายุพอ ๆ กับชาตินี้ หากบวกสองชาติที่เหลือ อายุเขาตอนนี้คงอายุมากกว่าสามีราวปีสองปีได้กระมัง ว่าแต่เพราะเหตุใดสามีถึงได้นึกขึ้นได้เอาป่านนี้“อย่างไรชีวิตจริงฉันก็อายุน้อยกว่าพี่นี่จ๊ะ”“แต่นี่เคยชินกับการตีความจากอายุวิญญาณน่ะสิ เลยสับสนนิดหน่อย”เพราะก่อนหน้านั้นเจอแต่เรื่องเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนจึงไม่มีใจมองเรื่องละเอียดลออสักเท่าไรนัก เผลอ ๆ บางตำราที่พ่อสอนยังให้เขาตีความอายุวิญญาณเป็นสองเท่าเทียบกับอายุสังขารเสียด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นตอนนี้อายุวิญญาณของเมียเขาคงสี่สิบกว่าแล้วน่ะสิ ประกอบกับนิสั