Share

บทที่ 4 สอบเลื่อนชั้นปี

last update Last Updated: 2025-02-14 03:22:18

กะหล่ำปลีถูกแบ่งมาหั่นฝอยครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเฉินเฟิ่นอี้จะเก็บไว้ทำอาหารมื้อเย็น และแครอทเฉินเฟิ่นอี้ทำการหั่นเต๋า เธอตื่นขึ้นมาทำแป้งเตรียมไว้สองชั่วโมงก่อนและดูแลน้องชายให้ย่าเฉินได้พัก พอถึงเวลาใกล้เลิกเรียนของน้องชายน้องสาว เฉินเฟิ่นอี้จึงปลีกตัวมาทำเกี๊ยวผักน้ำ เป็นของว่างระหว่างทำการบ้าน

น้ำมันสองช้อนถูกเทลงในกระทะที่ตั้งเตรียมไว้ โยนกระเทียมสับหยาบตามลงไป เฉินเฟิ่นอี้ผัดกระเทียมให้เหลืองและส่งกลิ่นหอม ตักส่วนหนึ่งเก็บไว้ และนำผักที่เตรียมไว้มาผัดจนผักนิ่ม ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสที่มีในบ้านเล็กน้อยเพื่อความอร่อย จึงนำไส้ขึ้นมาพักให้เย็น

ระหว่างรอไส้เย็น เฉินเฟิ่นอี้ก็เดินไปตัดผักในสวนหลังบ้านมาทั้งคะน้า ผักกวางตุ้ง และผักชี คะน้าจะทำอาหารมื้อเย็นส่วนผักกวางตุ้งและผักชีจะใส่ในเกี๊ยวผักน้ำ

นำผักกวางตุ้งไปล้างน้ำจนสะอาด หั่นเป็นท่อนเล็กๆ ก่อนจะนำไปลวกในน้ำร้อนที่เตรียมเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาลวกครู่เดียวก็เอาขึ้นมาใส่ชามที่มีน้ำให้คลายร้อน ส่วนผักชีจะหั่นเอาไว้โรยหน้า

พอไส้ผักเย็นได้ที่เฉินเฟิ่นอี้ก็ทำการห่อเกี๊ยวด้วยแป้งที่พักเอาไว้ นอกจากจะเป็นของว่างให้น้องแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ก็ทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านด้วย มันเป็นเกี๊ยวผักและถึงใช้แป้งขาวแต่ก็ไม่ได้สิ้นเปลืองมากนัก

เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาห่อเกี๊ยวเกือบชั่วโมงก็ได้เกี๊ยวมาร้อยกว่าตัว เนื่องจากเป็นเกี๊ยวผักและแป้งที่ทำไว้หนึ่งชั่งก็เยอะมาก อีกอย่างไส้ผักที่ทำไว้ก็พอดีกับแป้ง

ตั้งน้ำร้อนด้วยไฟกลางก่อนนำเกี๊ยวผักลงไปลวกในน้ำเดือด รอจนกว่าเกี๊ยวผักจะสุก เฉินเฟิ่นอี้ก็นำมาคลุกกับกระเทียมเจียวที่เก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง ทำซ้ำๆ จนกว่าจะลวกหมด

พอจัดการทุกอย่างเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ตั้งหม้ออีกครั้ง รอบนี้เธอไปขุดหัวไชเท้าและแครอทมาต้มใส่หม้อเพื่อทำน้ำซุปเกี๊ยวผักน้ำ น่าเสียดายที่ไม่มีโครงไก่หรือกระดูกหมู ปิดฝาหม้อรอน้ำซุปได้ที่ก็เป็นอันใช้ได้

“พี่กำลังทำอะไรเหรอคะ” เฉินเหม่ยเย่ที่วางกระเป๋าไว้ในห้องแล้วเดินเข้ามาในครัวเอ่ยถามพี่สาว ที่กำลังตักอะไรบางอย่างออกจากหม้อ พร้อมกลิ่นหอมๆ

“กลับมาแล้วเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้เงยหน้ามองน้องสาวพลางก้มหน้าลงไปตักฟองออก เธอเห็นปลาแห้งจึงนำมาใส่ด้วยสองตัว ทั้งยังปรุงรสน้ำซุปผักจึงส่งกลิ่นหอม

“ค่ะ”

เฉินเหม่ยเย่เดินมาหยุดข้างหลังที่สาว พร้อมชะโงกหน้ามองดูหม้อที่กำลังส่งกลิ่นหอม หล่อนมองอย่างตื่นเต้นเพราะนานๆ ทีจะมีอาหารที่ส่งกลิ่นหอมแบบนี้ให้รับประทาน

“พี่ทำอาหารเหรอคะ”

“ไม่ใช่ เธอว่างหรือเปล่า ถ้าว่างล้างและหั่นคะน้าให้พี่ที” เฉินเฟิ่นอี้ชี้ไปยังคะน้าที่ถูกวางไว้ในตะกร้า เธอยังไม่มีเวลาไปทำเลย เกรงว่าทุกคนจะรอนาน

“ได้ค่ะ วันนี้ฉันไม่มีการบ้าน”

ยังดีที่สวนผักหลังบ้านจะมีผักปลูกไว้ตลอด หมดแปลงนี้ก็ปลูกใหม่แล้วไปตัดแปลงนั้นวนๆ กันไป เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กลัวว่าจะใช้ผักหมด อีกอย่างก็สามารถไปเก็บผักในสวนของหมู่บ้านได้ แต่ส่วนมากคนจะไปเก็บเพื่อแลกแต้มค่าแรงกัน

หม้อน้ำซุปผักถูกยกลงวางที่พื้น เฉินเฟิ่นอี้จึงนำชามที่มีในบ้านมาใส่น้ำซุปผัก เธอจะหุงข้าวและที่บ้านก็มีเพียงหนึ่งหม้อ สองกระทะ ซึ่งกระทะมันไม่สามารถหุงข้าวได้

จัดการหุงข้าวเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ไปเด็ดมะเขือในสวนมาแช่น้ำไว้พร้อมพริกหนึ่งกำ รอหุงข้าวเสร็จเธอจะซุปมะเขือรับประทานพร้อมคะน้าผัดน้ำมันและกระหล่ำลวก ซึ่งแน่นอนว่าของพวกนี้เธอเคยทำจึงไม่กลัวว่าจะไม่อร่อย

“พี่ช่วย”

เฉินเฟิ่นอี้นั่งลงตรงข้ามน้องสาว หยิบคะน้าขึ้นมาหั่น เธอเก็บมาเยอะพอสมควร อย่าลืมว่าไข่ไก่ที่มีเธอได้ทำไข่เจียวน้ำไปแล้วมื้อกลางวัน ช่วงเย็นเธอจึงต้องหาอาหารที่มีประโยชน์มาเสริมแทนเพียงแต่มันมีแค่ผัก!

“พี่เฟิ่นอี้ พี่รู้ไหมว่าที่โรงเรียนในตำบลจะปิดระดับมัธยมและย้ายไปเรียนในอำเภอแทน! ใครที่ยังไม่จบมัธยมต้นสามารถเข้าไปสอบเลื่อนชั้นปีได้ด้วย อีกอย่างนะฉันไปถามคุณครูมาแล้ว เขาบอกว่าพี่สามารถไปสอบเลื่อนชั้นปีได้ค่ะ!” เฉินเหม่ยเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ปีการศึกษาหน้าหล่อนและน้องชายก็ขึ้นมัธยมต้น พี่ชายอีกสองคนก็ขึ้นมัธยมปลาย ต้องได้เข้าไปเรียนในอำเภอแน่ๆ ยิ่งอารมณ์ดีไปอีกหากพี่สาวได้ไปเรียนด้วย

เฉินเฟิ่นอี้ชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่น้องสาวกล่าว ในยุคแบบนี้นอกจากเส้นสายแล้วการศึกษาย่อมสำคัญ เฉินเฟิ่นอี้จบการศึกษาแค่ระดับประถมและไม่จบมัธยมต้นเพราะอาการป่วย แต่คนในบ้านพาเธอไปลาออกแล้วนะ หรือเพราะที่นี่ยังล้าหลัง การทำเอกสารต่างๆ จึงยังไม่เสร็จ

“จริงหรือจ๊ะลูกสาวสี่!”

สะใภ้สี่ที่เข้ามาในครัวได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนเล็กกล่าวหล่อนก็มีความหวังขึ้นมาทันที เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กสาวที่เรียนเก่งมาก ได้รับทุนการศึกษาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนเสียดายไม่น้อยที่ลูกสาวไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย

“จริงค่ะแม่ ถ้าไม่เชื่อให้พ่อไปถามคุณครูที่โรงเรียนดูค่ะ” มีหรือที่คนเป็นน้องสาวจะพูดเล่น หล่อนอยากให้พี่สาวไปเรียนด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้หล่อนมีเพียงน้องชายและพี่ชายซึ่งไม่สามารถไปเล่นด้วยได้เพราะกลัวจะถูกมองไม่ดี

“ได้ๆ แม่จะให้พ่อไปถามเดี๋ยวนี้เลย!”

เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้ามองผู้เป็นแม่ที่รีบเดินออกไปด้วยความเร่งรีบ เฉินเหม่ยเย่ก็ทำได้เพียงยิ้มแห้ง เธอหันมาสนใจคะน้าต่อเพราะทุกคนกลับมาแล้ว จะได้เอาเกี๊ยวน้ำผักออกไปให้รับประทานรองท้อง ส่วนอาหารมื้อเย็นค่อยกลับมาทำ

ถาดอาหารที่วางถ้วยเกี๊ยวผักน้ำถูกยกออกจากครัวด้วยฝีมือของเฉินเฟิ่นอี้และเฉินเหม่ยเย่ คะน้าถูกหั่นเตรียมเอาไว้แล้วพร้อมเครื่องปรุงอื่นๆ รอแค่ข้าวสุกก็ทำอาหารต่อได้ เกี๊ยวผักน้ำหนึ่งถ้วยมีทั้งเกี๊ยวผัก ผักกวางตุ้งที่ถูกหั่นและลวกเอาไว้ ที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำซุปผักที่เฉินเฟิ่นอี้ตั้งใจทำ ดีที่ทำไว้เยอะสามารถเก็บไว้รับประทานเป็นอาหารมื้อเย็นได้

“เกี๊ยวผักน้ำค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้วางถาดเกี๊ยวผักน้ำลงบนโต๊ะ ทุกคนนั่งล้อมวงกันอยู่ กำลังสนทนากันถึงเรื่องผลผลิตปีนี้ที่ดูเหมือนจะได้ผลผลิตมากกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา

เฉินเฟิ่นอี้แบ่งเกี๊ยวให้แต่ละคนไม่เท่ากันเพราะนี่เป็นเพียงของว่าง หากรับประทานมากเกินไปก็จะอิ่มและไม่อยากรับประทานอาหารเย็น แต่ถ้าน้อยเกินไปก็จะหาว่าลำเอียงเอาได้ ซึ่งผู้ชายในบ้านเฉินต่างได้คนละสิบตัว ส่วนผู้หญิงได้รับคนละห้าตัว ยกเว้นเฉินชิงชิงที่เฉินเฟิ่นอี้ทำแยกไว้ต่างหาก

เพราะใช้น้ำมันในการผัดไส้ผัก ไหนจะการปรุงน้ำซุปอีก เด็กเล็กๆ ไม่ควรจะรับประทานอาหารที่ปรุงรสมากเกินไป เฉินเฟิ่นอี้จึงทำการลวกไส้ผักและแยกน้ำซุปผักที่ไม่ผ่านการปรุงแทน

“เดี๋ยวฉันป้อนเขาเองค่ะ คุณย่าจะได้ถนัด” เฉินเฟิ่นอี้บอกย่าเฉินที่กำลังจะป้อนหลานชาย เธอยังไม่หิวจึงเก็บไว้รับประทานพร้อมอาหารมื้อเย็นเลย

“หื้อ หอมมาก!”

“นี่คือไส้ผักจริงๆ หรือ!”

“ดูลูกสาวเธอสิสะใภ้สี่ ทำอาหารอร่อยจริงๆ”

เฉินเฟิ่นอี้ก้มหน้ายิ้มอย่างเขินอาย ทั้งชีวิตไม่เคยทำอาหารให้ใครรับประทานเลย พอมาที่นี่จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะมันจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นเกินไป อีกอย่างเธอก็เพิ่งสิบห้าปี อีกตั้งสามปีถึงจะแต่งออกไปได้

“อ้อ จริงสิ! ผมได้ยินเจ้ารองบอกว่าที่โรงเรียนจะเปลี่ยนระบบการศึกษาให้เหลือแค่ระดับประถม ใครที่เรียนยังไม่จบให้ไปสอบเลื่อนชั้นปีแทน” ลุงรองกล่าวด้วยความสนใจ เพราะหมายความว่าเทอมหน้าพวกเด็กๆ ต้องเข้าไปเรียนในอำเภอทั้งหมด ซึ่งการเดินเท้าไปใช้เวลากว่าจะถึงก็สองชั่วโมง คนที่เรียนก็ต้องออกไปตั้งแต่เช้ามืด และกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็คงมืดเช่นเดียวกัน

“ใช่ครับ พี่สาวสามก็สามารถไปสอบได้” เฉินไห่หลิวพยักหน้า เรื่องนี้เป็นข่าวดีของบ้านเฉินก็ว่าได้

“จริงหรือ! แต่เจ้าสามพาหลานสาวไปลาออกแล้วไม่ใช่หรือ ผู้อำนวยการก็เซ็นตกลงแล้ว” ตอนแรกย่าเฉินดีใจเป็นอย่างมากที่หลานสาวของนางสามารถสอบเลื่อนชั้นปีได้ แต่เมื่อคิดดูแล้วลูกชายคนที่สามของนางพาหลานสาวไปลาออกแล้วนี่ ไหนจะผู้อำนวยการเซ็นตกลงไปแล้วด้วยเมื่อสามเดือนก่อน

“คุณครูผมบอกว่าเอกสารต่างๆ ยังทำไม่เสร็จครับ” เฉินตงเป็นคนตอบ

“ดีๆ ! แล้วจะมีการสอบเมื่อไหร่ หากหลานสาวสามสอบผ่านจะได้เรียนต่อ” ปู่เฉินที่คีบเกี๊ยวเข้าปากแล้วเอ่ยถาม การที่หลานๆ มีการศึกษาย่อมเป็นผลดีแก่บ้านเฉิน แม้แต่หลานสาวที่แต่งออกไปทั้งสองก็ยังจบมัธยมปลาย ส่วนหลานชายคนโตก็จบมัธยมปลาย

“ยังไม่ทราบครับ ต้องรอให้ทางโรงเรียนประกาศอีกที”

เฉินเฟิ่นอี้ที่ป้อนเกี๊ยวน้องชายกำลังคิดเรื่องการเรียน ถ้าจำไม่ผิดอีกไม่ถึงเจ็ดปีข้างหน้าจะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอไม่กลัวว่าจะสอบไม่ผ่าน เพราะในตอนที่เป็นแป้งร่ำเธอเรียนต่อถึงปริญญาเอก ไหนจะการที่ตามท่านประธานไปศึกษางานที่ต่างประเทศอีก ยังดีที่เป็นคนชอบทบทวน เวลาว่างจึงมักจะค้นหาข้อมูลต่างๆ อยู่เสมอ

ใช่ เฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการสอบเลื่อนชั้นปีในครั้งนี้ เธอหวังว่าจะสามารถสอบผ่านและเรียนในระดับมัธยมปลายได้ ในระหว่างนี้เธอจะหาเงินเพื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงน้องๆ ของเธอที่ต้องได้เรียนด้วย

ในตอนนี้บ้านเฉินยังสามารถส่งลูกหลานเข้าไปเรียนในอำเภอได้ แต่ในระดับมหาวิทยาลัยอาจส่งได้แค่ไม่กี่คน เพราะใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเฉินเฟิ่นอี้เห็นน้องๆ ตั้งใจเรียนขนาดนี้แล้ว เธอต้องทำอะไรสักอย่าง

“เฟิ่นอี้ของเรายังโชคดีอยู่บ้าง หึ ฉันอยากรู้จริงๆ ถ้าบ้านอี้รู้จะเป็นยังไง” สะใภ้ใหญ่ยิ้มเยาะอย่างอารมณ์ดี ว่าหลานของนางไม่มีวาสนาหรือ รอดูก่อนเถอะ! เฉินเฟิ่นอี้เรียนเก่งกว่าอี้เหม่ยเฟิ่งมากโข หากหลานสาวของนางสอบไม่ผ่าน เด็กนั่นก็คงสอบไม่ผ่านด้วย

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่าเฟิ่นอี้ไม่มีวาสนาหรือ ฉันอยากรู้จริงๆ เจ้าเด็กหมิงนั่นจะทิ้งลูกของหล่อนไปตอนไหน” สะใภ้รองหัวเราะ หมิงหลานฮุ่ยเด็กคนนั้นกล้าทิ้งเฉินเฟิ่นอี้ที่เก่งกว่าอี้เหม่ยเฟิ่งในหลายๆ ด้านไป ในอนาคตเด็กหมิงนั่นก็สามารถทิ้งหลานสาวบ้านอี้ได้เช่นเดียวกัน

“เอาเถอะๆ อย่าไปพูดถึงพวกเขาเลย เฉินไห่หลิวกินข้าวเสร็จแล้วเข้าไปหาย่าด้วยนะ ต้องส่งจดหมายไปบอกเจ้าสามสักหน่อย” ย่าเฉินส่ายหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสุขก็ตาม

“ครับ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70   บทส่งท้าย

    วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ

  • ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70   บทที่ 156 เติบโต

    ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ

  • ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70   บทที่ 155 ยุติการขาย

    งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู

  • ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70   บทที่ 154 บ้านหลังแรก

    วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ

  • ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70   บทที่ 153 เวลาไม่รอคอย

    หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน

  • ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70   บทที่ 152 งานเลี้ยงต้อนรับ

    หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status