“กุมภ์ พี่ว่าเราไปหาหมอดีไหม?”
“ฉันไม่ได้ป่วย ฉันจะไปทำไม”
ผ่านได้ราวสามสัปดาห์หลังคืนแต่งงาน พวกเขาสองคนจึงได้ย้ายมานอนห้องเดียวกันในฐานะสามีภรรยาหลังจากแยกห้องกันมาร่วมปี ทว่าเพราะน้องกุมภ์ดูมีอาการแปลกหูแปลกตานับตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นของพิธี ต่อให้เขาจะพยายามถามไถ่ หรือชวนกันไปโรงอนามัยใกล้บ้านเพื่อสืบเสาะหาสาเหตุ เจ้าน้องก็ไม่ยอมไปโดยอ้างว่าตนเองปกติสบายดี ไม่ได้เจ็บไข้อันใดอย่างที่เขากล่าวหา
ทว่าหากมันเป็นเช่นนั้นจริง เหตุไฉนเจ้าน้องจึงหมางเมินสามีอย่างพี่ได้เล่า ไม่ว่าจะขอเข้าไปช่วยดูแลประคบประหงมก็ไม่ยอมให้ทายา บอกจะทำเอง ไล่ให้เขาไปทำพิธีดูแลลูกดวง หรือตอนจะกินจะนอนคุยได้แค่เรื่องผิวเผินซึ่งไม่ต่างจากตอนจีบแรก ๆ เลยสักนิดทั้งที่เรามีแหวนคู่ลงยาประดับนิ้วนางข้างซ้ายแล้วแท้ ๆ
หรือว่าเมียเขาจะโดนของก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะตำหนักนี้มนตร์คุ้มกันปัดเป่าแน่นหนา แบบที่ต่อให้คนโดนของมา เพียงแค่เดินเข้าเขตเรือนพวกของมนตร์ดำบางส่วนก็จะหลุดออกไปเองเสียด้วยซ้ำ
สินครุ่นคิดหนักหลังลูกดวงซึ่งเป็นพ่อค้ากล่าวขอบคุณและเดินออกไปจากห้องพิธี ร่างใหญ่เผยใบหูและหางขนฟูกวัดแกว่งไปมาเพื่อความสบายตัวระหว่างไตร่ตรองเรื่องราว สองแขนกำยำกอดอกแน่นไม่ต่างจากคิ้วหนาซึ่งขมวดเป็นปมจนผิวหน้ายับยู่ยี่แทบหาความเรียบเนียนไม่ได้ หรือแท้จริงแล้วสาเหตุมันจะมาจาก ‘ลีลาบนเตียง’ ของเขาจริง ๆ
เขาก็ว่าบั้นเอวตัวเองใช้ได้ดีอยู่นะ แถมคืนแรกของเราเองน้องกุมภ์ก็ใช่ว่าจะไม่พึงพอใจขณะปฏิบัติกิจร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้นเสียงครางที่ได้ยินก็หวานล้ำแทบจะไม่รู้สึกได้ถึงความทรมานเลยสักนิด แต่ทำไมหลังจากจบคืนแล้วตื่นมาน้องเจ้าจึงดูไม่พอใจลามมาจนป่านนี้กัน นี่เขาคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่านะ...หรือเพราะแบบนี้ พวกที่ยังไม่ได้แต่งงานหลาย ๆ คนถึงชอบไปเที่ยวโลกีย์ ซื้อโสเภณีมาปรนเปรอก่อนมีเมียเป็นตัวเป็นตน จะได้รู้ท่ารู้จังหวะบนเตียง ตรงข้ามกับเขาที่เก็บความบริสุทธิ์ไว้มามอบให้คู่ชะตา
“โถ่เว้ย!”
แต่ถึงย้อนกลับไปได้กูก็ไม่คิดจะซื้อหรอกเดี๋ยวเมียงอน! ยิ่งหน้านิ่งเก็บความรู้สึกเก่งอย่างน้องกุมภ์ด้วย ไม่รู้ว่ามองหน้าเขาแล้วคิดเรื่องอะไรอยู่บ้าง ถ้าคิดเรื่องคนอื่นมาละก็ได้เป็นเรื่องแน่...
เดี๋ยวนะ...คนอื่น...คนอื่น...ผู้ชายคนอื่น!...ฉิบหายแล้ว! ถ้าเกิดน้องกุมภ์ไม่พอใจไอ้จ้อนของเขา แล้วไปหาคนอื่นขึ้นมาล่ะเขาจะทำอย่างไรดี! หากคู่ชะตาของเขาจะไปมีชู้นะ ผัวอย่างเขาไม่ยอมหรอก
“พี่”
“ว้ากก!!”
สินตกใจสะดุ้งแหกปากลั่นห้องพิธีจนโต๊ะตั้งของเซ่นไหว้สะเทือน ขนหูขนหางพองฟูจนเผลอปัดกล่องเทียนข้างโต๊ะเตี้ยร่วงลงพื้นเต็มไปหมด ส่วนกุมภ์ภรรยาซึ่งเข้ามาจะถามไถ่อาการก็ได้แต่ยืนมองต่ำลงมา
“ฉันได้ยินเสียงดัง เลยมาดูเผื่อพี่เป็นอะไรไป”
“พะ... พี่ไม่เป็นอะไรจ้ะ”
“แล้วเมื่อกี้เทียนมันร่วงลงมา พี่ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมจ๊ะ?”
“จ้ะ...ไม่เจ็บ”
แต่มันเจ็บที่หัวใจมากเลยครับกุมภ์ของพี่ พี่รู้ว่ามีหลายครั้งที่พี่ทำตัวปัญญาอ่อนเป็นเด็ก ๆ แต่ไม่เห็นต้องมองกดลงมาด้วยสายตาแบบนั้นเลยนี่จ๊ะ
ถามไถ่กันเล็กน้อยจากนั้นจระเข้น้อยก็เดินตวัดหางออกไปโดยบอกว่าจะไปทำความสะอาดจานต่อ โดยทิ้งเขาไว้ในห้องพิธีแต่เพียงผู้เดียวพร้อมกับนาฬิกาซึ่งใกล้ถึงเวลาของลูกดวงคนถัดไป
หากเหตุการณ์นี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ บางทีสิ่งเลวร้ายที่เขาจินตนาการไปเมื่อสักครู่อาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้ ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เขาต้องทำให้สุดที่รักกลับมาร่าเริงให้จงได้!
ผ่านมาอีกราวหนึ่งสัปดาห์แต่อะไร ๆ ในครัวเรือนล้วนยังไม่คืบหน้าไปไหนนัก ทั้งสุดสัปดาห์นี้เขาต้องปิดตำหนักออกเดินทางไปยังเขตก่อสร้างของไอ้ธรรศ ซึ่งสืบทอดธุรกิจรับเหมาของพ่อมา ทำให้เขาต้องนั่งรถออกมาทำงานพร้อมกับผู้ช่วยของธรรศกันสองคนโดยทิ้งเมียรักเอาไว้ที่บ้าน
เป็นไปได้เขาอยากพาน้องกุมภ์มาเปิดหูเปิดตา ทว่าเขตก่อสร้างในหน้าร้อนกลางเดือนเมษายนแทบไม่ต่างอะไรกับเตาถ่าน หากจระเข้น้อยซึ่งคงชอบความเย็น ต้องมาเหนื่อยตรากตรำเหงื่อซ่กเสี่ยงเป็นลมแดด เขาคงทนรับสภาพไม่ได้เป็นแน่
“ม่วง ใช้เวลาเดินทางกี่นาทีเหรอ?”
