“กุมภ์ พี่ว่าเราไปหาหมอดีไหม?”
“ฉันไม่ได้ป่วย ฉันจะไปทำไม”
ผ่านได้ราวสามสัปดาห์หลังคืนแต่งงาน พวกเขาสองคนจึงได้ย้ายมานอนห้องเดียวกันในฐานะสามีภรรยาหลังจากแยกห้องกันมาร่วมปี ทว่าเพราะน้องกุมภ์ดูมีอาการแปลกหูแปลกตานับตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นของพิธี ต่อให้เขาจะพยายามถามไถ่ หรือชวนกันไปโรงอนามัยใกล้บ้านเพื่อสืบเสาะหาสาเหตุ เจ้าน้องก็ไม่ยอมไปโดยอ้างว่าตนเองปกติสบายดี ไม่ได้เจ็บไข้อันใดอย่างที่เขากล่าวหา
ทว่าหากมันเป็นเช่นนั้นจริง เหตุไฉนเจ้าน้องจึงหมางเมินสามีอย่างพี่ได้เล่า ไม่ว่าจะขอเข้าไปช่วยดูแลประคบประหงมก็ไม่ยอมให้ทายา บอกจะทำเอง ไล่ให้เขาไปทำพิธีดูแลลูกดวง หรือตอนจะกินจะนอนคุยได้แค่เรื่องผิวเผินซึ่งไม่ต่างจากตอนจีบแรก ๆ เลยสักนิดทั้งที่เรามีแหวนคู่ลงยาประดับนิ้วนางข้างซ้ายแล้วแท้ ๆ
หรือว่าเมียเขาจะโดนของก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะตำหนักนี้มนตร์คุ้มกันปัดเป่าแน่นหนา แบบที่ต่อให้คนโดนของมา เพียงแค่เดินเข้าเขตเรือนพวกของมนตร์ดำบางส่วนก็จะหลุดออกไปเองเสียด้วยซ้ำ
สินครุ่นคิดหนักหลังลูกดวงซึ่งเป็นพ่อค้ากล่าวขอบคุณและเดินออกไปจากห้องพิธี ร่างใหญ่เผยใบหูและหางขนฟูกวัดแกว่งไปมาเพื่อความสบายตัวระหว่างไตร่ตรองเรื่องราว สองแขนกำยำกอดอกแน่นไม่ต่างจากคิ้วหนาซึ่งขมวดเป็นปมจนผิวหน้ายับยู่ยี่แทบหาความเรียบเนียนไม่ได้ หรือแท้จริงแล้วสาเหตุมันจะมาจาก ‘ลีลาบนเตียง’ ของเขาจริง ๆ
เขาก็ว่าบั้นเอวตัวเองใช้ได้ดีอยู่นะ แถมคืนแรกของเราเองน้องกุมภ์ก็ใช่ว่าจะไม่พึงพอใจขณะปฏิบัติกิจร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้นเสียงครางที่ได้ยินก็หวานล้ำแทบจะไม่รู้สึกได้ถึงความทรมานเลยสักนิด แต่ทำไมหลังจากจบคืนแล้วตื่นมาน้องเจ้าจึงดูไม่พอใจลามมาจนป่านนี้กัน นี่เขาคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่านะ...หรือเพราะแบบนี้ พวกที่ยังไม่ได้แต่งงานหลาย ๆ คนถึงชอบไปเที่ยวโลกีย์ ซื้อโสเภณีมาปรนเปรอก่อนมีเมียเป็นตัวเป็นตน จะได้รู้ท่ารู้จังหวะบนเตียง ตรงข้ามกับเขาที่เก็บความบริสุทธิ์ไว้มามอบให้คู่ชะตา
“โถ่เว้ย!”
แต่ถึงย้อนกลับไปได้กูก็ไม่คิดจะซื้อหรอกเดี๋ยวเมียงอน! ยิ่งหน้านิ่งเก็บความรู้สึกเก่งอย่างน้องกุมภ์ด้วย ไม่รู้ว่ามองหน้าเขาแล้วคิดเรื่องอะไรอยู่บ้าง ถ้าคิดเรื่องคนอื่นมาละก็ได้เป็นเรื่องแน่...
เดี๋ยวนะ...คนอื่น...คนอื่น...ผู้ชายคนอื่น!...ฉิบหายแล้ว! ถ้าเกิดน้องกุมภ์ไม่พอใจไอ้จ้อนของเขา แล้วไปหาคนอื่นขึ้นมาล่ะเขาจะทำอย่างไรดี! หากคู่ชะตาของเขาจะไปมีชู้นะ ผัวอย่างเขาไม่ยอมหรอก
“พี่”
“ว้ากก!!”
สินตกใจสะดุ้งแหกปากลั่นห้องพิธีจนโต๊ะตั้งของเซ่นไหว้สะเทือน ขนหูขนหางพองฟูจนเผลอปัดกล่องเทียนข้างโต๊ะเตี้ยร่วงลงพื้นเต็มไปหมด ส่วนกุมภ์ภรรยาซึ่งเข้ามาจะถามไถ่อาการก็ได้แต่ยืนมองต่ำลงมา
“ฉันได้ยินเสียงดัง เลยมาดูเผื่อพี่เป็นอะไรไป”
“พะ... พี่ไม่เป็นอะไรจ้ะ”
“แล้วเมื่อกี้เทียนมันร่วงลงมา พี่ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมจ๊ะ?”
“จ้ะ...ไม่เจ็บ”
แต่มันเจ็บที่หัวใจมากเลยครับกุมภ์ของพี่ พี่รู้ว่ามีหลายครั้งที่พี่ทำตัวปัญญาอ่อนเป็นเด็ก ๆ แต่ไม่เห็นต้องมองกดลงมาด้วยสายตาแบบนั้นเลยนี่จ๊ะ
ถามไถ่กันเล็กน้อยจากนั้นจระเข้น้อยก็เดินตวัดหางออกไปโดยบอกว่าจะไปทำความสะอาดจานต่อ โดยทิ้งเขาไว้ในห้องพิธีแต่เพียงผู้เดียวพร้อมกับนาฬิกาซึ่งใกล้ถึงเวลาของลูกดวงคนถัดไป
หากเหตุการณ์นี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ บางทีสิ่งเลวร้ายที่เขาจินตนาการไปเมื่อสักครู่อาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้ ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เขาต้องทำให้สุดที่รักกลับมาร่าเริงให้จงได้!
ผ่านมาอีกราวหนึ่งสัปดาห์แต่อะไร ๆ ในครัวเรือนล้วนยังไม่คืบหน้าไปไหนนัก ทั้งสุดสัปดาห์นี้เขาต้องปิดตำหนักออกเดินทางไปยังเขตก่อสร้างของไอ้ธรรศ ซึ่งสืบทอดธุรกิจรับเหมาของพ่อมา ทำให้เขาต้องนั่งรถออกมาทำงานพร้อมกับผู้ช่วยของธรรศกันสองคนโดยทิ้งเมียรักเอาไว้ที่บ้าน
เป็นไปได้เขาอยากพาน้องกุมภ์มาเปิดหูเปิดตา ทว่าเขตก่อสร้างในหน้าร้อนกลางเดือนเมษายนแทบไม่ต่างอะไรกับเตาถ่าน หากจระเข้น้อยซึ่งคงชอบความเย็น ต้องมาเหนื่อยตรากตรำเหงื่อซ่กเสี่ยงเป็นลมแดด เขาคงทนรับสภาพไม่ได้เป็นแน่
“ม่วง ใช้เวลาเดินทางกี่นาทีเหรอ?”
“ประมาณชั่วโมงครึ่งได้ครับ”
สินได้ฟังแล้วก็ท้อใจ เวลาไปกลับสามชั่วโมง ไม่รวมระยะเวลาของพิธีซึ่งคงกินไปประมาณ ๓-๔ ชั่วโมง ยิ่งงานนี้พวกเจ้าภาพคนอื่นมาสาย เขาก็ต้องไว้หน้าเพื่อธุรกิจและเลื่อนเวลาออกตามฤกษ์มงคล นี่ไอ้ธรรศคิดว่าเป็นพี่เป็นน้องแล้วจะทำตามใจได้หรืออย่างไร เขารู้แล้วว่าทำไมซินแสที่อื่นถึงได้บอกเวลาเดียวโดด ๆ เพราะลูกค้ามันจะเรื่องมากแบบนี้นี่เอง โอย...ผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง คิดถึงเมียใจจะขาดแล้วโว้ย
ดีที่ในรถมีวิทยุเปิดเพลงคลอไประหว่างทาง ส่วนม่วงเลขานุการส่วนตัวของไอ้ธรรศก็ไม่ใช่คนพูดมาก เขาจึงได้มีเวลามานั่งวางแผนเอาใจเมียรักอีกครั้ง หลังจากพบเจอความล้มเหลวมาตลอดหนึ่งสัปดาห์
เขาออกไปซื้อขนมที่น้องชอบมาเป็นของว่างระหว่างวัน ออกไปหาดอกไม้มาวางประดับโต๊ะกินข้าว รวมไปถึงการซื้อเครื่องประดับพวกต่างหู กิ๊บติดผม กำไลข้อมือจากห้างสรรพสินค้าเครือเหมบำรุง และแน่นอนว่าเมื่อนำกลับมาต้องทำการปลุกเสกเสริมเสน่ห์ให้เป็นพื้นฐานเพื่อเป็นหลักประกันว่าตัวเขาจะไปไหนไม่รอดจากคู่ชะตาแน่นอน ทว่าดูสิ่งที่น้องกุมภ์พูดแต่ละอย่าง
‘เราอยู่กันสองคน นาน ๆ ทีคุณพ่อคุณแม่จะมาเยี่ยม พี่เองก็ต้องกินมังสวิรัติเป็นสัปดาห์ ฉันกินเองคนเดียวไม่ทันมันเสียหรอก’
