“ขอบคุณ ยาห่อนี้ราคาเท่าไหร่?” ซินหลินไม่ชอบเอาของใครฟรี ๆ ถึงตอนนี้จะไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียวก็ตาม
หลี่เทาว่าจะไม่เก็บเงิน แต่ชาวบ้านที่มามุงดูเยอะเกินไป เขาจะไม่เก็บเงินก็ไม่ได้ “ยาห่อนี้ราคาเพียงห้าอีแปะ เอาไว้ถ้าเจ้ามีเงินค่อยเอามาให้ข้าทีหลังก็ได้” เขาบอกราคาของยาให้นางรู้ “เอาไว้กลับไปบ้านจะหาเงินมาจ่ายให้ท่าน วันนี้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ต้องขอบคุณทุกคนที่มาช่วย ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน” ซินหลินรีบเดินก้มหน้า เดินออกไปตามทางที่อยู่ในความทรงจำ ชาวบ้านที่มุงดูต่างตกใจ อ้าปากค้าง พวกเขาไม่ได้ยินเสียงด่า หรือเสียงโวยวายดังมาจากหยางฉิง คำพูดของนางก็ดูแปลกไป หรือนางสมองกระทบกระเทือนไปแล้วใช่หรือไม่ ผู้คนมองดูหยางฉิงเดินออกไปพร้อมกัน แต่ละคนก็มีเรื่องสงสัยในเรื่องเดียวกัน ว่าหยางฉิงแปลกไป? ... หลังจากที่ซินหลินหนีออกมาจากผู้คนได้แล้ว เธอเดินไปตามทางที่อยู่ในความทรงจำอย่างไม่เร่งรีบ ระหว่างที่กำลังเดิน สายตาก็มองไปสองข้างทาง ถนนที่ไม่คุ้นเคย สายลมพัดผ่านเข้ามาเบา ๆ พาให้บรรยากาศดูเงียบเหงามากขึ้น สายตามองไปตามบ้านแต่ละหลังที่อยู่ในหมู่บ้านที่ซินหลินทะลุมิติเข้ามา บ้านของที่นี่ส่วนใหญ่สร้างด้วยอิฐดินและไม้เป็นส่วนใหญ่ บ้านแต่ละหลังดูเก่าและทรุดโทรม บ่งบอกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ค่อยร่ำรวยเท่าไหร่ เธอเดินเท้าไปเรื่อย ๆ ก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง รอบตัวบ้านใช้ไม้ไผ่ล้อมเอาไว้ทำเป็นรั้ว เธอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเป็นบ้านชั้นเดียวสร้างด้วยอิฐดิน รอบตัวบ้านมีสวนที่แห้งแล้งและมีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่านเข้ามาในรั้วบ้าน ‘แสดงว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ได้สนใจสวนหรือทำอะไรเลย’ “แค่ก แค่กๆ ....” เสียงไอของคนดังออกมาจากข้างในตัวบ้าน ในความทรงจำที่ได้มาใหม่ หญิงสาวคนนี้อาศัยอยู่กับสามีที่พิการหนึ่งคนและก็ไม่ค่อยสนใจสามีคนนี้เท่าไหร่ เธอเปิดประตูบ้านที่ทำจากไม้เก่าแต่ยังใช้งานได้ดีเข้าไป ก็ต้องเดินถอยหลังกลับออกมาอีกครั้ง เพราะมีกลิ่นเหม็นอับและกลิ่นเหม็นหลายสิ่งรวมกัน ปะทะใส่หน้าเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป ‘ทำไมบ้านหลังนี้ถึงได้มีกลิ่นเหม็นขนาดนี้เนี่ย!’ เธอกลั้นใจเดินเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ระหว่างที่เดินเข้าไป นิ้วมือเรียวสวยยกขึ้นมาบีบจมูกไว้เพื่อป้องกันจากกลิ่นที่อยู่ภายในบ้านหลังน้อย ข้างในบ้านมีสิ่งของมากมายล้มอยู่ บางอย่างก็วางไว้ไม่เป็นทาง ทำให้การเดินเข้าไปในบ้านหลังนี้เป็นเรื่องลำบากเพราะต้องค่อยหลบหลีกสิ่งของที่มันกีดขวางทางเดินเอาไว้ ระหว่างที่เธอเดินเข้าไป เธอก็อยากจะร้องไห้ออกมา ‘ทำไมชีวิตของฉันต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย!’ เธอเดินตามเสียงไอเข้ามาในห้องหนึ่งก็พบกับชายหนุ่มตัวสูงที่มีสภาพทรุดโทรมนอนอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง ภายในห้องของเขาเหม็นกลิ่นอับและฝุ่นที่เกาะเต็มไปทั่วทุกมุมห้อง จนเธอไม่คิดว่าคนสามารถนอนในที่แห่งนี้ได้ กลิ่นด้านในตัวห้องที่ชายหนุ่มนอนอยู่ไม่เหม็นเท่ากลิ่นที่อยู่ข้างนอกเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะห้องของเขามีหน้าต่างที่แดดส่องถึง และกลิ่นอับนั้นน่าจะมาจากตัวของเขาเองมากกว่า ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง หน้าของเขาแดงเพราะไอติดต่อกันเป็นเวลานาน เขามองหญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตารังเกียจพร้อมกับไอออกมาไม่หยุด “คุณเป็นยังไงบ้าง คุณต้องการน้ำหรือเปล่า?” เธอไม่คุ้นเคยกับการพูดของที่นี่เท่าไหร่ มีบางคำที่พูดติดขัดออกไปบ้าง “เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า เจ้าจะไปไหนก็ไป!” เขาตะคอกเสียงดังใส่ภรรยาที่ไม่ได้เรื่องของเขา ทำไมเขาต้องพูดไม่ดีกับเธอขนาดนี้ด้วย เหมือนว่าเขาจะโกรธเกลียดมาก ซินหลินค้นในความทรงจำก็พบว่า ชีวิตคู่ที่หยางฉิงคนเดิมได้อยู่กับสามี หยางฉิงเป็นผู้หญิงที่นิสัยไม่ดีและใช้เงินเก่งมาก ตั้งแต่ที่สามีบาดเจ็บจนกลายเป็นคนพิการ ก็ไม่สนใจสามีอีกเลย ยิ่งเมื่อถูกแม่สามีไล่ออกจากบ้าน ก็ยิ่งโกรธเกลียดและทิ้งขว้างสามีมากไปอีก ไม่แปลกใจเลยที่สามีจะโกรธเกลียดเจ้าของร่างได้มากขนาดนี้.... นางลองถามเขาอีกครั้งด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวลกว่าเดิม “ข้ารู้ว่าที่ผ่านมา ข้าได้ทำไม่ดีต่อท่านมากมาย แต่วันนี้ข้าตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ท่านจะให้โอกาสข้าได้หรือไม่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลี่เซิงฟังคำพูดของนางแล้วรู้สึกประหลาดใจ นางไม่เคยทำดีกับเขามาก่อนเลย ไม่ว่าจะในอดีตหรือแม้แต่ตอนนี้ วันนี้เหตุใดนางจึงดูเปลี่ยนไป หรือว่านางกำลังวางแผนอะไรอีก? หยางฉิงรอฟังอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบจากเขา มีเพียงเสียงไอที่ดังขึ้นเป็นระยะ “หากท่านไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร ท่านคงกระหายน้ำมากสินะ ข้าจะไปเอาน้ำมาให้” นางเอ่ยขึ้นก่อนจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แทนที่จะรอคำตอบ ซินหลินเดินไปยังห้องครัวที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำของร่างนี้ นางมองหาถังน้ำที่พอจะใช้ต้มได้ แต่กลับพบว่าไม่มีน้ำอยู่เลย ห้องครัวแห่งนี้แทบไม่มีเสบียงเหลืออยู่แม้แต่น้อย มีเพียงฝุ่นหนาที่ยึดครองทุกซอกมุม จนนางอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าของร่างเดิมเคยทำอาหารกินบ้างหรือไม่ นางกวาดตามองหาถ้วยที่พอจะใช้ตักน้ำได้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นถ้วยใบหนึ่งที่มีรอยบิ่น แต่ยังพอใช้งานได้ ใกล้กันมีถังน้ำเปล่าที่วางนิ่งอยู่ข้างกัน ซินหลินเดินไปยังด้านข้างของตัวบ้าน ที่ซึ่งมีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านเข้ามาในรั้วบ้าน นางใช้ถ้วยตักน้ำขึ้นมาใส่ถัง พลางครุ่นคิดว่าเหตุใดแม่สามีจึงยกที่ดินดี ๆ เช่นนี้ให้กับนาง เมื่อนางค้นหาในความทรงจำ จึงพบว่าหลี่เซิง สามีของนางในตอนนี้ เป็นผู้ดิ้นรนต่อสู้แย่งชิงที่ดินผืนนี้มาได้ นับว่าเขาเป็นชายที่ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวเมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั
หลี่เซิงมองนาง แววตาของนางส่องประกายยามพูดถึงเรื่องนี้ เขาจดจำความต้องการของนางไว้ในใจ “เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่? เจ้าชอบทะเลหรือ? ข้าเองก็ไม่เคยไปเช่นกัน เอาไว้ข้าจะหาข้อมูล แล้วพาเจ้าไปในอนาคตแน่นอน “เขาพูดเสียงอ่อนโยนหยางฉิงดันตัวออกจากอ้อมกอด มองหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น “ท่านพูดจริงหรือ? ท่านต้องสัญญากับข้านะ ว่าท่านจะพาข้าไปเที่ยวทะเลสักครั้ง” นางพูดพร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นมาหลี่เซิงมองนิ้วก้อยของนางด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าชูนิ้วขึ้นมาทำไม?”“ก็สัญญาไง! ในโลกเดิมของข้า ถ้าจะสัญญาต้องเกี่ยวก้อยกัน” นางพูดก่อนจะจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตนหลี่เซิงมองการกระทำของนางด้วยสายตาเอ็นดู เขาขยับนิ้วก้อยเบา ๆ “ข้าสัญญา ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำสัญญานั้น หยางฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ก่อนหน้าค่อย ๆ จางหายไป อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก จึงทำให้นางคิดมากอยู่บ้าง...หนึ่งเดือนต่อมา หยางฉิงได้ยินข่าวว่าพรานหย่งชุนแต่งงานกับหลี่หยิน ด้วยค่าสินสอดหนึ่งตำลึงทอง ถือว่าเขาใจป้ำไม่น้อยถึงขนาดให้สินสอดขนาดนี้ เมื่อ
หยางฉิงสังเกตสายตาของพรานหย่งชุน นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าให้ท่านมาพบเรื่องใด ตอนนี้ท่านคงได้คำตอบอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?” นางถามเสียงเรียบ“เจ้าช่างฉลาดนัก...” หย่งชุนหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า ไหน ๆ ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานอยู่แล้ว”แต่แล้วเขากลับมองหยางฉิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าคงไม่มีเงินมากพอที่จะขอหญิงสาวสักคนได้หรอก...”เมื่อเห็นสายตาของพรานหย่งชุน หยางฉิงจึงยิ้มบางเบา “แน่นอน ในเมื่อข้าเสนอจะช่วยท่านแล้ว ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน แต่…เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง แต่เมื่อท่านแต่งงานไปแล้ว ให้ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”นางพูดเสียงเรียบพลางวางถุงเงินลงตรงหน้าเขา “ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านให้สำเร็จลุล่วง”พรานหย่งชุนรีบคว้าถุงเงินขึ้นมานับ เมื่อเห็นตำลึงทองห้าตำลึง เขาก็ตาโตด้วยความยินดี“ข้าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ!” เขากล่าวอย่างตื่นเต้น“เงินที่ข้าให้ ท่านจงนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ และเตรียมของแต่งงานให้พร้อม ท่านก็น่าจะรู้ว่ามารดาของหลี่หยินชอบคนมีเ
หลี่ชวนฟังคำพูดของหลี่เซิงแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ‘กาดำตัวไหนอยากเปลี่ยนเป็นหงส์กัน? นั่นมันฝันไกลเกินไปหรือไม่…’ คิดไปก็ปวดหัว หลี่ชวนจึงเลิกใส่ใจ ก่อนเดินตามหลี่เซิงเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ของตน...ขณะเดียวกัน เหตุการณ์หน้าประตูโรงทำน้ำพริก ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของอู๋เจิง นางกำลังถืออาหารมาให้สามีเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางจึงแอบหยุดฟังอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เซิง อู๋เจิงถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ’ หยางฉิงช่างมองคนได้เฉียบแหลมจริง ๆ’ นางคิดในใจดีที่วันนี้แม่สามีไม่ได้มาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เรื่องคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่...หลังจากรอจนหลี่หยินเดินลับสายตาไป อู๋เจิงจึงออกมาจากที่ซ่อน และนำอาหารไปให้สามีเช่นทุกวันระหว่างรับประทานอาหาร หลี่ชวนเล่าเรื่องของหลี่เซิงให้นางฟังอู๋เจิงยิ้มออกมา บางทีเรื่องนี้นางควรบอกให้หยางฉิงรู้ แต่ที่แน่ ๆ นางชอบคำพูดของหลี่เซิงเสียจริง‘กาดำอยากเป็นหงส์’ไม่มีทางที่กาดำจะกลายเป็นหงส์ได้ ยิ่งหากกาดำตนนั้นมีจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีวัน...หลี่ชวนมองรอยยิ้มของภรรยา แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกบางอย่างขึ้นมา ตั้งแต่นางไปทำงานกับหยางฉิงบ่อยครั้ง เขารู
“ข้าขอบคุณท่านมากที่นำเรื่องนี้มาบอกกับข้า แต่ข้ามั่นใจว่าหลี่เซิงไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับข้าแน่นอน ท่านสบายใจได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่ออู๋เจิงได้ฟังเช่นนั้น นางก็พิจารณาใบหน้าของหยางฉิง ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า แต่ก็ยังดูงดงามสะกดตา ยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับหลี่หยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลจริง ๆ“เจ้าพูดถูก” อู๋เจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้า”นางกล่าวลาหยางฉิงก่อนเดินกลับบ้านไปด้วยความสบายใจอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยความกังวล หลี่เซิงกลับไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการดูแลเด็กน้อยทั้งสอง จนแทบไม่ได้หลับได้นอนเขาให้แม่นมคอยสอนวิธีเลี้ยงเด็กเล็ก แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากและเหนื่อยมากกว่าที่คิด การมีลูกไม่ใช่เรื่องสบายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนรู้มันไปด้วยความเต็มใจโดยเฉพาะเมื่อเด็กน้อยทั้งสองแย้มยิ้มให้เขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปในพริบตา...หลี่เซิงอุ้มลูกน้อยเข
หลี่เซิงรับของจากผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจ “ท่านมาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากนำของพวกนี้มาเลย”หลี่จงยิ้มพลางตอบกลับ “ข้ามาเยี่ยมหลานทั้งที จะให้มามือเปล่าได้อย่างไร”หลี่อี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ของข้าก็มีเหมือนกัน”หลี่เซิงหันไปมองหลี่อี้ ชายหนุ่มที่บัดนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รับสินค้าจากบ้านหลี่เซิงไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่นกันหลี่เซิงรับของมาจากหลี่อี้ก่อนเอ่ยล้อเลียน “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้เจ้ามีลูกเมื่อไหร่ ข้าจะไปแสดงความยินดีแน่”หลี่อี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน “ได้ข่าวว่าร้านของเจ้าจำหน่ายยาช่วยให้มีบุตร เอาไว้ถ้าปีนี้ข้ายังไม่มีลูก ข้าคงต้องไปซื้อยาให้ภรรยาเสียแล้ว” เขาพูดพลางเหลือบมองสีหน้ามารดาตัวเอง ซึ่งดูจะไม่พอใจที่ภรรยาของเขายังไม่มีลูกหลี่เซิงมองสีหน้าของหลี่อี้อย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้าง “หากไม่มีจริง ๆ ข้าจะมอบยาให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน ดีหรือไม่?” เขาพูดพลางยักคิ้วให้หลี่อี้หานหยุนที่นั่งฟังอยู่ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที ใคร ๆ ก็รู้ว่ายาของร้าน เทียนเจินถัง มีชื่อเสียงโด