“มาสิ” ศุภิสรามองคุณไกรภพอย่างขอคำปรึกษา พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตจึงค่อยกระย่องกระแย่งตามลูกชายตัวแสบของเจ้าของบ้านไป ทิ้งผู้ใหญ่สามคนที่มองตามอยู่เบื้องหลัง
“เด็กคนนี้เองหรือครับที่คุณเล่าให้ฟัง”
“ครับ” คุณไกรภพมีสีหน้าหนักใจ “นี่แหละหนูทราย”
“ท่าทางน่าเอ็นดู อายุน่าจะพอๆ กับยัยตรีของผมนะครับ ถ้ารายนั้นกลับมาเจอคงเจี๊ยวจ๊าวน่าดู อ้อ พูดปุ้บก็มาปั้บเชียว” คุณพงศ์เอกเอ่ย พลางต้องรีบอ้าแขนรับร่างกลมปุ๊กลุกที่โผเข้าหา
“คุณพ่อขา หนูกลับมาแล้วค่ะ” คนพูดยิ้ม พลางหอมแก้มผู้เป็นพ่ออย่างรักใคร่
“สวัสดีคุณย่ากับคุณท่านหรือยังลูก” เด็กหญิงตัวเล็กรีบยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย
“นี่เหรอหนูตรี น่ารักจริง เรียกลุงว่าลุงไกรเถอะนะ”
“ค่ะ คุณลุงไกร” เด็กน้อยส่งยิ้มสดใสให้ ทำเอาคุณไกรภพอึ้งสะท้อนใจยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับเด็กน้อยที่เพิ่งผละไป
“ไปอาบน้ำอาบท่ากับย่าก่อนดีกว่าลูก เดี๋ยวจะได้ลงมาทานข้าวปลากัน” คุณฝนทองรีบจูงมือหลานสาวคนโปรดมาจากผู้เป็นพ่อพาขึ้นบ้านไป เพื่อเปิดช่องให้บุรุษทั้งสองได้เจรจาธุระกันต่อ
“คุณเอกนี่โชคดีจริงๆ นะครับที่มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีลูกๆ น่ารักแบบหนูตรีกับพ่อโท”
“โอ้ย... บางครั้งก็ปวดหัวใช่หยอกหรอกครับ เอาเรื่องเหมือนกัน ว่าแต่ลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะครับ ผมว่าหน้าแกคุ้นๆ อยู่ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน”
“คุณยังจำศศิลดาได้หรือเปล่า” คุณพงศ์เอกนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้า
“อ๋อ จำได้สิครับ เอ๊ะ นี่คุณอย่าบอกนะครับว่า...”
“ครับ เธอเป็นแม่ของหนูทราย”
“มิน่าเล่า ผมถึงคุ้นหน้าเหลือเกิน แล้วนี่แม่กับพ่อของแม่หนูไปอยู่ไหนเสียล่ะครับ ทำไมถึงปล่อยให้ลูกสาวมาอยู่กับคุณได้”
“คุณลดา เอ่อ...” เขาหลับตาอย่างเจ็บปวดเมื่อต้องระลึกถึงชะตากรรมของเธอผู้นั้น “เธอถูกไฟคลอก...”
คนพูดสะอึก แม้คนฟังเองก็อึ้ง อดใจหายกับชะตากรรมของเธอผู้นั้นไม่ได้
“ผมเสียใจด้วยนะครับ แล้วพ่อของหนูทรายเล่าครับ ไปไหนเสีย หรือว่าเสียชีวิตด้วย”
“นี่แหละครับที่ผมอยากให้คุณช่วยหานักสืบมือดีสักคน ผมอยากรู้ว่าหนูทรายเป็นลูกของคุณลดากับใครกันแน่”
“หรือคุณคิดว่าเธอจะเป็นลูกของ...”
“ผมน่ะเหรอ ไม่ใช่หรอก ถึงใจจะอยากให้เป็นเช่นนั้นก็เถอะ” คุณพงศ์เอกถอนหายใจ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องราวในอดีตระหว่างบุรุษเบื้องหน้ากับหญิงสาวผู้นั้น ในเมื่อแม่ของเขาก็เคยทำงานให้กับบ้านที่เธอคนนั้นอาศัยมาเมื่อหลายปีก่อนในฐานะแม่บ้านของครอบครัวภรรยาคุณไกรภพ จนเมื่อเขาเริ่มทำงานมั่นคงจึงให้คุณฝนทองลาออกมาพักผ่อนที่บ้านสวน แต่กระนั้นเขาก็ได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไปแต่ครั้งอดีตมาไม่น้อย
“แล้วถ้าเจอพ่อของแกจริงๆ คุณจะทำยังไงครับ”
“ถ้าหนูทรายต้องการไปอยู่กับเขา ผมเองก็จะส่งคืนให้ แต่ถ้าหาไม่เจอผมก็จะเลี้ยงดูเธอให้เหมือนลูกหลานคนหนึ่ง และผมต้องการให้คุณช่วยจัดการเรื่องแก้พินัยกรรมของผมใหม่ด้วย ถ้าคุณพราวไม่ให้ทางเลือกผม ผมก็ต้องหาทางปกป้องเด็กคนนี้ไว้เอง” คนเป็นทนายชะงักกึก หากยังไม่ทันได้ถาม ก็มีเสียงขัดจังหวะดังขึ้นเสียก่อน
“เอ๊ะ ทำอะไรของคุณน่ะ” หญิงสาวแหวใส่ พยายามดันศีรษะของอีกฝ่ายออกจากตัก แต่ฝ่ายนั้นกลับรวบมือน้อยเข้ามากุมไว้“หนุนตักไง ไม่เห็นเหรอ” คำตอบยั่วประสาท พลางยิ้มประจบ ไม่ทำให้อีกฝ่ายหลงคารม“ไปนั่งไกลๆ เลยนะ”“บังเอิญพี่ไม่ชอบอยู่ไกลหัวใจซะด้วยสิ” พีรภัทรยิ้มขำกับสำนวนลิเกของตัวเองทั้งที่เมื่อก่อนเคยล้อเพื่อสนิทอย่างเหนือฟ้าที่มักชอบใช้มุกเสี่ยวๆ จีบหญิง หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้ออกมา แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร เขาถึงได้อยากจะพูดจาภาษาดอกไม้กับผู้หญิงตรงหน้า อะไรกันนะที่เปลี่ยนเขาให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้“โธ่ ทูนหัวจ๋า เมื่อไหร่จะหายโกรธสักที พี่ต้องทำยังไง หืม บอกมาเถิดนะคนดี”“ถ้าคุณจะกรุณา ก็พาดิฉันกลับบ้านเสียสิคะ” หญิงสาวตอบเสียงเย็นชา“ไม่กรุณา!” เสียนกวนๆ สวนทันควันเช่นกัน“เอ๊ะ” ศุภิสราร้อง พลางหันขวับเห็นคนพูดลอยหน้ากวนโมโหก็พยายามข่มอารมณ์ “ ถ้างั้นก็ให้ฉันยืมโทรศัพท์โทรบอกพี่โทกับคนที่บ้านสักนิดได้ไหมคะ พวกเขาจะได้ไม่เป็นห่วง”ชื่อของศัตรูหมายเลขหนึ่งทำให้คนฟังฉุนกึก ทำหน้าง้ำ “ ก็บอกแล้วไง ถ้าถึงเวลาจะพาไปส่งเอง”“ก็แล้วฉันต้องรอถึงเมื่อไหร่ล่ะคะ” คนฟังขึ้น
พีรภัทรคลี่ยิ้มออกมาได้ รู้สึกเบาใจขึ้นเป็นกอง ให้โดนโกรธโดนทุบแบบนี้ยังดีกว่าโดนเมินล่ะ เพราะอย่างน้อยการโกรธก็ยังถือว่ามีเยื่อใยเหลืออยู่ แต่ดูเหมือนเยื่อใยจะหนักเอาการอยู่สักหน่อยเพราะกว่าเธอจะเลิกทุบ เขาก็แทบจะน่วมคามือ ร่างบางหอบสะท้านด้วยความเหนื่อย มือยังสั่นริกๆ อยากจะทุบให้เขาตายคามือสาสมใจ“หิวหรือยังจ๊ะ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน“ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทุบต่อนะ ไม่หนีหรอกน่า สัญญาจะอยู่ให้ทุบทั้งชีวิตเลยก็ยังได้” เสียงออดอ้อนเอาใจ ยิ่งทำให้คนฟังคันไม้คันมือขึ้นมาอีก พีรภัทรไม่รอช้ารีบรวบข้อมือน้อยฉุดลากเข้าบ้าน ก่อนที่เขาจะตายคามือเธอจริงๆ กลิ่นอาหารหอมฉุยโชยชายทำให้คนโมโหเริ่มรู้สึกท้องร้องขึ้นมาตงิดๆ เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน แถมใช้พลังงานไปเยอะเลยเกิดหิวก็เป็นได้ คนตัวโตราวกำแพงขยับจัดแจงให้เธอนั่ง แล้วบริการเสิร์ฟอาหารต่างๆ ให้อย่างเอาอกเอาใจข้าวต้มเละๆ ในถ้วยน้อยวางลงตรงหน้า พร้อมเครื่องเคียงที่มีเพียงผักกาดดองกระป๋องหั่นเล็กบ้างใหญ่บ้าง กับปลากระป๋อง และไข่เค็มหั่นเป็นซีกๆ ไม่เท่ากัน แต่ก็พอดูออกว่าคนทำคงพยายามอย่างสุดฝีมือท
“พอกันที เลิกคิดได้แล้ว” ศุภิสราบอกกับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว พลางรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดพยุงตัวเองลุกขึ้น ครั้งแรกล้มแปะลงไปเพราะขาเป็นเหน็บชา หากเธอพยายามยันตัวลุกอย่างทุลักทุเลจนได้ แล้วจัดการล้างหน้าล้างตา สมองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น แต่หัวใจยังคงหนักอึ้งไม่คลาย ถ้าควักหัวใจออกมาล้างได้คงดี เธอจะได้ล้างสิ่งที่ติดค้างในความรู้สึกให้หมดๆ ไปเสียจะได้ไม่เจ็บอีก แต่มันก็ไม่อาจทำได้ สาวน้อยส่องกระจกทอดถอนใจ มือบางแตะที่จี้ ‘หัวใจเพชร’ ดวงน้อยที่ลำคอระหงอย่างเจ็บปวด ก่อนตัดใจปลดออกจากคอตนเองวางลงบนอ่างล้างหน้านั้น ลืมเสียเถิด สิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะจำไว้ทำไม ถึงไม่มีเขาเธอก็มีคนอีกมากมายที่รักเธอ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ ไหนจะพี่โทรินทร์ที่คอยห่วงใยเธอเรื่อยมา ป่านนี้ทุกคนคงตามหาเธอวุ่นวาย คนเหล่านั้นต่างหากที่เธอควรสนใจ ส่วน‘คนอื่น’นั้นจะคิดยังไง รู้สึกยังไงก็ช่างเขา จากนี้ไปเธอจะไม่อยากรู้อีกต่อไปหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกใจสงบขึ้น ในห้องนั้นปราศจากเงาของบุรุษที่คอยก่อกวนหัวใจ หรือเขาจะหนีกลับไปเสียแล้วก็เป็นได้ เธอพยายามเมินไม่มองไปที่เตียงนอนอันยับยู่ยี่เพราะเหตุการณ์เมื่อเช้า ท้าย
“คุณมีแฟนอยู่แล้ว แต่ยังมาทำกับแบบนี้กับผู้หญิงอื่นอีกเพื่ออะไร” คราวนี้คนฟังถึงกับผงะด้วยความตกตะลึงราวกับถูกค้อนทุบหัวหนักๆ จนมึนชา พูดอะไรไม่ออก“ดิฉันเป็นคน มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก ไม่ใช่ของเล่นที่คุณจะมาทำอะไรตามอำเภอใจยังไงก็ได้ คุณทำแบบนี้กับฉันทำไม หรือเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงใจง่าย เป็นคนหน้าด้านที่ชอบแย่งแฟนคนอื่น” ปลายเสียงสั่นสะท้านด้วยความหวั่นไหวพร่างพรูระบายความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา“จะแกล้งทรมานฉันไปถึงเมื่อไหร่กันถึงจะสาแก่ใจคนใจร้ายอย่างคุณ” น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมาจากลูกแก้วคู่งามที่แสนเศร้า ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดตานิ่ง เม้มปากแน่น แสดงท่าทีหมางเมินออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้ชายหนุ่มใจหายวาบรีบคว้าตัวเธอขึ้นมากอดไว้แนบแน่น เพราะกลัวจะต้องสูญเสียเธอไป รู้สึกปวดร้าวในอกจนเกินพรรณนา“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น ไม่เคย...” เสียงร้อนรนพร่ำบอก พลางโยกร่างน้อยที่สั่นสะท้านไปมาเบาๆ ราวกับขับกล่อมให้สงบ“ถ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น แล้วคุณคิดยังไงกับฉันกันแน่” คำถามนั้นซัดชายหนุ่มให้จนมุมในบัดดล “พะ... พี่ระ... เอ่อ” พีรภัทรขยับจะพูดอะไรบางอย่างออกมา หากพอเห็นนัยน์ตากลมใสแป๋วที่จ้องเขม็งรอคอยคู่น
พอขาดคำชายหนุ่มก็จัดการลงโทษ ‘แบบนี้’ ด้วยการกดจูบที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง หากคราวนี้เนิ่นนานและดูดดื่มยิ่งกว่าคราวแรกหลายเท่านัก ศุภิสรารู้สึกวิงเวียน สะบัดร้อนสะบัดหนาวเหมือนจะจับไข้ ในท้องมีผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวกำลังกระพรือปีกบินว่อนอย่างร่าเริง บางครั้งเหมือนกำลังล่องลอยไปในปุยเมฆนุ่มๆ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนถูกคนจอมเจ้าเล่ห์แกล้งกระชากลงมาด่ำดิ่งในห้วงน้ำลึกจนอึดอัดหมือนกำลังจมน้ำขาดอากาศหายใจ เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ยอมให้เขาป่วนหัวใจเล่นแบบนี้สมองสั่งให้หยุด แต่ร่างกายกับไม่ยอมร่วมมือเอาเสียเลย ผู้ชายแปลกหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ แสนเอาแต่ใจ บางทีก็แสนร้ายกาจจนน่ากลัว แต่บทจะอ่อนหวานก็แสนหวานล้ำเหนือใคร แล้วแบบไหนคือตัวจริงของเขากันแน่นะ อสูรร้าย หรือเทพบุตรในคราบซาตานการลงโทษที่แสนหวานปนขมปร่าที่เขามอบให้ปลุกเมล็ดพันธุ์ในหัวใจอ่อนหวานขึ้นมาทีละน้อยๆ จนก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างที่เธอไม่อยากจะยอมรับ ดอกไม้ดอกหนึ่งที่ชื่อว่า ‘รัก’ กำลังผลิในหัวใจจนเต็มดวงเป็นไปไม่ได้! เธอจะรู้สึกลึกซึ้งกับคนที่เพิ่งรู้จัก เพิ่งเห็นหน้ากันไม่กี่ครั้งแบบนี้ได้อย่างไรหญิงสาวรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ
คนที่บอกว่าตัวเองง่วงแสนง่วง หากในความจริงแล้วเขากลับไม่ได้นอนหลับเลยสักงีบเดียว ในความมืดสลัว ดวงตามันปลาบทอประกายหวานระยับทอดมองดวงหน้าหวานของคนที่กำลังหลับสนิทโดยอาศัยไออุ่นจากอ้อมอกของเขา ราวกับจะซึมซับทุกภาพและความรู้สึกลงในความทรงจำ เผื่อในวันที่ต้องลาจากกันไปอย่างน้อยเขาจะได้ใช้ความทรงจำแสนหวานนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจตนในวันที่ไม่มีเธอเคียงใกล้แสงเงินแสงทองระยับค่อยๆ แทรกผ่านเข้ามาทีละน้อย ทำให้ความงามละออกระจ่างตาตรงหน้ายิ่งปรากฏชัดเจนขึ้น ดวงหน้าใสดูอ่อนเยาว์บอกถึงความพิสุทธิ์ ผิวขาวละออราวขึงด้วยแพรละเอียดซับเลือดฝาดของวัยสาวสะพรั่งน่าสัมผัส ทั้งดวงตาที่ยังหลับพริ้มประดับด้วยแพขนตายาวเฟื้อยราวกับตุ๊กตาจนเขาอยากจะลองเอานิ้วกรีดเล่น ปากนิดจมูกหน่อยดูจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูนักหนา หากที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนคือรอยลักยิ้มบุ๋มน่ารักตรงข้างแก้มทั้งสองของเธอ อาจเพราะเจ้าตัวมักทำหน้าอมทุกข์อยู่เสมอ และตัวต้นเหตุที่ปล้นรอยยิ้มสวยๆ นี้ไปก็คงหนีไม่พ้น... เขา... นี่เองชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองใจร้ายใจดำกับคนตัวเล็กตลอดมา ทั้งพูดให้เจ็บช้ำ ทั้งแกล้งสารพัด ทั้งเคยผลักไสไล่ส่ง หรือแ