‘ดอกไม้ตัดมาใส่แจกันไม่นานมันก็เหี่ยวแล้ว พี่ไม่ต้องหรอกจ้ะ’
‘พี่ซื้อมาทำไมเยอะแยะ วัน ๆ ฉันอยู่แต่กับบ้าน ต่อให้จะใส่ ฉันก็ทำงานบ้านไม่ถนัด’
‘ฉันว่าเอาเวลาปลุกเสกของพี่ไปพักผ่อนเถอะจ้ะ ลูกดวงวันหนึ่งใช่ว่าจะน้อย ฉันกลัวพี่ตื่นมาทำงานไม่ไหว’
ผัวอย่างพี่ฟังแล้วก็เจ็บจี๊ดไปถึงทรวงใน ไม่มีคำหยาบสักคำทำไมรู้สึกเหมือนถูกคำว่าสะเหล่อคำโต ๆ กระแทกใส่หน้า ทั้งที่ตลอดมาตอนหน้าด้านเข้าไปจีบถึงโรงพยาบาลไม่เคยจะรู้สึกจุกอกแบบนี้เลยแท้ ๆ
คิดไปคิดมาสินก็หมดคำ นั่งเอนเบาะหมดอาลัยตายอยากจนผมที่มัดมวยมากระเซิงก็ไม่สน มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสิ้นหวัง โดยมีม่วงพลขับคอยมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ หวังว่าพ่อครูแกจะยังไหวเมื่อถึงคราวต้องทำพิธี
ท้องฟ้าโปร่งใสในยามบ่ายคล้อย แสงแดดสีทองทอประกายกระทบฝุ่นสีแดงซึ่งลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ รถยนต์ขนาดกลางแล่นผ่านรถบรรทุกขนาดใหญ่ซึ่งจอดสนิทเพื่อเตรียมดำเนินก่อสร้างในขั้นตอนต่อไป
ทั้งสองเดินลงจากรถมาถึงพื้นที่โล่งกว้างซึ่งบริเวณโดยรอบประกอบไปด้วยกองทรายสีเหลืองหม่นและก้อนอิฐเผาแดงถูกวางเรียงเป็นหย่อม ๆ แซมด้วยเศษไม้และกระสอบปูนฉีกขาดจากการใช้งาน ใจกลางของลานกว้างนั้น หลุมลึกขนาดใหญ่ถูกขุดเตรียมไว้พร้อมแกนเหล็กเส้นบริเวณใจกลางตั้งตระหง่านพร้อมทำพิธี ด้านหนึ่งของลานก่อสร้าง คนงานกำลังช่วยกันจัดเตรียมโต๊ะหมู่บูชา โต๊ะไม้ตัวยาวถูกปูด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยเครื่องบูชาตามธรรมเนียม ถาดกล้วยน้ำว้าสุกเหลืองสดวางอยู่ข้างๆ มะพร้าวอ่อนที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่บนเปลือก พร้อมผลไม้มงคลอีกมากมาย
สินมองไปรอบ ๆ ตรวจทานความถูกต้องก่อนจะมองหาเจ้าพี่ซึ่งคงจะมุดหัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่พ่อครูจะหันซ้ายหันขวาขยับริมฝีปากเสมือนคุยกับใครบางคน ทำเอาคนงานผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่เฝ้าสังเกตพ่อครูชุดขาวงงกันไปเป็นแถบ ๆ
ม่วงเองเมื่อกลับมาจากการตามตัวเจ้านายอย่างภูวธรรศก็นึกสงสัยว่าคุณสินเจ้าคุยใครคนเดียว แถมยังมีจังหวะสะดุ้งราวกับนึกอะไรบางอย่างออก เป็นไปได้ว่าอาจจะกำลังพูดกับตัวเอง เขาไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ไอ้สิน”
“เฮือก! อะ...เอ่อ ธรรศมึงมาแล้วเหรอ”
“แหม คุยกับผีสางนางไม้เพลินเชียวนะ”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี”
ภูวธรรศเดินมาก็พลางเก็บแว่นตาดำเพราะอยู่ใต้ร่มกระโจม บ้านเขารู้กันดีว่าที่ไอ้สินมันคุยคนเดียวถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอดีตเจ้าของตำหนักอย่างพ่อพวกเขาทำออกจะบ่อย ทีแรกก็นึกว่าเป็นบ้า แต่หลัง ๆ ก็พอเข้าใจว่าที่มันคุยด้วยไม่ใช่อากาศเปล่า ๆ
พวกเขาพูดคุยตกลงฤกษ์ยามและรายละเอียดอื่น ๆ อีกครั้งเพื่อความสมบูรณ์แบบของพิธี ก่อนที่ธรรศจะนึกอะไรดี ๆ ออกเนื่องจากเห็นหน้าคนได้เมียแล้วหมั่นไส้
“ได้ข่าวว่าเมียเมินเหรอ หือ?”
“เสือก”
“แสดงว่าจริงสินะ”
“สาระแนนัก”
ที่มันรู้ได้เป็นเพราะเห็นเขาหน้าซีดหลังพาน้องกุมภ์มากล่าวลาพ่อแม่ในเช้าอีกวันของคืนแต่งงาน มารดาที่เป็นห่วงก็ถามไถ่ตามประสา เขาที่อายพี่อายน้องจึงเข้าไปกระซิบเบา ๆ แต่คนขี้อิจฉาอยากมีเมียอย่างไอ้ธรรศก็ลอบเข้ามาฟังโดยที่เขาไม่รู้ตัว จากที่รู้กันเพียงสองคนแม่ลูก กลายเป็นรู้กันทั้งบ้านว่าไอ้สินเมียไม่รัก
“แล้วสรุปมึงรู้รึยังว่าน้องเขาโกรธอะไรมึง”
“ถ้ารู้แล้วกูคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจแบบนี้หรอก”
“มึงได้ตะล่อมถามน้องเขารึยัง”
“กูถามตรง ๆ ก็แล้ว ตะล่อมถามก็แล้ว ซื้อของขวัญมาง้อก็แล้ว น้องเขายังเมินกูอยู่เลย”
เมินในที่นี้หมายถึงเมินการเข้าหาของเขา แม้ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือขยะแขยง แต่ไม่ว่าจะสายตาคำพูดการกระทำล้วนดูห่างเกินไปเสียหมดราวกับพวกเขาเป็นเพียงคนรู้จักกันมากกว่าคู่สามีภรรยา
“ถ้าอย่างนั้นมึงลอง...”
“หือ?”
เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำซ่อนตัวอยู่หลังแนวไม้สูง แสงสุดท้ายสีส้มฉาบทับไปทั่วตำหนักหิรัญซึ่งปิดให้คำปรึกษาในวันนี้ กุมภ์ซึ่งกำลังนั่งพับผ้าอยู่เตียงนอนจึงเงยหน้ามองนาฬิกาตรวจทานเวลา ซึ่งคาดว่าสามีเสือดาวหิมะจะกลับมาในไม่ช้า
เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างเล็กบนเตียงก็พลันได้ยินเสียงเครื่องยนต์แว่วมาจากทางด้านหลังจึงละมือจากเสื้อผ้าฝ้าย ย้ายร่างไปเกาะหน้าต่างมองถนนหนทางก่อนจะเห็นรถคันน้อยชะลอตัวมาจอดยังเขตหน้าเรือน กุมภ์คิดว่าตัวเองควรไปเปิดประตูตำหนักต้อนรับสามี แต่เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายถือกุญแจหลักก็ลบความคิดนั้นทิ้งไปและหันมาขะมักเขม้นกับการจัดเก็บผ้าผ่อนลงตู้
เสียงที่กุมภ์จะได้ยินระหว่างรอสามีขึ้นบ้านควรเป็นเสียงเดิน ไม่ใช่เสียงตึงตังอย่างที่เป็นอยู่ และเสียงนั้นกำลังเข้ามาใกล้หน้าประตูเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเมื่อบานประตูเปิดออกจึงปรากฏเป็นสีหน้าตื่นเต้นพร้อมเหงื่อที่ชุ่มโชกของสามีชุดขาว กุมภ์จึงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างช้า ๆ ตามวิสัย เพราะปกติสามีตัวเองก็เป็นเช่นนี้อยู่ตลอด
“กุมภ์! เสาร์นี้เราไปเที่ยวกันเถอะ!”
“ไม่จ้ะ”
คล้ายว่าใบหน้าของสินผู้เป็นสามีจะแตกละเอียดเมื่อคำปฏิเสธพูดกล่าวออกมาในทันที
“มะ...ไม่อยากไปเปิดหูเปิดตาหน่อยเหรอ อยู่แต่บ้านอุดอู้จะตายไป”
“แค่พี่ทำงานก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันไม่อยากรบกวน”
“รบกวนอะไร เราเป็นผัวเมียกันแล้วนะ”
สินว่าพลางเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ แม่จระเข้น้อย หยิบกางเกงจากในตะกร้าขึ้นมาพับบนตักเป็นการแบ่งเบาภาระอีกฝ่ายพร้อมกับหาอะไรทำเพื่อตีเนียนคุย
“ฉันไม่อยากออกจากบ้าน หน้าร้อนแบบนี้จะไปเที่ยวที่ไหนได้ ต่อให้มีแต่คนก็เยอะ เราไปกันวันสองวันคงได้อะไรไม่มาก”
“ตะ...แต่หลังจากแต่งงานแล้วเราก็ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกเลยนะ”
“พึ่งผ่านมาแค่สองเดือน พี่จะเที่ยวอีกแล้วเหรอจ๊ะ แล้วอีกไม่กี่วันพี่ต้องงดกินเนื้อสัตว์ ออกไปเที่ยวจะลำบากเอาได้นะ”
สินฟังแล้วก็สะอึก ไม่ว่าน้องกุมภ์จะพูดคำไหนออกมาล้วนมีเหตุผลรองรับ จนไพร่ไร้สมองอย่างเขาไม่มีทางต่อกรกับคุณพยาบาลผู้รอบคอบได้
เอาเข้าจริงตารางงานของเขาก็ไม่ได้ว่างขนาดจะออกต่างจังหวัดได้เป็นสัปดาห์ ถ้าจะเที่ยวก็ต้องกลับมาภายในไม่เกิน ๒ วัน ยิ่งช่วงสงกรานต์คนเดินทางเป็นแสนพร้อมกัน ต่อให้คนใช้รถจะมีน้อยแต่คงจะต้องแย่งที่จอดกันตามสถานที่ท่องเที่ยว สมมติหากไปทะเล ที่นั่งก็คงหายากเพราะคนจอง ร้านอาหารโดยรอบน่าจะมีคนเยอะจนกุมภ์ซึ่งชอบความสงบรู้สึกอึดอัด ทำอะไรก็ไม่สะดวกนักเพราะต้องยื้อแย่งกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ทั้งไทยและเทศ ที่สำคัญคือเขาต้องกินมังสวิรัติเป็นประจำทุกเดือน และต้มผักร้านข้างทางมันไม่อร่อย!
จำได้เลยว่าตัวเองในสมัยเด็กงอแงหนักหลายวันหลายสัปดาห์ กว่าจะยอมรับความจริงได้ว่าตัวเองต้องสืบทอดวิชาคุณไสยของตระกูล ซึ่งความยากไม่ได้อยู่ที่การบำเพ็ญเพียร การลงอาคม หรือการท่องจำคาถาปลุกเสก แต่คือการต้องมากินผักตลอด ๗ วัน ๒๑ มื้อ! เพราะไม่ว่าจะไอ้ธรรศ เขาหรือไอ้รุต ก็ต่างเกลียดผักเหม็นเขียวกันราวกับเป็นของแสลง ถ้าไปเที่ยวทั้ง ๆ ที่ยังต้องงดเนื้อสัตว์เขาว่าตัวเองคงดิ้นตายก่อนจะง้อน้องกุมภ์ได้เป็นแน่
“พับผ้าเสร็จแล้ว พี่กินข้าวมาหรือยัง ฉันจะลงไปอุ่นให้จ้ะ”
“ยังจ้ะ...”
“พี่ไปอาบน้ำเถอะ ทำงานมาเหนื่อย ๆ ให้ฉันไปซื้อน้ำแข็งมาใส่โอ่งไหม?”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แค่น้ำในโอ่งก็เย็นพอแล้ว”
“อื้อ”
ดูสิ ไม่ทันจะได้คิดข้ออ้างพาเที่ยวต่อ น้องเจ้าก็จากไปเสียแล้ว วัน ๆ พวกเขาจะไม่คุยเรื่องหวานแหววอย่างคู่อื่นกันเลยหรืออย่างไร
“เฮ้อ...”
พ่อครูขนปุยนั่งปวดขมับทอดถอนหายใจทันทีเมื่อภรรยาเดินออกจากห้องนอน นึกว่าทำตามที่ไอ้ธรรศแนะนำมาแล้วจะได้แต่ไม่ใช่เลย เมื่อมาพบว่าน้องกุมภ์เป็นคนติดบ้านมากกว่าที่คิด ช่วงเวลาที่เคยคบหากันก็เคยพาไปเที่ยวร้านอาหารบ้างเมื่อมีเวลาตรงกัน แต่พึ่งมาตกผลึกได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันเป็นเพราะเขาเอ่ยปากชวน ซึ่งในตอนนั้นเองเราก็ไม่ได้สนิทกันเท่านี้ บางทีเมื่อถึงจุดหนึ่งที่น้องกุมภ์เปิดใจ คงกล้าปฏิเสธมาอย่างในวันนี้ เพียงแต่เขาควรจะดีใจกับมันดีหรือเปล่า เพราะด้วยเหตุผลเดียวกันทำให้เขาหน้าดำคร่ำเครียดอยู่แบบนี้
เขารู้มาตลอดว่ากุมภ์เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบแสดงความรู้สึกนัก เขาจึงพยายามเอาอกเอาใจให้เจ้าน้องมีความสุขเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ กระนั้นด้วยความที่ไม่เคยได้รับความคิดเห็นกลับมาเท่าไรนัก เขาจึงเชื่อฝังหัวมาตลอดว่าที่ทำอยู่นั้นมันดีแล้ว ช่วงที่แยกห้องอยู่ ณ บ้านเดียวกันก็ใช่ว่าเขาจะได้เรียนรู้น้องกุมภ์มากนัก เพราะในตอนนั้นน้องยังต้องทำงาน ไปเช้ากลับเย็น กลับมาเหนื่อย ๆ สิ่งที่เขาทำได้มากสุดคือการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทั่วไป เพราะน้องกุมภ์ก็ไม่เคยนำเรื่องที่โรงพยาบาลมาเล่าสู่กันฟังกับสามี
ใช่ว่าเขาในฐานะคนรักจะไม่รู้สึกถึงกำแพงที่น้องเจ้าสร้างขึ้นมา เพียงแต่เมื่อหลังจากสถานะของเรามีการขยับไปข้างหน้า ตัวของกุมภ์ที่ราวกับอยู่ที่จุดเริ่มต้นจึงทำให้เขาเห็นระยะห่างชัดเจนยิ่งขึ้น
แบบนี้เขาต้องไปพัฒนาความสามารถบนเตียงแล้วหรือเปล่า!? เพราะที่เห็นกันชัด ๆ ว่าน้องจระเข้น้อยส่งสายตาหมางเมินมันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากคืนนั้น หากเขาทำได้ดีละก็บางทีน้องกุมภ์อาจจะมีความพึงพอใจในตัวเขามากขึ้นก็เป็นได้ สู้เว้ยไอ้สิน!!
วาณิช × เอมสิ้นปีนี้แลที่ไอ้วาณิชจะได้มีเมียเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียที หลังจมอยู่กับธุรกิจขนส่งมานานกว่าจะรู้ตัวก็ปาไปเกือบสามสิบแล้ว คิดว่าถ้ามีเงินมีความมั่นคงจะมีคนมารุมล้อมให้เลือกแต่กลับกันเลย คนพวกนั้นหาความจริงใจไม่ได้เลยสักนิด! ท้ายที่สุดเมื่อเขาไม่สามารถพึ่งพาสัญชาตญาณของตัวเองได้ จึงเลือกมาพึ่งพาพ่อครูที่เขาว่ามีของดีของเด็ด ที่ว่าทำนายแม่นมากที่สุดในแดนเหนือของประเทศ“ถ้าเรื่องเมีย ไม่เจอสิ้นปีนี้ก็เลื่อนไปอีกสิบปีเลยนะ”“อะไรนะครับ!!”นักธุรกิจสายพันธุ์ม้าศึกตะโกนลั่นด้วยความตกตะลึง ในขณะที่พ่อครูสินธุว่าแล้วก็เอนกายใช้แขนยันหมอนขิดง่วงเหงาหาวนอน ไอ้พ่อค้าคนนี้มาทีไรก็เอาแต่ถามเรื่องเมีย ต่อให้เขาจะรู้ไปยันชื่อว่าเมียมันมีรากเหง้าศักราชมาจากไหน แต่ด้วยนิสัยมุทะลุแบบมันแล้ว เมื่อได้ชื่อได้ลักษณะคงไปตามหาสุดหล้าฟ้าเขียวไม่เป็นอันทำงาน ซึ่งนั่นนอกจากจะไม่ทำให้มันได้เมียมานอนกกแล้ว ยังนำพาให้ธุรกิจที่ทำมาล่มจมอีกต่างหาก สู้ไม่บอกแล้วให้มันตั้งใจทำงานแบบนี้ไปจะส่งผลดีกับ
ช่วงสายของวันนี้กุมภีล์มีนัดสำคัญกับเพื่อนร่วมนามสกุล ว่าจะพากันไปเดินห้างเสื้อผ้าห้างญี่ปุ่น ก่อนจะไปทานมื้อเที่ยงที่ห้างธนเลิศซึ่งเป็นการตระเวนเที่ยวแบบที่กุมภีล์ไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแขกพิเศษมาร่วมก๊วนด้วยอีกสองคนคือคุณม่วง อดีตเลขานุการของคุณภูวธรรศ และคุณชาติ น้องสะใภ้ของเขาซึ่งแต่งเข้าตระกูลมาเมื่อปลายปีก่อนทว่าหากนับตามอายุแล้วคุณชาติเป็นสะใภ้ที่อาวุโสที่สุด เพราะปัจจุบันอายุย่างเข้าเลขสี่แล้ว ทว่าอีกฝ่ายเคยทำงานแสดงมาก่อนจึงรักษาเนื้อรักษาตัวดี พอมายืนข้างกันเหมือนคุณชาติเป็นพี่เขาปีสองปีเอง“มองแบบนี้พี่ก็เขินแย่สิ”สะใภ้สามสายพันธุ์จิ้งจอกร่างสูงกล่าวด้วยความเขินอาย พลางยกมือเรียวปิดหน้าปิดตาบังหน้าแก้มขึ้นสี อดีตตัวเขาทำงานอยู่ในย่านเริงรมย์ โดนจ้องมองนั้นถือเป็นเรื่องสามัญ ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็ก ๆ เหล่านี้จะเข้ามาถามวิธีคงความเยาว์วัยด้วยดวงตาใสแป๋ว สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นหนูเปลววัวน้อย หนูกุมภ์จระเข้คนสวย หรือจะหนูม่วงตัวจิ๋วต่างน่ารักน่าหยิกกันอยู่แล้ว จะมาถามอะไรกับคนวัยผู้ใหญ่ระยะสุดท้ายอย่างเขา
“คนไข้ ได้เวลาถอดสายน้ำเกลือแล้วครับ”“แป๊บหนึ่งนะหลาน ลุงขออ่านหน้านี้ให้จบก่อน”กุมภ์ยืนมองคนไข้สูงอายุที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือพิมพ์อย่างขะมักเขม้น พร้อมด้วยเหล่าคนไข้คนอื่นซึ่งดูจะสนอกสนใจข่าวหน้าหนึ่งนั้นเป็นพิเศษ แต่เพราะผู้สูงอายุแถบนี้อ่านหนังสือไม่คล่องนัก จึงกำลังรอคุณตาบนเตียงที่เรียนจบเป็นอาจารย์เล่าให้ฟังอยู่“เสร็จแล้วจ้ะหลาน นี่มือจ้ะ”“ขอบคุณครับ”หากเป็นเขาเมื่อก่อนคงหยิบหนังสือพิมพ์ออกไปจากมือทันทีเพราะมองว่าเสียเวลารอ แต่ไม่รู้ทำไมที่ผ่านมาถึงรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง เพราะมีสามีชื่อสินธุ เหมบำรุงหรือเปล่านะระหว่างกำลังวุ่นวายกับหลังมือของอาจารย์ท่านนั้น กุมภ์ก็พลอยได้ฟังเรื่องราวจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปด้วย เห็นแวบ ๆ ตอนเข้ามาว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชายวัยรุ่นสักยันต์เต็มตัวกำลังโดนตำรวจจับกุม เพราะภาพมีขนาดใหญ่สะดุดตา‘ในข่าวนะ เขาเขียนว่ามีเด็กแสร้งทำตัวเป็นหมอผี รับทำอาคมคุณไสยแต่จริง ๆ แล้วล่อลวงหญิงสาวมาทำอนาจาร...’กุมภ์พอฟังจบก็หูผึ่ง องค์ประกอบในเนื้อข่าวม
มีการถกเถียงระหว่างสามีภรรยาเล็กน้อยเมื่อถึงคราวลูกสาวคนโตอายุถึงเกณฑ์ คุณพ่อเสือต้องการให้ลูกสาวเข้าเรียนประถมหนึ่งทีเดียว ทว่าคุณแม่จระเข้กลับอยากให้ลูกได้เรียนรู้สังคมตั้งแต่ยังเล็กจึงเสนอศูนย์อนุบาล ซึ่งเดี๋ยวนี้มีของเล่นสื่อการสอนครบครันให้ลูกสาวได้เสริมพัฒนาการท้ายที่สุดคุณแม่พยาบาลก็เป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นน้ำมนต์และเมธัสเสือน้อยคนรองจึงได้เข้าเรียนอนุบาลตามลำดับเพราะเป็นพิโดรเหมือนกันตอนคลอดคนที่สองปลายปีนั้นไม่วุ่นวายเท่าคนแรก เพราะคุณพ่อพกสติไปโรงพยาบาลด้วย ทุกอย่างจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่นกว่าเดิมสองเท่า ยิ่งไปกว่านั้นสามีเขายังรับรองให้เขาออกไปทำงานพิเศษเป็นพยาบาลยังโรงอนามัยเปิดใหม่ใกล้บ้านเพื่อหารายได้เสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังสามีได้พ่อบ้านสูงวัยมาดูแลตำหนักซึ่งเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของตระกูลดังนั้นเช้าวันจันทร์อันสดใสของคุณแม่ลูกสองจึงเริ่มต้นด้วยการปลุกเด็ก ๆ ขึ้นจากนิทรา ก่อนจะพากันลงไปอาบน้ำด้วยกันต่อจากคุณพ่อที่เดี๋ยวนี้มักจะตื่นขึ้นมาสวดมนตร์ก่อนเป็นประจำ“วันนี้มีอะไรกินเหรอจ๊ะแม่”“ลุงเย็น
สินนั่งขาสั่นหงึกมือประสานด้วยความเคร่งเครียดอยู่หน้าห้องคลอด ต่อให้ตัวเองจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่น้องกุมภ์จะได้รับการดูแลจากคณะแพทย์อย่างดีที่สุด ตั้งแต่ย้ายตัวภรรยาท้องแก่มาอยู่ยังห้องพักเดี่ยวช่วงใกล้คลอด จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้เอาไว้ครบครัน รู้เวลาอันเหมาะสมที่ลูกน้อยจะออกมาลืมตาดูโลกจากการจับยาม รวมไปถึงรู้ด้วยว่ามีมนตร์คาถาใดบ้างที่จะทำให้เมียตัวน้อยไม่เจ็บจนเกินไป กระนั้นในฐานะผัวและว่าที่พ่อคนอย่างเขายังกังวลอยู่วันยังค่ำ ทั้งที่ภรรยาคนสวยเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนแท้ ๆโดยมนตร์คาถาที่ว่าคล้ายกับเมื่อตอนน้องกุมภ์ท้องอ่อน ทว่าคราวนี้เป็นแบ่งความเจ็บปวดมาแทน-“โอ๊ย!!”สินนั่ง ๆ อยู่ก็สะดุ้งเฮือกเมื่อหน้าท้องรู้สึกเหมือนมีอะไรมากรีดเป็นทางยาว ก่อนจะตามมาด้วยความระทมทรมานอีกมากมายยังบริเวณเดียวกัน ความรู้สึกของแรงดึงบางอย่าง ดึงเนื้อลึกเข้าไปทีละชั้น สะท้อนลงไปถึงท้องน้อย ลึกเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง ทำเอาสินที่ต้องเก็บอาการกัดฟันนั่งเกร็งจนเส้นเลือดขึ้นแขนขึ้นหน้าจนเจ้าพนักงานที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ต่างคิดว่าคุณพ่อคนนี้แสดงความเป็นห่วงต
“พี่กุมภ์...”“ว่าอะไรนะจ๊ะ?”เจ้าของชื่อเอียงคอมองสามีด้วยความสงสัยพลางลูบครรภ์ระยะ ๗ เดือนไปพลาง ในตอนนี้พวกเขากำลังขับรถเดินทางไปยังร้านอาหารร้านโปรดสมัยคบหาดูใจ ทว่าจู่ ๆ คุณชายสินธุที่จับพวงมาลัยรอรถติดก็พูดสรรพนามแปร่งหูขึ้นมา“แบบนี้ไม่ใช่ว่าเราแก่กว่าพี่หรอกเหรอ?”“เพราะว่าฉันโดนทำของใส่เหรอจ๊ะ?”“ใช่”กุมภ์ใช้เวลานี้กลับมาคิดไตร่ตรอง หากรวมปีทั้งหมดเข้าด้วยกันนับตั้งแต่ชาติแรก เขาเสียตอนอายุพอ ๆ กับชาตินี้ หากบวกสองชาติที่เหลือ อายุเขาตอนนี้คงอายุมากกว่าสามีราวปีสองปีได้กระมัง ว่าแต่เพราะเหตุใดสามีถึงได้นึกขึ้นได้เอาป่านนี้“อย่างไรชีวิตจริงฉันก็อายุน้อยกว่าพี่นี่จ๊ะ”“แต่นี่เคยชินกับการตีความจากอายุวิญญาณน่ะสิ เลยสับสนนิดหน่อย”เพราะก่อนหน้านั้นเจอแต่เรื่องเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนจึงไม่มีใจมองเรื่องละเอียดลออสักเท่าไรนัก เผลอ ๆ บางตำราที่พ่อสอนยังให้เขาตีความอายุวิญญาณเป็นสองเท่าเทียบกับอายุสังขารเสียด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นตอนนี้อายุวิญญาณของเมียเขาคงสี่สิบกว่าแล้วน่ะสิ ประกอบกับนิสั