“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กน้อย แก้วรีบปล่อยมือจากต้นแขนเล็กๆ ทำให้ร่างเด็กหญิงผู้น่าสงสารทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที
“หนูทราย” คุณไกรภพปราดเข้ามาประคองร่างเล็กนั้นอย่างเวทนา ขาที่ถูกฟาดจนแตกยับมีรอยเลือดไหลซิบๆ ทำให้เต้องขาสะเทือนใจ มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเล็กกำรอบที่มีรอยเล็บครบทั้งห้าจนห้อโลหิตด้วยความโมโห
“หนูทรายทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องมาเฆี่ยนตีรุนแรงอย่างนี้” คนถูกถามเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ สามีสุดที่รักเข้าข้างคนอื่นต่อหน้าต่อตา
“คุณก็ถามมันเองสิคะ ว่ามาแกล้งหนูเฟื่องทำไม”
“ไม่จริงค่ะ! หนูไม่ได้ทำ ถ้าไม่เชื่อ คุณลุงลองถามคุณเพชรดูก็ได้ค่ะ” คุณไกรภพจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างชั่งใจ
“ใครไปตามตาเพชรมาซิ”
“นี่คุณเชื่อยัยเด็กนี่มากกว่าฉันหรือไง” คุณพราวพิไลตัดพ้อ
“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ไปตามตาเพชรมานี่ เดี๋ยวนี้”
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง คุณพราวพิไลรีบดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความหวงแหน พลางส่งสายตาเคียดแค้นให้สามี
“ไหนลองเล่าให้พ่อฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น หนูทรายแกล้งหนูเฟื่องอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”
พีรภัทรเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ที่ทำปากขมุบขมิบบงการอย่างลำบากใจ หากถ้ายอมทำตามที่แม่ต้องการเด็กนั่นคงไม่แคล้วต้องถูกลงโทษอีกแน่ แม้จะไม่ชอบหน้านัก แต่เขาก็ไม่ชอบเห็นความอยุติธรรมเช่นกัน
"เปล่าครับ ไม่ได้แกล้ง น้องเฟื่องขาเป็นเหน็บเลยล้มไปเองครับ” คำตอบนั้นทำให้จำเลยตัวน้อยพ้นผิดโดยไม่มีข้อโต้แย้ง หากคุณพราวพิไลกลับไม่ยอมให้เรื่องจบลงง่ายๆ
“ถึงยังไงคุณก็ต้องทำโทษเด็กนี่”
“ก็หนูทรายไม่ผิด คุณก็ได้ฟังลูกพูดแล้วนี่” คนเป็นสามีโต้
“คุณขู่ลูก ลูกก็กลัวสิ ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณไม่จัดการเด็กนี่ให้หลาบจำล่ะก็ ฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“เรื่องคราวนี้ให้แล้วกันไปเถอะ ผมหวังว่าคุณนิภาเองก็คงไม่ติดใจเอาความนะครับ” คุณไกรภพหันไปเอ่ยกับเพื่อนของภรรยา
“นี่คุณเข้าข้างยัยเด็กนี่เหรอคะ คอยดูเหอะต่อไปมันคงแกล้งลูกเราหนักๆ อีก แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
“หนูทรายไม่ใช่เด็กแบบนั้น มีเหตุผลหน่อยสิคุณพราว โตๆ กันแล้วนะ” คุณพราวพิไล เม้มปากแน่น ในใจไม่ยอมลงให้สามีแม้แต่น้อย
“อ๋อ ใช่สิ ฉันมันคนไม่มีเหตุผล ใครจะไปแสนดีเหมือนแม่คนรักเก่าคุณล่ะ”
“หยุดนะพราวพิไล! คุณพูดอะไรคิดถึงเด็กๆ ที่นั่งฟังอยู่บ้างเหอะ”
“ดีสิ มันจะได้รู้ว่าแม่ของมันนิสัยเลวยังไง”
“ศศิลดาไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้” ชื่อที่หลุดจากปากประมุขของบ้านทำให้ศุภิสรานิ่งงัน
“เกี่ยวทุกอย่าง ถ้าไม่เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น วันนี้คุณคงไม่ต้องไปเก็บเด็กนี่มาไว้ตำตาตำใจฉันอย่างนี้หรอก”
“พอกันที ผมไม่อยากฟังคุณพูดอีก ไปกันเถอะหนูทราย อย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อเลย” คุณไกรภพไม่ฟัง รีบจูงมือเด็กหญิงเดินหนีขึ้นรถออกไปทันที ทำเอาคุณพราวพิไลแทบกระอักออกมาด้วยความเจ็บใจ
ตั้งแต่ออกจากบ้านมา คุณไกรภพก็ไม่พูดไม่จาใดๆ สีหน้าเคร่งเครียด ทำให้คนถูกฉุดขึ้นรถต้องพลอยเงียบไปด้วย จนกระทั่งรถแล่นเข้ามาจอดสนิทในอาณาเขตของบ้านสวนหลังหนึ่ง
แววตาสีอ่อนสวยมองบรรยากาศรอบๆ ตัวอย่างสนอกสนใจ บ้านเรือนไทยหลังงามรายล้อมด้วยเรือกสวนเขียวครึ้มดูร่มรื่น“ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่าลูก” จู่ๆ คุณไกรภพก็หันมาถาม สายตาอ่อนโยนมองดวงหน้ามอมแมมด้วยความเวทนา
“ไม่ค่ะ หายเจ็บแล้ว” ศุภิสรารีบปดคำโต เพื่อให้คนถามสบายใจขึ้น “ที่นี่ที่ไหนคะ"
“บ้านเพื่อนของลุงเอง” ยังไม่ทันได้ความกระจ่างนัก คุณไกรภพก็ลงจากรถไปเสียก่อน ศุภิสราถอนหายใจเบาๆ ก่อนรีบเดินตามขึ้นบ้านไป โดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของใครคนหนึ่งที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
รถคันหรูแปลกตาทำให้คนนั่งห้อยโหนอยู่บนกิ่งต้นมะม่วงต้องเหลียวไปมองอย่างสนใจ ร้อยวันพันปีไม่ค่อยมีใครไปมาหาสู่บ้านสวนอันเงียบสงบแห่งนี้ สงสัยวันนี้แขกผู้มาเยือนคงมีฐานะไม่หยอก ร่างผอมเก้งก้างรีบโจนทะยานลงจากกิ่งไม้อย่างชำนิชำนาญ...เห็นท่าคงต้องไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ สักหน่อยแล้ว!
“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน“คุณป้าสบายดีหรือครับ”“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้า
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
“มาสิ” ศุภิสรามองคุณไกรภพอย่างขอคำปรึกษา พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตจึงค่อยกระย่องกระแย่งตามลูกชายตัวแสบของเจ้าของบ้านไป ทิ้งผู้ใหญ่สามคนที่มองตามอยู่เบื้องหลัง“เด็กคนนี้เองหรือครับที่คุณเล่าให้ฟัง”“ครับ” คุณไกรภพมีสีหน้าหนักใจ “นี่แหละหนูทราย”“ท่าทางน่าเอ็นดู อายุน่าจะพอๆ กับยัยตรีของผมนะครับ ถ้ารายนั้นกลับมาเจอคงเจี๊ยวจ๊าวน่าดู อ้อ พูดปุ้บก็มาปั้บเชียว” คุณพงศ์เอกเอ่ย พลางต้องรีบอ้าแขนรับร่างกลมปุ๊กลุกที่โผเข้าหา“คุณพ่อขา หนูกลับมาแล้วค่ะ” คนพูดยิ้ม พลางหอมแก้มผู้เป็นพ่ออย่างรักใคร่“สวัสดีคุณย่ากับคุณท่านหรือยังลูก” เด็กหญิงตัวเล็กรีบยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย“นี่เหรอหนูตรี น่ารักจริง เรียกลุงว่าลุงไกรเถอะนะ”“ค่ะ คุณลุงไกร” เด็กน้อยส่งยิ้มสดใสให้ ทำเอาคุณไกรภพอึ้งสะท้อนใจยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับเด็กน้อยที่เพิ่งผละไป“ไปอาบน้ำอาบท่ากับย่าก่อนดีกว่าลูก เดี๋ยวจะได้ลงมาทานข้าวปลากัน” คุณฝนทองรีบจูงมือหลานสาวคนโปรดมาจากผู้เป็นพ่อพาขึ้นบ้านไป เพื่อเปิดช่องให้บุรุษทั้งสองได้เจรจาธุระกันต่อ“คุณเอกนี่โชคดีจริงๆ นะครับที่มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีลูกๆ น่ารักแบบหนูตรีกับพ่อโท”“โอ้ย... บ
“กรี๊ด...ขโมย!”“เอ๊ะ นั่นเสียงยัยตรีนี่ครับ สงสัยอาละวาดอีกแล้ว” ความคิดของคุณพงศ์เอกไม่เกินจริงเลย ภาพที่ปรากฏคือร่างหนูน้อยหลับหูหลับตากระทืบเท้าเร่าๆ ร้องกรี๊ดๆ“มีอะไรกันน่ะ เอะอะโวยวายอะไรกันลูก”“ขโมยค่ะ คุณพ่อ ขโมยขึ้นบ้านเรา ดูสิคะเขาแอบเอาชุดหนูไปใส่ด้วย”“ไหน ขโมยที่ไหนขึ้นบ้านเรา มันอยู่ไหนลูก” หญิงสูงวัยเงื้อมือหราตั้งท่าลุยมาแต่ไกล“นั่นใจคอคุณแม่จะเอาสากกะเบือมาตีหัวขโมยเลยเหรอครับ” คุณพงศ์เอกกระเซ้า ทำเอาคนเงื้อสากค้างเกิดอาการเก้อ “ก็แม่ได้ยินเสียงยัยตรีร้อง ว่าแต่ขโมยอยู่ไหนล่ะ”“นั่นไงครับ หัวขโมยของยัยตรี ยืนจ๋องอยู่นั่นไง”“อ้าว...พุทโธ่เอ๊ย หนูทรายเองเหรอลูก” แล้วคุณฝนทองก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง คนอื่นๆ ก็พลอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นเด็กน้อยในชุดสีชมพูหวานยืนหน้าเด๋ออยู่กลางห้องกฎข้อหนึ่งของบ้านวรรณยุกต์คือห้ามหัวเราะหรือพูดคุยระหว่างที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก ทว่าวันนี้บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะลั่น หัวข้อที่ถูกหยิบยกมาสนทนาก็หนีไม่พ้นความเข้าใจผิดที่มีต่อแขกตัวน้อยนั่นเอง คุณฝนทองถึงกับค้อนควักเมื่อถูกลูกชายของตนแซวไม่ขาดปาก แม้คุณอรดาแม่ของสองศรีพี่น้อ
หลังจากวันที่เกิดเรื่องขึ้น บรรยากาศมึนตึงก็ปกคลุมไปทั่วบ้านบุรณากรณ์ คุณพราวพิไลที่โกรธสามีหนีไปอยู่บ้านผู้เป็นมารดาชั่วคราว ส่วนบุตรชายก็มักหมกตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร หากปกติยามเช้า สาย เที่ยง เย็น ก็มักจะมีคนยกเสบียงเข้ามาเสิร์ฟถึงที่ ทว่าวันนี้คอย...หาย จนเจ้าตัวทนหิวไม่ไหวต้องออกมาจากห้อง เด็กชายเหลียวซ้ายแลขวาหาสิ่งมีชีวิต แล้วเงาวอบแวบก็โผล่เข้ามาทำให้เขาต้องรีบเรียก“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เงาที่รีบเดินงุดๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง ถาดอาหารที่แบกมาตกแตกกระจาย เมื่อเห็นคนที่ยืนตะหง่านบนเชิงบันได ดวงตาสีนิลที่มองลงมาเหมือนฉาบด้วยน้ำแข็งเย็นชาและน่ากลัว “ขะ...ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงรีบก้มหน้าก้มตาลนลานเก็บเศษจานที่ตกแตกที่พื้น“คนอื่นๆ หายไปไหนหมด” เขาถามด้วยเสียงเย็นเยียบ“เอ่อ... อยู่ที่เรือนเล็กค่ะ”“แล้วจะยกถาดอาหารนั่นไปให้ใคร” “ปะ...ไปให้...เอ่อ” คนพูดรวบรวมความกล้าเงยหน้าจ้องกลับไปทางคนถาม“ให้ฉันงั้นเหรอ? ใครใช้ไม่ทราบ” คนตัวเล็กสะอึก รีบก้มหน้าซ่อนความน้อยใจ มือเล็กค่อยๆ ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงกำวัตถุที่นอนนิ่งในนั้นราวกับขอกำลังใจ ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ที่บรรจงซักจนหมดคราบเลือด ตั้ง
ประกาศิตกร้าวของคนเลือดเย็นตรงหน้าทำเอาคนฟังน้ำตาร่วงเผาะ แล้วทันใดนั้นเองน้ำเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น“ทำอะไรกันน่ะ” ร่างของคุณพราวพิไลปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาเอาเรื่องกวาดมองข้าวของที่เกลื่อนกลาด หากพอมองเห็นลูกชายยืนนิ่ง มือที่กุมกันมีรอยเลือด เท่านั้นเองเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้าง“ตาเพชร!” คุณพราวพิไลตวัดหางตาไปที่ร่างเล็กที่พื้นอย่างเอาเรื่อง “แกกล้าดียังไงเข้ามาทำร้ายลูกชายแบบนี้ หา...”“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวน้อยละล่ำละลักปฏิเสธทั้งน้ำตา“เปล่าอะไร ก็ฉันเห็นตำตาอยู่นี่ ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ”“มีอะไรกัน แม่พราว!” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนที่โครงหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีดำมีเค้าประพิมประพายกับคุณพราวพิไล แต่มากวัยกว่า ร่างแบบบางในชุดสีโศกนั่งบนวีลแชร์เข้ามา“ก็นังเด็กเลวนี่น่ะสิคะ จะฆ่าหลานชายคุณพี่ ดูสิเลือดโชกเลย โถ... ตาเพชรลูกแม่” หญิงมากวัยเขม่นตามองจำเลยร่างเล็กมอมแมมที่นั่งตัวสั่นงันงกแล้วนึกขำน้องสาวที่โอเวอร์เกินเหตุ คนถูกมองเหมือนรู้ตัวเงยหน้ามองผู้มาใหม่“เอ๊ะ! นี่มัน...” โดยไม่มีใครคาดคิด ฝ่ามือเรียวก็ฟาดลงมาบนใบหน้าเด็กน้อยทันใด แก้มใสขึ้นรอยนิ้วมือแดงเห่อเป็นปื้น
“ก็เห็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ...” คุณพรรณรายยอมรับ มันก็น่าอยู่หรอกที่น้องสาวของเธอจะเดือดดาลได้ถึงขนาดนั้น แม้ไม่อยากจะเชื่อ หากทว่าเค้าโครงหน้าที่เล่นถอดพิมพ์เดียวกันออกมาแบบนี้ มีหรือที่น้องสาวของเธอจะไม่ยอกแสยงในอก ยิ่งมาอยู่ร่วมชายคาด้วยแล้ว ก็เหมือนกับกอดระเบิดเวลาเอาไว้ไม่มีผิด หากทว่ามันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ ในเมื่อเธอเองก็มีสถานการณ์ไม่ต่างจากเด็กหญิงผู้น่าสงสารนี้“ผมเพิ่งทราบเรื่องของคุณพี่ เสียใจด้วยจริงๆ นะครับ คนดีๆ อย่างคุณพจน์ไม่น่ามาด่วนจากไปแบบนี้เลย” คุณไกรภพเอ่ยพลางเข้าช่วยเข็นรถพี่สาวภรรยาไปทางห้องรับแขก ดวงตาเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงสามีผู้ล่วงลับไปอย่างกะทันหัน ทั้งที่หน้าที่การงานของเขากำลังรุ่งโรจน์จนเกือบจะขึ้นไปถึงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอยู่ร่อมร่อ“แล้วนี่คุณพี่จะกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่าครับ”“ค่ะ ก็คงอย่างนั้น พอสิ้นคุณพจน์ ที่นู่นก็ไม่มีใคร”“ก็ดีสิครับ นี่คุณแม่คงดีใจที่ลูกสาวมาอยู่เป็นเพื่อน” คนพูดไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่หม่นหมองลงทันควัน“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดก็คงดี” คุณพรรณรายขอบตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนเอง“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
หญิงสาวค่อยๆ ลากหีบไม้ใบเก่าออกมาจากใต้เตียง เมื่อเปิดออกจึงเห็นซองจดหมายมากมายที่ซ้อนทับไว้อย่างเป็นระเบียบ... ทุกซองจ่าหน้าเหมือนกัน แถมมีวันที่กำกับพร้อม ที่หมายคือประเทศอังกฤษ ก้นหีบนั้นมีเศษผ้าเช็ดหน้าขาวบางขลิบลูกไม้ซีดตามกาลเวลาที่เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะทะนุถนอมไว้อย่างดี ดวงตาหวานซึ้งกะพริบถี่ไล่ละอองน้ำให้ระเหยไป นับจากวันที่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายวันนั้นมาก็ไม่เคยมีใครได้เห็นน้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อยอีก แม้ถูกแกล้งแค่ไหนก็ไม่ยอมเสียน้ำตาให้ใครหากวันนี้คำว่า... ของฝากจากอังกฤษ... สะกิดความทรงจำเก่า เดิมทีทุกคราวที่คุณพราวกลับจากอังกฤษจะมีของมาฝากคนในปกครองอยู่เสมอ ทุกคนจะได้รับน้ำใจลดหลั่นลงไปตามความโปรดปรานของผู้ให้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กรับใช้หรือกระทั่งคนสวน หรือแม้แต่คนใกล้ตัวอย่างแม่อบก็เถอะ คนอยู่ไกลก็ยังเผื่อแผ่น้ำใจมาถึงจะมีก็เพียง... เธอคนเดียว... เท่านั้นที่ตกสำรวจ ไม่เคยจะได้รับน้ำใจจากคนอยู่แดนไกลแม้เพียงสักครั้งเดียว เขาผู้นั้นคงเกลียดเธอจนเข้าไส้ หรือไม่ก็อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าศุภิสรายังมีตัวตนอยู่ในบ้านของเขา “ดี...ลืมซะ ลืมให้สนิทไปเลยได้ยิ่งดีว่ามีเราอยู่บนโลกอีกค
“เปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด” คนเหมือนลูกหมาตกน้ำคลี่ยิ้มบางๆ พลางวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเป็นระเบียบ ก่อนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าตามที่เคยถูกสอนเสมอ ‘ไปต้องลา มาต้องไหว้’ มารยาทที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยขัดเกลาให้กิริยามารยาทเรียบร้อย“คุณท่านเข้าห้องไปแล้วหรือคะ”“ค่ะ เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ก่อนคุณมาครู่เดียว”“โอ้ย... เหนื่อยจังค่ะ” ว่าแล้วร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ“วันนี้ทำไมกลับค่ำนักละคะ”“ก็ยัยตรีน่ะสิคะ ยึดตัวไว้จะให้เข้าประชุมชมรมให้ได้ ปีนี้เขาว่าจะจัดแสดงละครเวที งานนี้คุณตรีรักษ์รับเป็นแม่งานเชียวนะคะ เลยต้องเข้าประชุมกับเขาเกือบทุกวัน แต่พรุ่งนี้ทรายว่าจะแอบโดดล่ะ...” สุ้มเสียงคนพูดมีรอยสนุกซุกซน“อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” คนพูดไม่เข้าใจ“ก็พรุ่งนี้แม่งานใหญ่เขาว่าจะคัดตัวนักแสดง”“แล้วทำไมคุณต้องโดดล่ะคะ” แม่อบมองหน้าใสๆ อย่างงุนงง“ขี้เกียจไปเป็นต้นไม้หรือก้อนหินให้เขาน่ะสิคะ เข็ด!” คนพูดหัวเราะร่วนเสียงใสยามนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตกกระไดพลอยโจนให้ต้องขึ้นเวทีเพราะคนเป็นเพื่อนขอร้องแกมบังคับ‘วันนี้คนที่แสดงเป็นต้นไม้ป่วย ทรายช่วยขึ้นแทนทีสิ ไม่มีบทพูด
เช้าวันนั้น ศุภิสราเดินออกไปรอรถจะไปโรงเรียนเช่นเคย ขณะที่ผ่านหน้าตึกใหญ่ ร่างเล็กต้องรีบหยุดทันควัน เมื่อเห็นคนทั้งบ้านมายืนออหน้าประตูตึกใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความสังหรณ์ใจทำให้หนูน้อยแอบเตร่เข้าไปยืนแอบมองใกล้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง คนตัวเล็กเขย่งกายชะเง้อมอง จนกระทั่งได้เห็น...ศุภิสราใจหายวาบเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่คนรถกำลังขนขึ้นไว้ท้ายรถ โดยมีประมุขของบ้านยืนมองคุมความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนคุณพราวพิไลเฝ้าแต่กอดลูกชายไว้แนบอกร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ร่างสูงของเด็กชายในชุดแปลกตา ดวงหน้าคมคายเรียบสนิท แม้นัยน์ตาจะแดงๆ แต่ไม่มีหยดน้ำตาให้เห็น แล้วจู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เบนมาทางที่เธอยืนอยู่ ศุภิสราหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นร่างสูงผละจากมารดา เดินตรงดิ่งมาทางที่เธอยืนอยู่ ร่างเล็กผงะถอยหลังไปแอบอยู่ข้างตึก และเตรียมถอยหนีกลับไปทางเก่า หากแล้วแขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากไว้“จะรีบหนีไปไหนล่ะ หา...” เสียงห้าวสะกดตรึงร่างเล็กไว้กับที่ “จะมาเยาะเย้ยฉันไม่ใช่เหรอ แล้วจะรีบเดินหนีทำไม”“มะ...ไม่ใช่นะคะ โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะแรงที่บีบแขนไว้แน่นทำให้เจ็บ“ไม่ใช่อะไร” น้ำเสี
“หืม?” คุณพรรณรายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หันไปมองหน้าเด็กในปกครองเชิงถาม“แล้วนั่นเราไปโดนอะไรมา ทำไมมอมแมมอย่างนั้น เข้ามาใกล้ๆ ซิ” เมื่อคนพูดคือคุณพรรณราย คนตัวเล็กจึงหมดสิทธิ์เลี่ยงอีกต่อไปต้องรีบคลานเข่าเข้าไปหา“สงสัยฝีมือพวกใจยักษ์บนตึกนั่นแหละค่ะ พวกนายว่าขี้ข้าพลอยทั้งนั้น”“จริงอย่างที่แม่อบว่าหรือเปล่า หืม?” คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบ ดวงหน้าหวานสลดเศร้าทำให้คนมองอ่อนอกอ่อนใจ“เอาเถอะๆ มีอะไรก็กินกันไปก่อนแล้วกัน” คุณพรรณรายตัดบท พลางหันไปสบตากับคนสนิทที่ยืนหน้างออย่างหนักอกหนักใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องได้ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเป็นห่วง เมื่อลับหลังคนตัวเล็ก ทั้งคู่จึงได้โอกาสปรับทุกข์ต่อกันเบาๆ“คุณพราวพิไลนี่ก็เหลือเกิน” แม่อบถอนหายใจ“จะไปว่าเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ถึงยังไงตาเพชรก็เป็นลูกเขาทั้งคน แค่ไปอยู่ไกลตาก็ห่วงแล้ว นี่จะส่งไปอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา ใครจะไปทนไหว”“นี่ตกลงว่าคุณเพชรต้องไปเมืองนอกแน่ๆ แล้วเหรอคะ” แม้ไม่เคยเลี้ยงดู ทว่าเมื่อเป็นหลานของเจ้านายก็ทำให้อดห่วงไม่ได้“แน่สิ ได้ยินพ่อเขาว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว กำหนดวันเดินทางก็คงเร็วๆ นี้ล่ะ” “แต่คุณไกรภพก็ใจแข็งเหลื
“พี่จะพาน้องทรายไปอยู่บ้านด้วยไง ดีไหม” คนฟังถึงกับอึ้ง แต่พอเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจพยักหน้ารับไป“ก็ได้ค่ะ แต่งก็ได้”“จริงๆ นะจ๊ะ สัญญาก่อน” โทรินทร์ชูนิ้วก้อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่คนตัวเล็กก็ยอมยกนิ้วก้อยเกี่ยวก้อยตอกย้ำคำสัญญานั้น “ไชโย้...” โทรินทร์ตะโกนอย่างสมหวัง หากเขามัวดีใจจนไม่ทันเห็นสิ่งที่ซ่อนลึกในลูกแก้วคู่งามนั้น‘ดีเหมือนกัน ไปจากที่นี่ซะ ไม่มีเราสักคน เขาคนนั้นจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุขสักที...’ไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่ศุภิสราหวังก็พังทลายลงพร้อมกับพายุใหญ่ “คุณพี่ว่ายังไงนะคะ!” เสียงเอะอะโวยวายดังคับบ้าน “จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก”“เบาๆ หน่อยเถอะ คุณพราว เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นทั้งบ้าน” ประมุขของบ้านปราม“ช่างหัวมันปะไร ดิฉันไม่สน ตอบมาสิคะ ทำไมตาเพชรต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย หรือว่าเป็นแผนเฉดหัวพวกเราออกไปจากบ้านนี้ให้หมด เริ่มจากลูกก่อน อีกหน่อยก็คงเป็นฉัน” คุณพราวพิไลตีโพยตีพายทั้งน้ำตาคุณไกรภพถอนหายใจ แม้จะเตรียมใจตั้งรับมาแล้วว่าต้องพบเหตุการณ์นี้จากภรรยา ทว่าที่ไม่คาดคิดคือแม้แต่คนในบ้านก็เป็นไปด้วย“วันนี้งดปิ
“บราวนี่!”เสียงแหลมเล็กตะโกนลั่น ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งหันขวับ เด็กหญิงตัวป้อมที่เธอจำได้ว่าชื่อ เฟื่องตะวัน ยืนชี้โบ้ชี้เบ้มาทางที่เธอพลางป้องปากตะโกนลั่น“บราวนี่อยู่ทางนี้ค่ะ พี่เพชร!” ชื่อที่หลุดออกจากปากแดงจิ้มลิ้ม ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกวูบลงไปกองที่ตาตุ่มทันที“เอาหมาของเขาคืนมานะ ยัยหัวขโมย!” จู่ๆ มือกลมป้อมก็จู่โจมเข้ามาจะคว้าตัวเจ้าขนปุยไปจากอ้อมแขน ทำให้ศุภิสราตกใจเผลอเกร็งแขนไว้เพราะกลัวเจ้าหมาน้อยตกลงพื้น การยื้อแย่งจึงเกิดขึ้น จนเจ้าตัวฟูก็เกิดตกใจจึงงับแขนเรียวเล็กของศุภิสราจนต้องปล่อยมือจากมันกะทันหัน ทำให้เฟื่องตะวันถลาล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปคลุกฝุ่นที่พื้นทันที“น้องเฟื่อง!” คนที่เดินตามเข้ามาทีหลังร้องเรียกอย่างตกใจ“พี่เพชรคะ ฮึกๆ ช่วยด้วยค่ะ... ยัยเด็กนี่ผลักเฟื่อง โอย เจ็บ...ฮือ” คนก้นจ้ำเบ้าโอดครวญ ทำให้เด็กชายตัวสูงต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แววตาเย็นชาทำให้คนตัวน้อยสะดุดลมหายใจ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี “นี่แหน่ะ!” ก่อนจะทันรู้ตัว คนตัวป้อมที่ถลันหลุดจากวงแขนของพีรภัทรเข้ามาผลักสุดแรงบ้าง แต่ก่อนที่ศุภิสราจะล้มลงบาดเจ็บ มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาดึงร่างคนถลาเป็นนกปีกหั
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน