ก๊อก! ก๊อก! เดมี่สะดุ้งเฮือกหลังจากเสียงเคาะประตูหลายครั้งจากทางด้านนอก
“เสร็จหรือยัง”
“สะ…เสร็จแล้วค่ะ”
“เสร็จแล้วก็รีบออกมา”
“…..” เดมี่หันมองซ้ายขวา พร้อมกับเปิดประตูออกไปหามาเฟียหนุ่มที่ยืนสูบบุหรี่รออยู่ด้านนอก เขาไม่ยอมปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปไหนแม้แต่วินาทีเดียว
“ไอ้ไมเคิลมันมาแล้วครับนาย”
ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามากระซิบบอก บุรินทร์รีบโยนมวนบุหรี่ทิ้งลงบนพื้น พร้อมใช้เท้าขยี้มันจบดับเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้
ไมเคิลคือคู่แข่งทางธุรกิจคนสำคัญที่ไม่ค่อยลงรอยกันมากเท่าไหร่นัก
“ฉันต้องแวะไปสั่งงานกับลูกน้องอีกนิดหน่อย รออยู่ตรงนี้ห้ามไปไหน”
“ให้มี่ไปด้วยได้ไหม”
“อยู่กับไอ้คราม…เดี๋ยวฉันรีบไปรีบมา”
“…..” หญิงสาวพยักหน้ารับฟังคำสั่งอย่างไม่เรื่องมากพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่บริเวณนั้น
“เฝ้าเธอไว้อย่าให้คลาดสายตา”
“ครับนาย”
ครามได้แต่มองตามแผ่นหลังของเจ้านายที่เดินออกไป เป็นเพราะเขาต้องอยู่เฝ้าเดมี่ครั้งนี้เลยไม่ได้ติดสอยห้อยตามไปด้วยเหมือนทุกครั้ง
ไอ้ไมเคิลมีอิทธิพลและบารมีไม่แพ้กัน ฝีมือของมันเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา
“นายน้อยของพี่ทำงานอะไรคะ ทำไมถึงต้องมีลูกน้องเยอะแยะขนาดนี้” เดมี่เอ่ยถามอย่างใสซื่อ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน คนของบุรินทร์มักจะคอยตามหลังกันเป็นขบวนซ้ำยังดูมีลับลมคมในท่าทางแปลกๆ
“นายทำหลายอย่างครับ”
“ทำอะไรบ้างคะ มีงานไหนที่มี่พอจะช่วยงานแด๊ดดี้ได้ไหม”
“คุณมี่ไม่ต้องทำงานหรอกครับ ไม่ต้องทำอะไรเลย” ครามบอกอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว สถานะของเขากับเดมี่ต่างกันมากนักจึงพยายามรักษาระยะห่างอยู่เสมอ
“นายน้อยของพี่อุตส่าห์เอามี่มาเลี้ยง มี่อยากช่วยทำงานค่ะ” ทุกวันนี้เธออยู่สุขสบายเอาแต่นั่งกินนอนกินไปวันๆ จนรู้สึกละอายใจเลยอยากแบ่งเบาภาระช่วยบ้าง
“แค่เป็นเด็กดีของนายก็พอแล้ว”
แฮ่ก…แฮ่ก… ลูกน้องคนใหม่วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าแตกตื่น พร้อมกับหอบหายใจทางปากพะงาบๆ อย่างเหนื่อยหอบ
“พี่ครามซวยแล้ว รีบไปช่วยที”
“กูไปไม่ได้ ต้องอยู่เฝ้าคุณเดมี่” ครามบอกอย่างไม่ใส่ใจมากนัก หน้าที่ของเขาตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าดูแลคนของเจ้านาย
“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง รีบไปดูนายน้อยก่อน”
“ทำไม นายน้อยเป็นอะไร”
“นายน้อยถูกยิง”
“เวรฉิบ! พวกมึงดูแลกันยังไงวะ”
“รีบไปกันเถอะพี่ นายน้อยอาการไม่ค่อยดี”
“…..” เดมี่หยุดนิ่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดเผือดพลางเอียงคอตั้งใจฟังเมื่อได้ยินข่าว
“คุณเดมี่ออกไปรอที่รถก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตามไป”
“แล้วพี่จะไปไหน”
“ผมต้องไปดูนายน้อยก่อนครับ”
“…..” ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มเข้าหากันแน่นอย่างชั่งใจ มองไปรอบๆ บริเวณไม่เห็นคนของบุรินทร์ที่คอยเฝ้าอยู่
ตึกตัก…ตึกตัก…เสียงฝีเท้าของครามดังขึ้นอย่างเร่งรีบ ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้เป็นนาย
ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาของบุรินทร์ซีดเซียว เลือดสีแดงสดไหลอาบทั่วท่อนแขนจนเปียกเสื้อที่สวมใส่
“นายเป็นยังไงบ้างครับ กระสุนโดนตรงไหน”
มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่ได้แยแสความเจ็บปวดของตัวเองเลยสักนิด “เดมี่อยู่ไหน”
“ผมให้คุณเดมี่ไปรอที่รถแล้วครับ”
พลั่ก! ใบหน้าคมเข้มของครามหันไปตามแรงกระแทกเมื่อถูกเจ้านายหนุ่มใช้ด้ามปืนฟาดเข้าที่กกหูอย่างแรง
“กูสั่งมึงให้เฝ้าเธอไว้ ทำไมถึงไม่ฟังคำสั่ง”
“ผมเป็นห่วงนาย”
“ไม่ต้องมาเป็นห่วงกู! คนที่มึงควรดูแลคือเดมี่!”
“…..” ครามได้แต่ก้มหน้าหลีกหนีแววตาเย็นเยือกคู่นั้น
“พวกมึงรีบพาไปตามหาเดมี่เดี๋ยวนี้”
“ครับนาย”
ดวงตาคมวาดสายตามองไปรอบบริเวณ บุรินทร์คอยยืนเฝ้ามองวนเวียนไม่ยอมไปไหนแต่พบเพียงความว่างเปล่า
แม้พยายามสั่งตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่ใบหน้าและรอยยิ้มของเดมี่กลับยิ่งฉายซ้ำเข้ามาในสมอง แค่คิดว่าเธอกำลังจะหนีจากเขาไปมือไม้ทั้งสองข้างก็สั่นเกร็ง
“พวกโง่! แค่ผู้หญิงคนเดียวทำไมยังหาไม่เจอ”
“เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะนาย เลือดนายไหลไม่หยุดเลย” ครามออกความเห็น ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคนที่จะตายไม่ใช่เขาแน่
“เป็นเพราะมึง ถ้าเดมี่หายไปกูไม่ปล่อยมึงไว้แน่!”
“…..” ครามได้แต่ถอนหายใจ ไม่เคยเห็นเจ้านายเสียสติคลุ้มคลั่งแบบนี้เพราะใครมาก่อน
“เจอคุณเดมี่แล้วครับนาย”
บุรินทร์ยกฝ่ามือที่สั่นเทาขึ้นลูบหน้าของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว สีหน้าดูผ่อนคลายหลังจากได้ยินประโยคนั้น
“เดมี่อยู่ไหน”
“มี่อยู่นี่ค่ะ” คนตัวต้นเหตุได้แต่ยืนสับสนมองทุกคนที่ดูเหมือนเป็นเดือดเป็นร้อนวุ่นวายกันไปหมด “ทุกคนตามหามี่กันอยู่เหรอคะ”
“หายไปไหนมาวะ!”
“มะ…มี่ไปซื้อของมาค่ะ”
“เอามันไปขึ้นรถ!”
พลั่ก! ตุบ! หญิงสาวถูกฉุดกระชากให้เดินตามมาขึ้นรถที่จอดอยู่ ก่อนจะถูกเหวี่ยงเข้าไปด้านในอย่างแรงทันทีที่มาถึง
เดมี่ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องโวยวาย เหลือบสายตามองบาดแผลของบุรินทร์ที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ
กลิ่นคาวเลือดลอยตลบอบอวลชวนให้คลื่นไส้พะอืดพะอมจนเธอต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“เห็นพี่ครามบอกว่าแด๊ดดี้โดนยิง แด๊ดดี้โอเคมั้ย”
บุรินทร์ขบกรามแน่น ระงับความเจ็บปวด ก่อนจะค่อยๆ ฝืนใจลืมตาขึ้นมองหญิงสาว
“เจ็บมากไหม ทำไมถึงไม่รีบไปโรงพยาบาล”
“ฉันดูแลตัวเองได้”
“แต่แด๊ดดี้โดนยิงนะไม่ได้เป็นหวัด ต้องไปให้หมอรักษา”
“คุณมี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ครั้งนี้กระสุนแค่ถากๆ ปกตินายจะเป็นคนเย็บแผลเองอยู่แล้วครับ”
ครามบอกผ่านสีหน้าเรียบเฉยคล้ายเป็นเรื่องปกติ ถ้ามีลูกน้องคนไหนบาดเจ็บไม่ว่าจะอาการเบาหรือสาหัส บุรินทร์จะเป็นคนลงมือรักษาด้วยตัวเอง
“เป็นห่วงฉันเหรอ”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นห่วง” จริงอยู่ที่ยังไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอะไรกันมากนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นผู้มีพระคุณสำหรับเธอ
“เหอะ!” ชายหนุ่มสบถในลำคอเบาๆ คำตอบจากเธอก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ “ถ้าฉันจะตาย เธอก็ต้องตายด้วย!”
บีบท้ายทอยบอบบางให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา เคลื่อนใบหน้าคมคายเข้าหาพร้อมกับมอบรสจูบที่แสนป่าเถื่อน
“แด๊ดดี้…มี่เจ็บนะ”
“เธอรู้ความลับฉันแล้ว งั้นก็เลือกมาว่าจะยอมตายหรือจะอยู่กับฉันไปตลอดชีวิต”
“มะ…มี่ยังไม่อยากตายค่ะ แต่ถ้าแด๊ดดี้ยอมปล่อยมี่ไป มี่สัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร”
“อยากได้อิสระจากฉัน ก็เอาร่างกายของเธอมาแลกสิ”
“…..”
“ฉันหมดกับเธอไปตั้งเท่าไหร่ คิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ งั้นเหรอ”
“ถ้ามี่ยอม…แด๊ดดี้จะยอมปล่อยมี่ไปใช่ไหม”
“…..”
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห