“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที
“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง
“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน
“คุณป้าสบายดีหรือครับ”
“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”
“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”
“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”
“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”
“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น
“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”
“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”
“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”
ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้าให้น้อยๆ ก่อนคลานเข่าเข้าไปใกล้ หญิงมากวัยมองหนูน้อยด้วยแววตาเอ็นดู ดวงหน้าหวานลออละม้ายคนที่ตนเคยดูแลมาในอดีตยิ่งทำให้เธอนึกถูกชะตา
“แล้วนี่ไปไงมาไงกันล่ะ ทำไมจู่ๆ ถึงมาหาโดยไม่บอกล่วงหน้าก่อน มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคุณไกร”
“นิดหน่อยครับคุณป้า” คุณไกรภพอึกอัก “หนูทรายลงไปเดินเล่นข้างล่างก่อนนะลูก แต่อย่าเดินไปไกลนักล่ะ” แม้จะอยากรู้เรื่องด้วย หากเด็กหญิงก็หักใจรับคำ รีบเดินออกไป การสนทนาจึงเริ่มขึ้น
“คุณพราวล่ะสิ” คุณฝนทองพอเดาได้
“ครับ มีเรื่องที่บ้านนิดหน่อย คุณพราวเธอไม่ค่อย เอ่อ...ชอบยัยหนู”
“แหม มันก็น่าอยู่หรอก หน้าราวกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ใครเห็นก็ต้องคิดบ้างล่ะ แล้วรอยแผลที่หัวที่ขานั่นก็คงฝีมือคุณพราวเหมือนกันสินะ”
“ครับ ถูกคุณพราวทำโทษ กว่าผมจะกลับไปถึงก็สะบักสะบอมอย่างที่เห็น”
“โถ แม่คุณ ตัวเล็กนิดเดียวทนไหวได้ยังไงกัน” คุณไกรภพก้มหน้าด้วยความหนักใจ “เอาเถอะ ถ้าหนักข้อเข้าจะเอาแม่หนูมาฝากที่นี่บ้างก็ได้ ยัยตรีมันคงถูกใจหรอก แต่ถ้าเป็นตาโทก็อีกเรื่อง ขานั้นน่ะซนเป็นลิงเป็นค่าง นี่ก็ไม่รู้หายหัวไปไหน พ่อเขารึอุตส่าห์จะพาไปเรียนดนตรีมันก็หาเรื่องหลบเรียนซะนี่ เฮ้อ... ปวดหัว” คนมากวัยบ่นถึงหลานชายตัวดีอย่างปลงๆ
“เด็กผู้ชายก็เป็นอย่างนี้แหละครับคุณป้า จะให้เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้คงไม่ได้หรอก”
“แล้วพ่อเพชรล่ะจ๊ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็นี่แหละครับที่ผมห่วงๆ อยู่ คุณพราวเธอตามใจลูกมาก จนผมเกรงว่าต่อไปตาเพชรคงเสียคนเข้าสักวัน”
“โอ้ย... อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยคุณ อนาคตมันก็ยังอีกไกล ถ้าลูกเป็นเพชรแท้น่ะยังไงมันก็ต้องเป็นเพชรแท้วันยังค่ำ ต่อให้ตกบ่อโคลน มันก็ยังคงส่องประกายออกมาได้อยู่ดีนั่นแหละ”
“ผมเองก็หวังให้เป็นอย่างนั้นล่ะครับ ตาเพชรน่ะผมยังไม่ค่อยห่วงมากเท่าไหร่เพราะยังไงก็มีแม่ แต่หนูทรายนี่สิครับไม่มีใครเลยนอกจากผม นี่ถ้าเกิดผมเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็คงลำบากแน่”