“ประมาณชั่วโมงครึ่งได้ครับ”
สินได้ฟังแล้วก็ท้อใจ เวลาไปกลับสามชั่วโมง ไม่รวมระยะเวลาของพิธีซึ่งคงกินไปประมาณ ๓-๔ ชั่วโมง ยิ่งงานนี้พวกเจ้าภาพคนอื่นมาสาย เขาก็ต้องไว้หน้าเพื่อธุรกิจและเลื่อนเวลาออกตามฤกษ์มงคล นี่ไอ้ธรรศคิดว่าเป็นพี่เป็นน้องแล้วจะทำตามใจได้หรืออย่างไร เขารู้แล้วว่าทำไมซินแสที่อื่นถึงได้บอกเวลาเดียวโดด ๆ เพราะลูกค้ามันจะเรื่องมากแบบนี้นี่เอง โอย...ผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง คิดถึงเมียใจจะขาดแล้วโว้ย
ดีที่ในรถมีวิทยุเปิดเพลงคลอไประหว่างทาง ส่วนม่วงเลขานุการส่วนตัวของไอ้ธรรศก็ไม่ใช่คนพูดมาก เขาจึงได้มีเวลามานั่งวางแผนเอาใจเมียรักอีกครั้ง หลังจากพบเจอความล้มเหลวมาตลอดหนึ่งสัปดาห์
เขาออกไปซื้อขนมที่น้องชอบมาเป็นของว่างระหว่างวัน ออกไปหาดอกไม้มาวางประดับโต๊ะกินข้าว รวมไปถึงการซื้อเครื่องประดับพวกต่างหู กิ๊บติดผม กำไลข้อมือจากห้างสรรพสินค้าเครือเหมบำรุง และแน่นอนว่าเมื่อนำกลับมาต้องทำการปลุกเสกเสริมเสน่ห์ให้เป็นพื้นฐานเพื่อเป็นหลักประกันว่าตัวเขาจะไปไหนไม่รอดจากคู่ชะตาแน่นอน ทว่าดูสิ่งที่น้องกุมภ์พูดแต่ละอย่าง
‘เราอยู่กันสองคน นาน ๆ ทีคุณพ่อคุณแม่จะมาเยี่ยม พี่เองก็ต้องกินมังสวิรัติเป็นสัปดาห์ ฉันกินเองคนเดียวไม่ทันมันเสียหรอก’
‘ดอกไม้ตัดมาใส่แจกันไม่นานมันก็เหี่ยวแล้ว พี่ไม่ต้องหรอกจ้ะ’
‘พี่ซื้อมาทำไมเยอะแยะ วัน ๆ ฉันอยู่แต่กับบ้าน ต่อให้จะใส่ ฉันก็ทำงานบ้านไม่ถนัด’
‘ฉันว่าเอาเวลาปลุกเสกของพี่ไปพักผ่อนเถอะจ้ะ ลูกดวงวันหนึ่งใช่ว่าจะน้อย ฉันกลัวพี่ตื่นมาทำงานไม่ไหว’
ผัวอย่างพี่ฟังแล้วก็เจ็บจี๊ดไปถึงทรวงใน ไม่มีคำหยาบสักคำทำไมรู้สึกเหมือนถูกคำว่าสะเหล่อคำโต ๆ กระแทกใส่หน้า ทั้งที่ตลอดมาตอนหน้าด้านเข้าไปจีบถึงโรงพยาบาลไม่เคยจะรู้สึกจุกอกแบบนี้เลยแท้ ๆ
คิดไปคิดมาสินก็หมดคำ นั่งเอนเบาะหมดอาลัยตายอยากจนผมที่มัดมวยมากระเซิงก็ไม่สน มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสิ้นหวัง โดยมีม่วงพลขับคอยมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ หวังว่าพ่อครูแกจะยังไหวเมื่อถึงคราวต้องทำพิธี
ท้องฟ้าโปร่งใสในยามบ่ายคล้อย แสงแดดสีทองทอประกายกระทบฝุ่นสีแดงซึ่งลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ รถยนต์ขนาดกลางแล่นผ่านรถบรรทุกขนาดใหญ่ซึ่งจอดสนิทเพื่อเตรียมดำเนินก่อสร้างในขั้นตอนต่อไป
ทั้งสองเดินลงจากรถมาถึงพื้นที่โล่งกว้างซึ่งบริเวณโดยรอบประกอบไปด้วยกองทรายสีเหลืองหม่นและก้อนอิฐเผาแดงถูกวางเรียงเป็นหย่อม ๆ แซมด้วยเศษไม้และกระสอบปูนฉีกขาดจากการใช้งาน ใจกลางของลานกว้างนั้น หลุมลึกขนาดใหญ่ถูกขุดเตรียมไว้พร้อมแกนเหล็กเส้นบริเวณใจกลางตั้งตระหง่านพร้อมทำพิธี ด้านหนึ่งของลานก่อสร้าง คนงานกำลังช่วยกันจัดเตรียมโต๊ะหมู่บูชา โต๊ะไม้ตัวยาวถูกปูด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยเครื่องบูชาตามธรรมเนียม ถาดกล้วยน้ำว้าสุกเหลืองสดวางอยู่ข้างๆ มะพร้าวอ่อนที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่บนเปลือก พร้อมผลไม้มงคลอีกมากมาย
สินมองไปรอบ ๆ ตรวจทานความถูกต้องก่อนจะมองหาเจ้าพี่ซึ่งคงจะมุดหัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่พ่อครูจะหันซ้ายหันขวาขยับริมฝีปากเสมือนคุยกับใครบางคน ทำเอาคนงานผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่เฝ้าสังเกตพ่อครูชุดขาวงงกันไปเป็นแถบ ๆ
ม่วงเองเมื่อกลับมาจากการตามตัวเจ้านายอย่างภูวธรรศก็นึกสงสัยว่าคุณสินเจ้าคุยใครคนเดียว แถมยังมีจังหวะสะดุ้งราวกับนึกอะไรบางอย่างออก เป็นไปได้ว่าอาจจะกำลังพูดกับตัวเอง เขาไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ไอ้สิน”
“เฮือก! อะ...เอ่อ ธรรศมึงมาแล้วเหรอ”
“แหม คุยกับผีสางนางไม้เพลินเชียวนะ”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี”
ภูวธรรศเดินมาก็พลางเก็บแว่นตาดำเพราะอยู่ใต้ร่มกระโจม บ้านเขารู้กันดีว่าที่ไอ้สินมันคุยคนเดียวถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอดีตเจ้าของตำหนักอย่างพ่อพวกเขาทำออกจะบ่อย ทีแรกก็นึกว่าเป็นบ้า แต่หลัง ๆ ก็พอเข้าใจว่าที่มันคุยด้วยไม่ใช่อากาศเปล่า ๆ
พวกเขาพูดคุยตกลงฤกษ์ยามและรายละเอียดอื่น ๆ อีกครั้งเพื่อความสมบูรณ์แบบของพิธี ก่อนที่ธรรศจะนึกอะไรดี ๆ ออกเนื่องจากเห็นหน้าคนได้เมียแล้วหมั่นไส้
“ได้ข่าวว่าเมียเมินเหรอ หือ?”
“เสือก”
“แสดงว่าจริงสินะ”
“สาระแนนัก”
ที่มันรู้ได้เป็นเพราะเห็นเขาหน้าซีดหลังพาน้องกุมภ์มากล่าวลาพ่อแม่ในเช้าอีกวันของคืนแต่งงาน มารดาที่เป็นห่วงก็ถามไถ่ตามประสา เขาที่อายพี่อายน้องจึงเข้าไปกระซิบเบา ๆ แต่คนขี้อิจฉาอยากมีเมียอย่างไอ้ธรรศก็ลอบเข้ามาฟังโดยที่เขาไม่รู้ตัว จากที่รู้กันเพียงสองคนแม่ลูก กลายเป็นรู้กันทั้งบ้านว่าไอ้สินเมียไม่รัก
“แล้วสรุปมึงรู้รึยังว่าน้องเขาโกรธอะไรมึง”
“ถ้ารู้แล้วกูคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจแบบนี้หรอก”
“มึงได้ตะล่อมถามน้องเขารึยัง”
“กูถามตรง ๆ ก็แล้ว ตะล่อมถามก็แล้ว ซื้อของขวัญมาง้อก็แล้ว น้องเขายังเมินกูอยู่เลย”
เมินในที่นี้หมายถึงเมินการเข้าหาของเขา แม้ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือขยะแขยง แต่ไม่ว่าจะสายตาคำพูดการกระทำล้วนดูห่างเกินไปเสียหมดราวกับพวกเขาเป็นเพียงคนรู้จักกันมากกว่าคู่สามีภรรยา
“ถ้าอย่างนั้นมึงลอง...”
“หือ?”
เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำซ่อนตัวอยู่หลังแนวไม้สูง แสงสุดท้ายสีส้มฉาบทับไปทั่วตำหนักหิรัญซึ่งปิดให้คำปรึกษาในวันนี้ กุมภ์ซึ่งกำลังนั่งพับผ้าอยู่เตียงนอนจึงเงยหน้ามองนาฬิกาตรวจทานเวลา ซึ่งคาดว่าสามีเสือดาวหิมะจะกลับมาในไม่ช้า
เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างเล็กบนเตียงก็พลันได้ยินเสียงเครื่องยนต์แว่วมาจากทางด้านหลังจึงละมือจากเสื้อผ้าฝ้าย ย้ายร่างไปเกาะหน้าต่างมองถนนหนทางก่อนจะเห็นรถคันน้อยชะลอตัวมาจอดยังเขตหน้าเรือน กุมภ์คิดว่าตัวเองควรไปเปิดประตูตำหนักต้อนรับสามี แต่เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายถือกุญแจหลักก็ลบความคิดนั้นทิ้งไปและหันมาขะมักเขม้นกับการจัดเก็บผ้าผ่อนลงตู้
เสียงที่กุมภ์จะได้ยินระหว่างรอสามีขึ้นบ้านควรเป็นเสียงเดิน ไม่ใช่เสียงตึงตังอย่างที่เป็นอยู่ และเสียงนั้นกำลังเข้ามาใกล้หน้าประตูเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเมื่อบานประตูเปิดออกจึงปรากฏเป็นสีหน้าตื่นเต้นพร้อมเหงื่อที่ชุ่มโชกของสามีชุดขาว กุมภ์จึงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างช้า ๆ ตามวิสัย เพราะปกติสามีตัวเองก็เป็นเช่นนี้อยู่ตลอด
“กุมภ์! เสาร์นี้เราไปเที่ยวกันเถอะ!”
“ไม่จ้ะ”
คล้ายว่าใบหน้าของสินผู้เป็นสามีจะแตกละเอียดเมื่อคำปฏิเสธพูดกล่าวออกมาในทันที
“มะ...ไม่อยากไปเปิดหูเปิดตาหน่อยเหรอ อยู่แต่บ้านอุดอู้จะตายไป”
“แค่พี่ทำงานก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันไม่อยากรบกวน”
“รบกวนอะไร เราเป็นผัวเมียกันแล้วนะ”
สินว่าพลางเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ แม่จระเข้น้อย หยิบกางเกงจากในตะกร้าขึ้นมาพับบนตักเป็นการแบ่งเบาภาระอีกฝ่ายพร้อมกับหาอะไรทำเพื่อตีเนียนคุย
“ฉันไม่อยากออกจากบ้าน หน้าร้อนแบบนี้จะไปเที่ยวที่ไหนได้ ต่อให้มีแต่คนก็เยอะ เราไปกันวันสองวันคงได้อะไรไม่มาก”
“ตะ...แต่หลังจากแต่งงานแล้วเราก็ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกเลยนะ”
“พึ่งผ่านมาแค่สองเดือน พี่จะเที่ยวอีกแล้วเหรอจ๊ะ แล้วอีกไม่กี่วันพี่ต้องงดกินเนื้อสัตว์ ออกไปเที่ยวจะลำบากเอาได้นะ”
สินฟังแล้วก็สะอึก ไม่ว่าน้องกุมภ์จะพูดคำไหนออกมาล้วนมีเหตุผลรองรับ จนไพร่ไร้สมองอย่างเขาไม่มีทางต่อกรกับคุณพยาบาลผู้รอบคอบได้
เอาเข้าจริงตารางงานของเขาก็ไม่ได้ว่างขนาดจะออกต่างจังหวัดได้เป็นสัปดาห์ ถ้าจะเที่ยวก็ต้องกลับมาภายในไม่เกิน ๒ วัน ยิ่งช่วงสงกรานต์คนเดินทางเป็นแสนพร้อมกัน ต่อให้คนใช้รถจะมีน้อยแต่คงจะต้องแย่งที่จอดกันตามสถานที่ท่องเที่ยว สมมติหากไปทะเล ที่นั่งก็คงหายากเพราะคนจอง ร้านอาหารโดยรอบน่าจะมีคนเยอะจนกุมภ์ซึ่งชอบความสงบรู้สึกอึดอัด ทำอะไรก็ไม่สะดวกนักเพราะต้องยื้อแย่งกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ทั้งไทยและเทศ ที่สำคัญคือเขาต้องกินมังสวิรัติเป็นประจำทุกเดือน และต้มผักร้านข้างทางมันไม่อร่อย!
จำได้เลยว่าตัวเองในสมัยเด็กงอแงหนักหลายวันหลายสัปดาห์ กว่าจะยอมรับความจริงได้ว่าตัวเองต้องสืบทอดวิชาคุณไสยของตระกูล ซึ่งความยากไม่ได้อยู่ที่การบำเพ็ญเพียร การลงอาคม หรือการท่องจำคาถาปลุกเสก แต่คือการต้องมากินผักตลอด ๗ วัน ๒๑ มื้อ! เพราะไม่ว่าจะไอ้ธรรศ เขาหรือไอ้รุต ก็ต่างเกลียดผักเหม็นเขียวกันราวกับเป็นของแสลง ถ้าไปเที่ยวทั้ง ๆ ที่ยังต้องงดเนื้อสัตว์เขาว่าตัวเองคงดิ้นตายก่อนจะง้อน้องกุมภ์ได้เป็นแน่
“พับผ้าเสร็จแล้ว พี่กินข้าวมาหรือยัง ฉันจะลงไปอุ่นให้จ้ะ”
“ยังจ้ะ...”
“พี่ไปอาบน้ำเถอะ ทำงานมาเหนื่อย ๆ ให้ฉันไปซื้อน้ำแข็งมาใส่โอ่งไหม?”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แค่น้ำในโอ่งก็เย็นพอแล้ว”
“อื้อ”
ดูสิ ไม่ทันจะได้คิดข้ออ้างพาเที่ยวต่อ น้องเจ้าก็จากไปเสียแล้ว วัน ๆ พวกเขาจะไม่คุยเรื่องหวานแหววอย่างคู่อื่นกันเลยหรืออย่างไร
“เฮ้อ...”
พ่อครูขนปุยนั่งปวดขมับทอดถอนหายใจทันทีเมื่อภรรยาเดินออกจากห้องนอน นึกว่าทำตามที่ไอ้ธรรศแนะนำมาแล้วจะได้แต่ไม่ใช่เลย เมื่อมาพบว่าน้องกุมภ์เป็นคนติดบ้านมากกว่าที่คิด ช่วงเวลาที่เคยคบหากันก็เคยพาไปเที่ยวร้านอาหารบ้างเมื่อมีเวลาตรงกัน แต่พึ่งมาตกผลึกได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันเป็นเพราะเขาเอ่ยปากชวน ซึ่งในตอนนั้นเองเราก็ไม่ได้สนิทกันเท่านี้ บางทีเมื่อถึงจุดหนึ่งที่น้องกุมภ์เปิดใจ คงกล้าปฏิเสธมาอย่างในวันนี้ เพียงแต่เขาควรจะดีใจกับมันดีหรือเปล่า เพราะด้วยเหตุผลเดียวกันทำให้เขาหน้าดำคร่ำเครียดอยู่แบบนี้
เขารู้มาตลอดว่ากุมภ์เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบแสดงความรู้สึกนัก เขาจึงพยายามเอาอกเอาใจให้เจ้าน้องมีความสุขเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ กระนั้นด้วยความที่ไม่เคยได้รับความคิดเห็นกลับมาเท่าไรนัก เขาจึงเชื่อฝังหัวมาตลอดว่าที่ทำอยู่นั้นมันดีแล้ว ช่วงที่แยกห้องอยู่ ณ บ้านเดียวกันก็ใช่ว่าเขาจะได้เรียนรู้น้องกุมภ์มากนัก เพราะในตอนนั้นน้องยังต้องทำงาน ไปเช้ากลับเย็น กลับมาเหนื่อย ๆ สิ่งที่เขาทำได้มากสุดคือการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทั่วไป เพราะน้องกุมภ์ก็ไม่เคยนำเรื่องที่โรงพยาบาลมาเล่าสู่กันฟังกับสามี
ใช่ว่าเขาในฐานะคนรักจะไม่รู้สึกถึงกำแพงที่น้องเจ้าสร้างขึ้นมา เพียงแต่เมื่อหลังจากสถานะของเรามีการขยับไปข้างหน้า ตัวของกุมภ์ที่ราวกับอยู่ที่จุดเริ่มต้นจึงทำให้เขาเห็นระยะห่างชัดเจนยิ่งขึ้น
แบบนี้เขาต้องไปพัฒนาความสามารถบนเตียงแล้วหรือเปล่า!? เพราะที่เห็นกันชัด ๆ ว่าน้องจระเข้น้อยส่งสายตาหมางเมินมันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากคืนนั้น หากเขาทำได้ดีละก็บางทีน้องกุมภ์อาจจะมีความพึงพอใจในตัวเขามากขึ้นก็เป็นได้ สู้เว้ยไอ้สิน!!
CW: มีการกล่าวถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ, เลือด, ความรุนแรง, เนื้อหาล่อแหลมทางเพศ, ภาวะซึมเศร้า และการอัตวินิบากกรม**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเป็นอย่างสูง**กุมภ์ต้องการบอกสามีคนปัจจุบันมาตลอด ว่าคืนแต่งงานนั้น ‘ไม่ใช่ครั้งแรก’ ของเขา แม้ว่านั่นจะเป็นร่างกายอันบริสุทธิ์ก็ตาม ตลอดช่วงที่คบหากันเขาคิดมาเสมอ ว่าการได้มาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในชาติที่สามจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้พบเจอกับใบหน้าอุบาทว์นี่สะท้อนอยู่บนกระจกเขามีอาการต่อต้านหลังเพศสัมพันธ์กับพ่อครูคนนั้น ซึ่งพยาบาลอย่างเขาทราบดีว่ามันหมายถึงอะไร การอาเจียน อาการครั่นเนื้อครั่นตัวพะอืดพะอม และความร้อนผ่าวราวถูกไฟลนเมื่อถูกสัมผัสจากผู้ชายคนอื่น มันหมายความว่าลึก ๆ ร่างกายตอบสนองตามความทรงจำที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายเป็นแม้มันอาจเลือนรางไปบ้าง แต่ในชาต
“กุมภ์ พี่ว่าเราไปหาหมอดีไหม?”“ฉันไม่ได้ป่วย ฉันจะไปทำไม”ผ่านได้ราวสามสัปดาห์หลังคืนแต่งงาน พวกเขาสองคนจึงได้ย้ายมานอนห้องเดียวกันในฐานะสามีภรรยาหลังจากแยกห้องกันมาร่วมปี ทว่าเพราะน้องกุมภ์ดูมีอาการแปลกหูแปลกตานับตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นของพิธี ต่อให้เขาจะพยายามถามไถ่ หรือชวนกันไปโรงอนามัยใกล้บ้านเพื่อสืบเสาะหาสาเหตุ เจ้าน้องก็ไม่ยอมไปโดยอ้างว่าตนเองปกติสบายดี ไม่ได้เจ็บไข้อันใดอย่างที่เขากล่าวหาทว่าหากมันเป็นเช่นนั้นจริง เหตุไฉนเจ้าน้องจึงหมางเมินสามีอย่างพี่ได้เล่า ไม่ว่าจะขอเข้าไปช่วยดูแลประคบประหงมก็ไม่ยอมให้ทายา บอกจะทำเอง ไล่ให้เขาไปทำพิธีดูแลลูกดวง หรือตอนจะกินจะนอนคุยได้แค่เรื่องผิวเผินซึ่งไม่ต่างจากตอนจีบแรก ๆ เลยสักนิดทั้งที่เรามีแหวนคู่ลงยาประดับนิ้วนางข้างซ้ายแล้วแท้ ๆหรือว่าเมียเขาจะโดนของก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะตำหนักนี้มนตร์คุ้มกันปัดเป่าแน่นหนา แบบที่ต่อให้คนโดนของมา เพียงแค่เดินเข้าเขตเรือนพวกของมนตร์ดำบางส่วนก็จะหลุดออกไปเองเสียด้วยซ้ำสินครุ่นคิดหนักหลังลูกดวงซึ่งเป็นพ่อค้ากล่าวขอบคุณและเดินออกไปจากห้องพิธี ร่างใหญ่เผยใบหูและหาง
เสียงเดินของนางฟ้าชุดขาวพาดผ่านบทสนทนาระหว่างคนไข้และเหล่าญาติ เจ้าของผมสั้นสลวยพยักหน้ารับคนไข้ตัวน้อยบนรถเข็นซึ่งมาเข้ารับรักษาอย่างเป็นมิตร แล้วจึงย่างก้าวตรงไปยังโต๊ะจำแนกเอกสารหน้าศูนย์ผิวหนัง ทักทายเหล่าพี่พยาบาลซึ่งมาเปลี่ยนกะด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขุม ทว่ากลับมีสิ่งแปลกปลอมพร้อมด้วยหูหางสีขาวดำฟูฟ่องแฝงตัวมาในหมู่ชนด้วยหนึ่งอัตรา นั่นจึงทำเอาบุรุษพยาบาลเหนื่อยใจอยู่ภายใน‘กุมภ์ คนไข้คนนั้นเขามาหาอีกแล้วนะ’‘อือ รู้แล้ว ปล่อยเขาไปก่อน’เจ้าของชื่อกระซิบตอบพลางวางมือจากเอกสารในตะกร้า ผินใบหน้าลงมามองเพื่อนในแผนกอย่างรู้กัน เพราะหลังจากที่เจ้าตัวมาเข้ารับการรักษา เพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมกับดอกไม้ช่อโตอยู่เสมอ แม้เคยโดนเขาตำหนิไปรอบหนึ่งว่ามันเป็นพฤติกรรมอันรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ก็เหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวาและเลือกกะเกณฑ์มาในเวลาที่คนไข้น้อยราวกับรู้ล่วงหน้า ทั้งที่โรงพยาบาลเป็นที่ที่เอาแน่เอานอนเรื่องเวลาไม่ได้‘แต่ถ้าปล่อยแล้วเขายังไม่ไปไหน เดี๋ยวจะโดนหัวหน้าดุเอานะ’‘เอมบอกเขาไปก็ได้ว่าเป็นเพ