“ไฮ้...พูดอะไรอย่างนั้น” คุณฝนทองอุทาน “คุณยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ จะเป็นอะไรไปง่ายๆ ได้ยังไง”
“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนนี่ครับ คนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ แต่ถึงยังไงผมก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นหลักประกันให้เด็กๆ เผื่อวันข้างหน้าที่ผมไม่ได้อยู่ดูแลพวกแกแล้ว ทั้งตาเพชรแล้วก็หนูทรายจะได้ไม่ต้องลำบาก”
“ดูพูดเข้า ไม่เอาล่ะป้าไม่อยากฟังแล้ว อ้าว นั่นพ่อเอกมาพอดี”
“สวัสดีครับคุณไกร มานานแล้วหรือครับ” พ่อเอก หรือ พงศ์เอก วรรณยุกต์ ยิ้มแย้มทักทายผู้มาเยือนอย่างมีอัธยาศัย
“ผมมาได้ครู่ใหญ่แล้วครับ นั่งคุยกับคุณป้าเพลินๆ”
“เอาล่ะๆ งั้นคุยกันไปก่อนนะ แม่จะไปดูเด็กๆ เตรียมอาหารสักหน่อย วันนี้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะคุณไกร” คุณไกรภพตอบรับไมตรีจิตของหญิงสูงวัยด้วยรอยยิ้ม เมื่อคล้อยหลังคุณฝนทอง การสนทนาจริงจังก็เริ่มขึ้น
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
“มาสิ” ศุภิสรามองคุณไกรภพอย่างขอคำปรึกษา พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตจึงค่อยกระย่องกระแย่งตามลูกชายตัวแสบของเจ้าของบ้านไป ทิ้งผู้ใหญ่สามคนที่มองตามอยู่เบื้องหลัง“เด็กคนนี้เองหรือครับที่คุณเล่าให้ฟัง”“ครับ” คุณไกรภพมีสีหน้าหนักใจ “นี่แหละหนูทราย”“ท่าทางน่าเอ็นดู อายุน่าจะพอๆ กับยัยตรีของผมนะครับ ถ้ารายนั้นกลับมาเจอคงเจี๊ยวจ๊าวน่าดู อ้อ พูดปุ้บก็มาปั้บเชียว” คุณพงศ์เอกเอ่ย พลางต้องรีบอ้าแขนรับร่างกลมปุ๊กลุกที่โผเข้าหา“คุณพ่อขา หนูกลับมาแล้วค่ะ” คนพูดยิ้ม พลางหอมแก้มผู้เป็นพ่ออย่างรักใคร่“สวัสดีคุณย่ากับคุณท่านหรือยังลูก” เด็กหญิงตัวเล็กรีบยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย“นี่เหรอหนูตรี น่ารักจริง เรียกลุงว่าลุงไกรเถอะนะ”“ค่ะ คุณลุงไกร” เด็กน้อยส่งยิ้มสดใสให้ ทำเอาคุณไกรภพอึ้งสะท้อนใจยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับเด็กน้อยที่เพิ่งผละไป“ไปอาบน้ำอาบท่ากับย่าก่อนดีกว่าลูก เดี๋ยวจะได้ลงมาทานข้าวปลากัน” คุณฝนทองรีบจูงมือหลานสาวคนโปรดมาจากผู้เป็นพ่อพาขึ้นบ้านไป เพื่อเปิดช่องให้บุรุษทั้งสองได้เจรจาธุระกันต่อ“คุณเอกนี่โชคดีจริงๆ นะครับที่มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีลูกๆ น่ารักแบบหนูตรีกับพ่อโท”“โอ้ย... บ
“กรี๊ด...ขโมย!”“เอ๊ะ นั่นเสียงยัยตรีนี่ครับ สงสัยอาละวาดอีกแล้ว” ความคิดของคุณพงศ์เอกไม่เกินจริงเลย ภาพที่ปรากฏคือร่างหนูน้อยหลับหูหลับตากระทืบเท้าเร่าๆ ร้องกรี๊ดๆ“มีอะไรกันน่ะ เอะอะโวยวายอะไรกันลูก”“ขโมยค่ะ คุณพ่อ ขโมยขึ้นบ้านเรา ดูสิคะเขาแอบเอาชุดหนูไปใส่ด้วย”“ไหน ขโมยที่ไหนขึ้นบ้านเรา มันอยู่ไหนลูก” หญิงสูงวัยเงื้อมือหราตั้งท่าลุยมาแต่ไกล“นั่นใจคอคุณแม่จะเอาสากกะเบือมาตีหัวขโมยเลยเหรอครับ” คุณพงศ์เอกกระเซ้า ทำเอาคนเงื้อสากค้างเกิดอาการเก้อ “ก็แม่ได้ยินเสียงยัยตรีร้อง ว่าแต่ขโมยอยู่ไหนล่ะ”“นั่นไงครับ หัวขโมยของยัยตรี ยืนจ๋องอยู่นั่นไง”“อ้าว...พุทโธ่เอ๊ย หนูทรายเองเหรอลูก” แล้วคุณฝนทองก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง คนอื่นๆ ก็พลอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นเด็กน้อยในชุดสีชมพูหวานยืนหน้าเด๋ออยู่กลางห้องกฎข้อหนึ่งของบ้านวรรณยุกต์คือห้ามหัวเราะหรือพูดคุยระหว่างที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก ทว่าวันนี้บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะลั่น หัวข้อที่ถูกหยิบยกมาสนทนาก็หนีไม่พ้นความเข้าใจผิดที่มีต่อแขกตัวน้อยนั่นเอง คุณฝนทองถึงกับค้อนควักเมื่อถูกลูกชายของตนแซวไม่ขาดปาก แม้คุณอรดาแม่ของสองศรีพี่น้อ
หลังจากวันที่เกิดเรื่องขึ้น บรรยากาศมึนตึงก็ปกคลุมไปทั่วบ้านบุรณากรณ์ คุณพราวพิไลที่โกรธสามีหนีไปอยู่บ้านผู้เป็นมารดาชั่วคราว ส่วนบุตรชายก็มักหมกตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร หากปกติยามเช้า สาย เที่ยง เย็น ก็มักจะมีคนยกเสบียงเข้ามาเสิร์ฟถึงที่ ทว่าวันนี้คอย...หาย จนเจ้าตัวทนหิวไม่ไหวต้องออกมาจากห้อง เด็กชายเหลียวซ้ายแลขวาหาสิ่งมีชีวิต แล้วเงาวอบแวบก็โผล่เข้ามาทำให้เขาต้องรีบเรียก“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เงาที่รีบเดินงุดๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง ถาดอาหารที่แบกมาตกแตกกระจาย เมื่อเห็นคนที่ยืนตะหง่านบนเชิงบันได ดวงตาสีนิลที่มองลงมาเหมือนฉาบด้วยน้ำแข็งเย็นชาและน่ากลัว “ขะ...ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงรีบก้มหน้าก้มตาลนลานเก็บเศษจานที่ตกแตกที่พื้น“คนอื่นๆ หายไปไหนหมด” เขาถามด้วยเสียงเย็นเยียบ“เอ่อ... อยู่ที่เรือนเล็กค่ะ”“แล้วจะยกถาดอาหารนั่นไปให้ใคร” “ปะ...ไปให้...เอ่อ” คนพูดรวบรวมความกล้าเงยหน้าจ้องกลับไปทางคนถาม“ให้ฉันงั้นเหรอ? ใครใช้ไม่ทราบ” คนตัวเล็กสะอึก รีบก้มหน้าซ่อนความน้อยใจ มือเล็กค่อยๆ ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงกำวัตถุที่นอนนิ่งในนั้นราวกับขอกำลังใจ ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ที่บรรจงซักจนหมดคราบเลือด ตั้ง
ประกาศิตกร้าวของคนเลือดเย็นตรงหน้าทำเอาคนฟังน้ำตาร่วงเผาะ แล้วทันใดนั้นเองน้ำเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น“ทำอะไรกันน่ะ” ร่างของคุณพราวพิไลปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาเอาเรื่องกวาดมองข้าวของที่เกลื่อนกลาด หากพอมองเห็นลูกชายยืนนิ่ง มือที่กุมกันมีรอยเลือด เท่านั้นเองเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้าง“ตาเพชร!” คุณพราวพิไลตวัดหางตาไปที่ร่างเล็กที่พื้นอย่างเอาเรื่อง “แกกล้าดียังไงเข้ามาทำร้ายลูกชายแบบนี้ หา...”“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวน้อยละล่ำละลักปฏิเสธทั้งน้ำตา“เปล่าอะไร ก็ฉันเห็นตำตาอยู่นี่ ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ”“มีอะไรกัน แม่พราว!” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนที่โครงหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีดำมีเค้าประพิมประพายกับคุณพราวพิไล แต่มากวัยกว่า ร่างแบบบางในชุดสีโศกนั่งบนวีลแชร์เข้ามา“ก็นังเด็กเลวนี่น่ะสิคะ จะฆ่าหลานชายคุณพี่ ดูสิเลือดโชกเลย โถ... ตาเพชรลูกแม่” หญิงมากวัยเขม่นตามองจำเลยร่างเล็กมอมแมมที่นั่งตัวสั่นงันงกแล้วนึกขำน้องสาวที่โอเวอร์เกินเหตุ คนถูกมองเหมือนรู้ตัวเงยหน้ามองผู้มาใหม่“เอ๊ะ! นี่มัน...” โดยไม่มีใครคาดคิด ฝ่ามือเรียวก็ฟาดลงมาบนใบหน้าเด็กน้อยทันใด แก้มใสขึ้นรอยนิ้วมือแดงเห่อเป็นปื้น
“ก็เห็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ...” คุณพรรณรายยอมรับ มันก็น่าอยู่หรอกที่น้องสาวของเธอจะเดือดดาลได้ถึงขนาดนั้น แม้ไม่อยากจะเชื่อ หากทว่าเค้าโครงหน้าที่เล่นถอดพิมพ์เดียวกันออกมาแบบนี้ มีหรือที่น้องสาวของเธอจะไม่ยอกแสยงในอก ยิ่งมาอยู่ร่วมชายคาด้วยแล้ว ก็เหมือนกับกอดระเบิดเวลาเอาไว้ไม่มีผิด หากทว่ามันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ ในเมื่อเธอเองก็มีสถานการณ์ไม่ต่างจากเด็กหญิงผู้น่าสงสารนี้“ผมเพิ่งทราบเรื่องของคุณพี่ เสียใจด้วยจริงๆ นะครับ คนดีๆ อย่างคุณพจน์ไม่น่ามาด่วนจากไปแบบนี้เลย” คุณไกรภพเอ่ยพลางเข้าช่วยเข็นรถพี่สาวภรรยาไปทางห้องรับแขก ดวงตาเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงสามีผู้ล่วงลับไปอย่างกะทันหัน ทั้งที่หน้าที่การงานของเขากำลังรุ่งโรจน์จนเกือบจะขึ้นไปถึงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอยู่ร่อมร่อ“แล้วนี่คุณพี่จะกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่าครับ”“ค่ะ ก็คงอย่างนั้น พอสิ้นคุณพจน์ ที่นู่นก็ไม่มีใคร”“ก็ดีสิครับ นี่คุณแม่คงดีใจที่ลูกสาวมาอยู่เป็นเพื่อน” คนพูดไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่หม่นหมองลงทันควัน“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดก็คงดี” คุณพรรณรายขอบตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนเอง“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“พะ... พี่โท!”“ก็ใช่น่ะสิ โอย...” โทรินทร์ครางหน้าเหยเก แต่ไม่ยอมปล่อยแขนจากร่างน้อย “เกือบทำฉันตายไปด้วยแล้วรู้ไหม”“แล้วมาช่วยทำไม”“หนอย ทำคุณบูชาโทษ อุตส่าห์ช่วยไม่ให้ถูกรถทับตายกลับได้บาป ฮึ มันน่า…” คนพูดเงื้อง้ามะเหงกขึ้นอย่างมันเขี้ยว คนตัวเล็กกว่าหลับตาปี๋ วินาทีนั้นเอง จู่ๆ มะเหงกก็กลายเป็นลูบลงบนเส้นผมสลวยของเธอแทน“โป้งแปะ หาตัวเจอแล้ว” เด็กชายยิ้มให้พลางปาดน้ำตาให้คนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา “รีบเดินจ้ำอ้าวแบบนี้จะไปไล่ควายที่ไหนหืม?”พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมายื่นให้ ดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปควายเขาโง้ง ที่ตอนนี้เขาข้างหนึ่งหัก แถมหน้ายุบบี้แบนไปแถบหนึ่งเพราะโดนทับ ทำให้เจ้าของบ่นอุบอิบ“ว้า...สงสัยตอนกลิ้งเมื่อกี้ล่ะสิ เสียดาย กะว่าจะเอามาฝากซะหน่อย อะ...ให้”“พี่โทตามมาได้ยังไงคะ”“ก็ตามรอยเลือดมาน่ะสิ” คนพูดรีบคว้ามือน้อยๆ ขึ้นมาซับเลือดให้เบาๆ ก่อนรวบร่างบางนั้นมากอดปลอบโยน“โอ๋ๆ เจ็บมากไหม ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรน้องทรายได้ ลองมาสิจะให้ควายขวิดไส้แตกเลย คอยดู”ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้คุณพงศ์เอก ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอ
หญิงสาวค่อยๆ ลากหีบไม้ใบเก่าออกมาจากใต้เตียง เมื่อเปิดออกจึงเห็นซองจดหมายมากมายที่ซ้อนทับไว้อย่างเป็นระเบียบ... ทุกซองจ่าหน้าเหมือนกัน แถมมีวันที่กำกับพร้อม ที่หมายคือประเทศอังกฤษ ก้นหีบนั้นมีเศษผ้าเช็ดหน้าขาวบางขลิบลูกไม้ซีดตามกาลเวลาที่เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะทะนุถนอมไว้อย่างดี ดวงตาหวานซึ้งกะพริบถี่ไล่ละอองน้ำให้ระเหยไป นับจากวันที่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายวันนั้นมาก็ไม่เคยมีใครได้เห็นน้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อยอีก แม้ถูกแกล้งแค่ไหนก็ไม่ยอมเสียน้ำตาให้ใครหากวันนี้คำว่า... ของฝากจากอังกฤษ... สะกิดความทรงจำเก่า เดิมทีทุกคราวที่คุณพราวกลับจากอังกฤษจะมีของมาฝากคนในปกครองอยู่เสมอ ทุกคนจะได้รับน้ำใจลดหลั่นลงไปตามความโปรดปรานของผู้ให้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กรับใช้หรือกระทั่งคนสวน หรือแม้แต่คนใกล้ตัวอย่างแม่อบก็เถอะ คนอยู่ไกลก็ยังเผื่อแผ่น้ำใจมาถึงจะมีก็เพียง... เธอคนเดียว... เท่านั้นที่ตกสำรวจ ไม่เคยจะได้รับน้ำใจจากคนอยู่แดนไกลแม้เพียงสักครั้งเดียว เขาผู้นั้นคงเกลียดเธอจนเข้าไส้ หรือไม่ก็อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าศุภิสรายังมีตัวตนอยู่ในบ้านของเขา “ดี...ลืมซะ ลืมให้สนิทไปเลยได้ยิ่งดีว่ามีเราอยู่บนโลกอีกค
“เปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด” คนเหมือนลูกหมาตกน้ำคลี่ยิ้มบางๆ พลางวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเป็นระเบียบ ก่อนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าตามที่เคยถูกสอนเสมอ ‘ไปต้องลา มาต้องไหว้’ มารยาทที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยขัดเกลาให้กิริยามารยาทเรียบร้อย“คุณท่านเข้าห้องไปแล้วหรือคะ”“ค่ะ เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ก่อนคุณมาครู่เดียว”“โอ้ย... เหนื่อยจังค่ะ” ว่าแล้วร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ“วันนี้ทำไมกลับค่ำนักละคะ”“ก็ยัยตรีน่ะสิคะ ยึดตัวไว้จะให้เข้าประชุมชมรมให้ได้ ปีนี้เขาว่าจะจัดแสดงละครเวที งานนี้คุณตรีรักษ์รับเป็นแม่งานเชียวนะคะ เลยต้องเข้าประชุมกับเขาเกือบทุกวัน แต่พรุ่งนี้ทรายว่าจะแอบโดดล่ะ...” สุ้มเสียงคนพูดมีรอยสนุกซุกซน“อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” คนพูดไม่เข้าใจ“ก็พรุ่งนี้แม่งานใหญ่เขาว่าจะคัดตัวนักแสดง”“แล้วทำไมคุณต้องโดดล่ะคะ” แม่อบมองหน้าใสๆ อย่างงุนงง“ขี้เกียจไปเป็นต้นไม้หรือก้อนหินให้เขาน่ะสิคะ เข็ด!” คนพูดหัวเราะร่วนเสียงใสยามนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตกกระไดพลอยโจนให้ต้องขึ้นเวทีเพราะคนเป็นเพื่อนขอร้องแกมบังคับ‘วันนี้คนที่แสดงเป็นต้นไม้ป่วย ทรายช่วยขึ้นแทนทีสิ ไม่มีบทพูด
เช้าวันนั้น ศุภิสราเดินออกไปรอรถจะไปโรงเรียนเช่นเคย ขณะที่ผ่านหน้าตึกใหญ่ ร่างเล็กต้องรีบหยุดทันควัน เมื่อเห็นคนทั้งบ้านมายืนออหน้าประตูตึกใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความสังหรณ์ใจทำให้หนูน้อยแอบเตร่เข้าไปยืนแอบมองใกล้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง คนตัวเล็กเขย่งกายชะเง้อมอง จนกระทั่งได้เห็น...ศุภิสราใจหายวาบเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่คนรถกำลังขนขึ้นไว้ท้ายรถ โดยมีประมุขของบ้านยืนมองคุมความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนคุณพราวพิไลเฝ้าแต่กอดลูกชายไว้แนบอกร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ร่างสูงของเด็กชายในชุดแปลกตา ดวงหน้าคมคายเรียบสนิท แม้นัยน์ตาจะแดงๆ แต่ไม่มีหยดน้ำตาให้เห็น แล้วจู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เบนมาทางที่เธอยืนอยู่ ศุภิสราหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นร่างสูงผละจากมารดา เดินตรงดิ่งมาทางที่เธอยืนอยู่ ร่างเล็กผงะถอยหลังไปแอบอยู่ข้างตึก และเตรียมถอยหนีกลับไปทางเก่า หากแล้วแขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากไว้“จะรีบหนีไปไหนล่ะ หา...” เสียงห้าวสะกดตรึงร่างเล็กไว้กับที่ “จะมาเยาะเย้ยฉันไม่ใช่เหรอ แล้วจะรีบเดินหนีทำไม”“มะ...ไม่ใช่นะคะ โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะแรงที่บีบแขนไว้แน่นทำให้เจ็บ“ไม่ใช่อะไร” น้ำเสี
“หืม?” คุณพรรณรายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หันไปมองหน้าเด็กในปกครองเชิงถาม“แล้วนั่นเราไปโดนอะไรมา ทำไมมอมแมมอย่างนั้น เข้ามาใกล้ๆ ซิ” เมื่อคนพูดคือคุณพรรณราย คนตัวเล็กจึงหมดสิทธิ์เลี่ยงอีกต่อไปต้องรีบคลานเข่าเข้าไปหา“สงสัยฝีมือพวกใจยักษ์บนตึกนั่นแหละค่ะ พวกนายว่าขี้ข้าพลอยทั้งนั้น”“จริงอย่างที่แม่อบว่าหรือเปล่า หืม?” คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบ ดวงหน้าหวานสลดเศร้าทำให้คนมองอ่อนอกอ่อนใจ“เอาเถอะๆ มีอะไรก็กินกันไปก่อนแล้วกัน” คุณพรรณรายตัดบท พลางหันไปสบตากับคนสนิทที่ยืนหน้างออย่างหนักอกหนักใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องได้ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเป็นห่วง เมื่อลับหลังคนตัวเล็ก ทั้งคู่จึงได้โอกาสปรับทุกข์ต่อกันเบาๆ“คุณพราวพิไลนี่ก็เหลือเกิน” แม่อบถอนหายใจ“จะไปว่าเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ถึงยังไงตาเพชรก็เป็นลูกเขาทั้งคน แค่ไปอยู่ไกลตาก็ห่วงแล้ว นี่จะส่งไปอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา ใครจะไปทนไหว”“นี่ตกลงว่าคุณเพชรต้องไปเมืองนอกแน่ๆ แล้วเหรอคะ” แม้ไม่เคยเลี้ยงดู ทว่าเมื่อเป็นหลานของเจ้านายก็ทำให้อดห่วงไม่ได้“แน่สิ ได้ยินพ่อเขาว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว กำหนดวันเดินทางก็คงเร็วๆ นี้ล่ะ” “แต่คุณไกรภพก็ใจแข็งเหลื
“พี่จะพาน้องทรายไปอยู่บ้านด้วยไง ดีไหม” คนฟังถึงกับอึ้ง แต่พอเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจพยักหน้ารับไป“ก็ได้ค่ะ แต่งก็ได้”“จริงๆ นะจ๊ะ สัญญาก่อน” โทรินทร์ชูนิ้วก้อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่คนตัวเล็กก็ยอมยกนิ้วก้อยเกี่ยวก้อยตอกย้ำคำสัญญานั้น “ไชโย้...” โทรินทร์ตะโกนอย่างสมหวัง หากเขามัวดีใจจนไม่ทันเห็นสิ่งที่ซ่อนลึกในลูกแก้วคู่งามนั้น‘ดีเหมือนกัน ไปจากที่นี่ซะ ไม่มีเราสักคน เขาคนนั้นจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุขสักที...’ไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่ศุภิสราหวังก็พังทลายลงพร้อมกับพายุใหญ่ “คุณพี่ว่ายังไงนะคะ!” เสียงเอะอะโวยวายดังคับบ้าน “จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก”“เบาๆ หน่อยเถอะ คุณพราว เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นทั้งบ้าน” ประมุขของบ้านปราม“ช่างหัวมันปะไร ดิฉันไม่สน ตอบมาสิคะ ทำไมตาเพชรต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย หรือว่าเป็นแผนเฉดหัวพวกเราออกไปจากบ้านนี้ให้หมด เริ่มจากลูกก่อน อีกหน่อยก็คงเป็นฉัน” คุณพราวพิไลตีโพยตีพายทั้งน้ำตาคุณไกรภพถอนหายใจ แม้จะเตรียมใจตั้งรับมาแล้วว่าต้องพบเหตุการณ์นี้จากภรรยา ทว่าที่ไม่คาดคิดคือแม้แต่คนในบ้านก็เป็นไปด้วย“วันนี้งดปิ
“บราวนี่!”เสียงแหลมเล็กตะโกนลั่น ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งหันขวับ เด็กหญิงตัวป้อมที่เธอจำได้ว่าชื่อ เฟื่องตะวัน ยืนชี้โบ้ชี้เบ้มาทางที่เธอพลางป้องปากตะโกนลั่น“บราวนี่อยู่ทางนี้ค่ะ พี่เพชร!” ชื่อที่หลุดออกจากปากแดงจิ้มลิ้ม ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกวูบลงไปกองที่ตาตุ่มทันที“เอาหมาของเขาคืนมานะ ยัยหัวขโมย!” จู่ๆ มือกลมป้อมก็จู่โจมเข้ามาจะคว้าตัวเจ้าขนปุยไปจากอ้อมแขน ทำให้ศุภิสราตกใจเผลอเกร็งแขนไว้เพราะกลัวเจ้าหมาน้อยตกลงพื้น การยื้อแย่งจึงเกิดขึ้น จนเจ้าตัวฟูก็เกิดตกใจจึงงับแขนเรียวเล็กของศุภิสราจนต้องปล่อยมือจากมันกะทันหัน ทำให้เฟื่องตะวันถลาล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปคลุกฝุ่นที่พื้นทันที“น้องเฟื่อง!” คนที่เดินตามเข้ามาทีหลังร้องเรียกอย่างตกใจ“พี่เพชรคะ ฮึกๆ ช่วยด้วยค่ะ... ยัยเด็กนี่ผลักเฟื่อง โอย เจ็บ...ฮือ” คนก้นจ้ำเบ้าโอดครวญ ทำให้เด็กชายตัวสูงต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แววตาเย็นชาทำให้คนตัวน้อยสะดุดลมหายใจ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี “นี่แหน่ะ!” ก่อนจะทันรู้ตัว คนตัวป้อมที่ถลันหลุดจากวงแขนของพีรภัทรเข้ามาผลักสุดแรงบ้าง แต่ก่อนที่ศุภิสราจะล้มลงบาดเจ็บ มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาดึงร่างคนถลาเป็นนกปีกหั
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน