แม้จะรู้สึกวาดกลัวคนบ้านรองที่มีท่าทีเปลี่ยนไป แต่คน
ขี้เกียจอย่างเฉินควนและฟางอี้เหนียงมีหรือจะยอมทำงานเอง“แต่หน้าที่ทำงานบ้านทั้งหมดเป็นของบ้านรอง หรือว่าจะขัดคำสั่งเสียของพ่อสามี” ฟางอี้เหนียงบอกคำสั่งเสียของพ่อสามีออกมา เพราะทุกครั้งที่พูดแบบนี้บ้านรองมักจะสงบปากสงบคำและกลับมาทำงานให้เหมือนเดิม
“แต่พ่อสามีไม่ได้สั่งเสียให้พวกเรารับใช้บ้านใหญ่ไปจนตายนี่ เรื่องงานบ้านพี่สะใภ้ก็ทำได้ ฉันเองทำงานในทุ่งมาก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องมาทำงานบ้านและจัดการเรื่องในบ้านอีกเหรอ” กุ้ยเจินไม่ค่อยมีปากเสียงเท่าไรพูดออกมาบ้าง
นี่จึงทำให้สองสามีภรรยาจากบ้านใหญ่เบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วหันมามองหน้ากัน
‘สะใภ้รองเป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้พูดแบบนี้ จากเมื่อก่อนไม่กล้าแม่จะสบตาฉัน’ สะใภ้ใหญ่บ้านเฉินคิดในใจ และตกใจไม่น้อยที่น้องสะใภ้ตอบกลับมาแบบนี้
เฉินเม่ยเม่ยไม่อยากทำงานจึงได้แอบฟัง แต่เห็นท่าทีของพ่อกับแม่แล้วเลยต้องรีบออกมาจากตรงนั้นแล้ววิ่งไปตามย่าเฉินกลับมาจัดการบ้านรอง
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่สองพี่น้องจากบ้านรองมาถึงพอดี
“ทำไมพ่อกับแม่ยังไม่กลับไปที่ห้องอีกคะ” เฉินโม่หรานถาม สายตาของเธอมองไปยังลุงและป้าสะใภ้ใหญ่อย่างไม่ยินยอม
“หล่อนจะมามองฉันแบบนั้นไม่ได้น่ะ แม่ของหล่อนต้องทำงานบ้านก่อน ตอนนี้ยังไม่ทำอาหารเลย นี่ก็จะถึงมื้อเย็นแล้ว” เมื่อเห็นสายตาของหลานสาว ฟางอี้เหนียงจึงสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่กลัวอีกฝ่าย
“แล้วยังไง บ้านรองต้องเป็นที่รองมือรองเท้าของบ้านใหญ่อย่างนั้นเหรอ หรือว่าคนบ้านใหญ่ไม่มีมือมีเท้า ทำงานเองไม่ได้”
เฉินโม่หรานสวนกลับอย่างไม่ยินยอม เธอพร้อมสู้ตาย ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่แยกบ้านก็ตาม คนบ้านรองไม่จำเป็นต้องยอมคนบ้านใหญ่เสมอไปหรอกนะ
ตอนนี้ชาวบ้านที่ผ่านไปมาเริ่มมุงดู เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็เถียงกันหน้าบ้าน
“ดูนั่นสิ ทำไมคนบ้านรองถึงลุกขึ้นสู้ล่ะ ก่อนหน้านี้ยอมทำทุกอย่างที่บ้านใหญ่สั่ง” ชาวบ้านที่ยืนมองเริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้
“คนเราย่อมมีขีดความอดทนจำกัด เมื่อวานไม่ใช่ว่าแม่เฒ่าเฉินตีหลานสาวจากบ้านรองปางตายเหรอ วันนี้ฉันเห็นหลงเปียวพาน้องสาวเข้าเมืองไปหาหมอ”
“แล้วบ้านรองเอาเงินจากที่ไหนไปล่ะ ไม่ใช่ว่าบ้านใหญ่เก็บเงินทั้งหมดไว้เป็นกองกลางเหรอ”
ในหมู่บ้านมีใครไม่รู้บ้างว่าบ้านใหญ่เก็บเงินเข้ากองกลางทั้งหมด ไม่เหลือให้บ้านรองเลยแม้แต่เหมาเดียว
“คงไปยืมเงินสหายกันหรือเปล่า อย่าลืมว่าหลงเปียวอายุไม่ใช่น้อยแล้วคงมีคนรู้จักบ้างแหละ”
เสียงของชาวบ้านยังคุยพูดกันกันถึงเรื่องนี้ และทุกคนยังคงรอดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกันต่อ
กลับมาด้านเฉินโม่หรานเมื่อได้ยินป้าสะใภ้พูดแบบนั้นเริ่มไม่พอใจขึ้นมา “พูดจาแบบนี้ป้าสะใภ้ไม่อยากกินข้าวแล้วใช่ไหม”
“ฉันเป็นป้าสะใภ้หล่อนนะ จะพูดจาแบบไม่มีสัมมาคาราวะได้ยังไงกัน พ่อแม่หล่อนไม่สั่งสอนเหรอ” พอเห็นหลานสาวเหิมเกริม ฟางอี้เหนียงจึงชี้หน้าด่าอย่างไม่เกรงกลัว
“พ่อแม่ฉันสอนมาดี และฉันก็จำได้ดีว่าควรทำอย่างไร
ฉันจะเคารพคนที่น่าเคารพเท่านั้น”“มันจะมากไปแล้วนะนังโม่หราน นั่นป้าสะใภ้แกนะ”
ย่าเฉินเดินเข้ามา พร้อมกับด่าหลานสาวของบ้านรอง“แม่ก็หยุดเข้าข้างพี่สะใภ้เถอะพวกผมกลับมาจากทุ่งก็เหนื่อยพอแล้ว นี่ยังต้องมาทำงานบ้านอีกเหรอ” เฉินคังออกหน้าพูดกับแม่ตัวเอง เพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวถูกตำหนิ
“บ้านพวกแกทำมาตั้งนานแล้วนี่ จะมาเรียกร้องอะไรวันนี้ ไป ๆ ไปทำอาหารได้แล้ว” ย่าเฉินเห็นว่าชาวบ้านกำลังสนใจเรื่องในครอบครัวตนเองจึงรีบปัดมือให้ทุกคนเข้าบ้านและทำหน้าที่ตัวเอง
เฉินโม่หรานเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วตอบ
ตกลงอย่างว่าง่าย “ค่ะย่า ฉันจะทำตามที่ย่าบอก”เพราะคำตอบของเธอ ทำให้ทุกคนในบ้านรองมองมาอย่างสงสัย
“แม่ค่ะ พวกเราไปทำอาหารมื้อเย็นกันเถอะคะ”
เฉินโม่หรานพูดจบก็จูงมือแม่เข้าไปหลังบ้านเพื่อทำอาหารให้บ้านใหญ่ทันที โดยมีพ่อและพี่ชายตามมา
เมื่อเข้ามาในครัว สิ่งแรกที่หญิงสาวหยิบมาคือหม้อ และใส่ข้าวสารลงไปเพื่อทำข้าวต้ม ส่วนกับข้าวเธอเอามาเพียงผักข้างบ้านมาต้มให้กิน พร้อมกับแตงกวาดองที่มี
“นี่คืออาหารเหรอ” ย่าเฉินถามอย่างไม่พอใจหลังจากที่เห็นกับข้าวมื้อเย็น
“แล้วย่าเห็นเป็นไก่ย่างเหรอ บ้านก็มีวัตถุดิบให้ทำแค่นี้ อย่าบ่นมาก กิน ๆ ไปเถอะค่ะ” พูดจบเฉินโม่หรานก็เดินกลับออกเพื่อไปที่ห้องของตัวเอง
เธอเอาอาหารจานอร่อยออกมาจากมิติให้ทุกคนในครอบครัวกิน โดยไม่แตะต้องอาหารที่ทำให้บ้านใหญ่เลยแม้แต่น้อย
และเฉินโม่หรานก็ทำอาหารแบบนี้ไปจบครบหนึ่งสัปดาห์
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา บ้านรองเฉินเก็บเงินได้หลายพันหยวนแล้ว นี่จึงสร้างความดีใจให้กับทุกคนมาก โดยเฉพาะเฉินโม่หราน เธอมองว่าถึงเวลาที่ต้องจัดการเรื่องแยกบ้านแล้ว และถ้ารอให้นายพรานเฉิงคนนั้นมาสู่ขอก็คงไม่ทันเวลาเอาน่ะสิ
จึงตัดสินใจไปยื่นข้อเสนอของเธอกับเขา“มีเรื่องอะไรเหรอ” จ้าวหนิงเฉิงถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าบ้าน
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณสักหน่อย พอจะคุยกับฉันได้ไหม”
“เข้ามาสิ ถ้าไม่กลัว” เขาคล้ายจะท้าทายเธอ จะดูว่าหญิงสาวตรงหน้ากลัวเขาหรือเปล่า
เฉินโม่หรานกลับยิ้มให้และเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลย แต่เมื่อเข้ามาแล้ว เธอกลับเรียกร้องขอเข้าไปคุยในบ้าน
“ฉันขอเข้าไปในบ้านได้ไหม เรื่องนี้สำคัญมากฉันไม่อยากให้คนนอกได้ยิน”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรตอบ แต่เดินนำเข้ามาในบ้าน ก่อนจะไปเอาน้ำดื่มมาให้เธอ
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ ส่วนน้ำนี่สะอาดไม่มีสิ่งใดเจือปน”
“ขอบคุณค่ะพรานเฉิง” หญิงสาวตอบรับ ก่อนตัดสินใจพูดเรื่องบางอย่างออกมา “ฉันจำได้ว่าพรานเฉิงกับปู่เคยมีสัญญาให้กัน ถ้าฉันจะขอเปลี่ยนตัวเจ้าสาวได้ไหม”
“หมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มคิ้วขมวดเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“ก็หมายความว่า ถ้าพรานเฉิงไม่รังเกียจ ฉันอยากเป็นเจ้าสาวเสียเอง พรานเฉิงจะว่าอย่างไร”
หญิงสาวสบตาเขาไม่หลบ เมื่อไม่ได้รับคำตอบกลับมา จึงตัดสินใจพูดต่อ “ฉันเชื่อว่าพี่เม่ยเม่ยไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับพรานเฉิงแน่นอน ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปทวงสัญญาดูสิ”
“อะไรทำให้เธอมั่นใจอย่างนั้น” เขาถามกลับมา ทว่าในใจกลับรู้สึกบางอย่าง
“พี่สาวเม่ยเม่ยไม่ชอบชีวิตแบบนี้หรอก เธอชอบใช้ชีวิตที่หรูหรา อย่างไรฉันก็เชื่อว่าพี่สาวเม่ยเม่ยไม่ยอมแต่งงานแน่นอน และบ้านใหญ่ก็ต้องให้ฉันแต่งงานแทน ฉันเลยมายื่นข้อเสนออย่างไรล่ะ”
“แล้วยังไงต่อ” ชายหนุ่มถามต่อด้วยน้ำเสียบปกติ ไม่มีท่าทีตื่นเต้นหรือตกใจเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะยอมแต่งเอง แต่ฉันต้องได้แยกบ้านกับบ้านใหญ่ สรุปง่าย ๆ เลย คือพวกเราจะออกมากันทั้งบ้าน” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องมาบอกผมก็ได้ เมื่อถึงวันที่ผมไปทวงสัญญาแต่งงาน คุณสามารถเรียกร้องกับบ้านใหญ่ได้เลย”
นี่คือสิ่งที่จ้าวหนิงเฉิงไม่เข้าใจ เรื่องนี้อย่างไรเฉินโม่หรานสามารถเจรจากับบ้านใหญ่ได้อยู่แล้ว หากเฉินเม่ยเม่ยไม่ยินยอมที่จะแต่งงานตามสัญญา
“แล้วเมื่อไรล่ะคะที่พรานเฉิงจะไปทวงสัญญาเรื่องแต่งงาน” หากนับดูตามวันเวลาแล้วล่ะก็อีกหลายเดือน แบบนั้นเธอและบ้านใหญ่คงตีกันทุกวันแน่นอน
จ้าวหนิงเฉิงคิดตาม ‘นั่นสินะ แล้วเมื่อไรล่ะ’
ด้วยตัวเขาเองยังไม่คิดที่จะแต่งงาน และเจ้าสาวต้องไม่ใช่เฉินเม่ยเม่ย
‘คุณเดินมาหาผมเองนะหรานหราน’ ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์ ภายในบ้านของจ้าวหนิงเฉิง เมื่อทุกคนเข้ามาแล้ว เฉินคังและกุ้ยเจินสลับกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าเฉินหลงเปียวจะโทรหาบ่อยครั้งแต่ก็จะคุยเรื่องงานและถามความเป็นอยู่มากกว่าเมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบ้านใหญ่ ก็ไม่คิดว่าเฉินอี้โจวจะหลงผิดถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองเป็นหัวขโมย“เพราะเรื่องนี้ด้วยไหมคะพ่อถึงยอมไปปักกิ่งกับฉัน”“ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละลูก พ่อไม่อยากให้ทุกคนแยกจากกัน อีกทั้งพ่อไม่ได้มีห่วงที่นี่อีกแล้ว” เขาตอบตามความเป็นจริง “ตอนนี้ตัวตนของพี่เฉิงคงกระจายทั่วแล้ว เดี๋ยวบ้านใหญ่คงรู้เรื่อง พ่อไม่กลัวว่าย่าจะมาหาเรื่องหรือขอค่าเลี้ยงดูเหรอ”เฉินโม่หรานไม่เชื่อว่าย่าของเธอจะยอมง่าย ๆ ในเรื่องนี้ และยังมีเฉินเม่ยเม่ยอีก ฝ่ายนั้นคงแค้นแทบกระอักเลือดเมื่อพรานป่าที่ปฏิเสธกลายเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก“ต่อให้ย่าของลูกมาจริงอย่างที่ลูกบอก พ่อก็ไม่ให้หรอกนะ เพราะตลอดชีวิตพ่อที่ผ่านมา พ่อทำดีที่สุดแล้ว และให้ไปมากพอแล้ว ต่อจากนี้ครอบครัวของพี่ใหญ่ต้องจัดการดูแลแม่เอง”เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่เฉินคังมีความเ
บทที่ 35 เริ่มต้นใหม่ในตระกูลจ้าวยังไม่ทันที่จ้าวต้าเค่อได้ตอบคำถามของพ่อตนเอง กลับมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเคียดแค้น“เรื่องในอดีตเราสองคนสามีภรรยาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย วันนี้ที่มาเปิดเผยตัวเพราะต้องการนำตราประจำตระกูลส่งมอบให้คนที่เหมาะสม แต่ไม่คิดว่าจุดจบของสามีฉันคือความตาย เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการเลย”เฉินโม่หรานสบตากับจ้าวหมิงยังไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ถึงแม้ว่าตอนนี้สามีฉันจะไม่อยู่แล้ว แต่ฉันคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา คุณก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปเพราะฉันไม่มีทางยอม!!”เสียงประกาศของหญิงสาวดังขึ้นมาอย่างชัดเจนและ เธอไม่มีท่าทีผู้หญิงอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แม้ใบหน้าสวยหวานจะมีน้ำตาไหลอาบแก้มก็ตามนายท่านสวี่ได้ยินก็รีบพูดสนับสนุนทันที “ฉันจะสนับสนุนเธอเอง อย่างไรเธอก็คือภรรยาของจ้าวหนิงเฉิงอย่างถูกกฎหมาย นับว่าเธอคือทายาทของเขา”“ได้อย่างไร ในเมื่อฉันคือจ้าวหมิง คนที่ดูแลตระกูลจ้าวมานับสิบปี จะให้คนนอกมากุมอำนาจได้อย่างไร ฉันยังอยู่ทั้งคนไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของฉันไปหรอกนะ อย่างไรตระกูลจ้าวก็ต้องเป็นของฉันเท
บทที่ 34 ทายาทตัวจริงปรากฎคฤหาสน์ตระกูลจ้าวเวลานี้เต็มไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลที่มาร่วมงานกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในเมืองหลวงหรือต่างเมืองต่างก็มาแสดงความยินดีให้กับจ้าวหมิงทุกคนต่างก็เห็นกันว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาได้พาตระกูลจ้าวให้มาอยู่ในจุดนี้โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วกิจการที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมานั้นเป็นเพราะลูกชายของเขาต่างหากล่ะ ผู้คนที่มากันอย่างมากมายมีทั้งดีใจด้วยและภาวนาให้คุณชายใหญ่ปรากฏตัวในวันนี้ เพราะนั่นคือทายาทที่แท้จริงของตระกูลจ้าวจะว่าไปแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าจ้าวหมิงต้องการแย่งตำแหน่งของพี่ชาย จึงได้ส่งคนมาจัดการ แต่ก็นั่นแหละเพราะไม่มีหลักฐานเลยทำอะไรกันไม่ได้ จึงได้แต่ภาวนาให้ทายาทตัวจริงปรากฏ“ดีใจด้วยนะนายท่านรอง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่านายท่านจ้าว ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว” ชายสูงวัยคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา พร้อมกับชูแก้วให้อีกฝ่ายคล้ายกับแสดงความดีใจด้วย“ความจริงแล้วผมก็อยากจะรอหลานชายเพียงคนเดียวนั่นแหละ แต่ไม่ว่าจะส่งคนหาไปเท่าไหร่ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ผมเองก็จนปัญญา แต่ตระกูลต้องมีผู้นำ”เขาพูดตอบกลับมาด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้
บทที่ 33 จับโจรได้แล้วหลายวันต่อมา...ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เฉินหลงเปียวคาดการณ์ไว้ นั่นเพราะเฉินอี้โจวกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าชุยรับรู้ก็เริ่มจับตามองหลานชายบ้านเฉินทันที โดยที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงคนสนิทและไว้ใจได้เท่านั้นที่ทั้งสองบอกและให้รับหน้าที่จับตาดูส่วนเฉินเม่ยเม่ยเองก็เริ่มสงสัยว่าทำไมดี๋ยวนี้พี่ชายของเธอถึงได้กลับบ้านบ่อยนัก เลยถามออกมา “นี่กลับมาอีกทำไม ไม่ใช่ถูกโรงงานไล่ออกแล้วเหรอ แล้วมีเงินกลับมาบ้างไหมตอนนี้บ้านของเราไม่เหลือเงินแล้วนะ”พอได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้นก็แสร้งทำสีหน้าตกใจ แล้วรีบถามออกมา “เกิดเรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าบ้านเราโดนหัวขโมยขึ้นบ้านเหมือนคนอื่นในหมู่บ้าน”“ก็ใช่นะสิ ย่านี่ด่าไม่หยุดเลยแถมยังสาปแช่งที่กล้ามาขโมยเงินของย่าไป แล้วที่ถามนี่มีเงินไหมขอเงินหน่อยสิ” หญิงสาวแบมือรอรับเงินจากพี่ชาย เธอตั้งใจจะเข้าเมืองสักหน่อย“ฉันไม่มีหรอก นี่กว่าเงินเดือนของโรงงานจะออกก็อีกตั้งหลายวัน ที่ฉันกลับมาบ้านเพราะที่ผ่านมาไม่เคยหยุดหรือลาเลยอย่างไรล่ะ ทำให้มีวันหยุดเยอะ เธอก็เลิกถามเถอะ ฉันเหนื่อยจะเข้าไปนอนส
บทที่ 32 ผู้ต้องสงสัยหลักสองย่าหลานได้ยินอย่างนั้นก็หันมาสบตากันทันที พยายามนึกว่าเธอลืมลงกลอนประตูและหน้าต่างหรือเปล่า“ไม่นะย่า อย่ามองฉันอย่างนั้น ฉันไม่มีทางลืมใส่กลอนประตูแน่นอน นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่กับพ่อจะออกไปไหนตอนกลางคืนแล้วลืมใส่กลอนประตูจนทำให้หัวขโมยมันเข้ามาในบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว” เฉินเม่ยเม่ยรีบปฎิเสธ“ส่วนฉันจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องนี้ ฉันไม่ยอมสูญเสียเงินไปแน่นอน จะต้องตามจับหัวขโมยชั่วนั่นมาให้ได้” หญิงชราประกาศกร้าว สีหน้าและท่าทางดูแค้นเคืองเจ้าหัวขโมยนั้นเหมือนอยากจะฆ่าให้อีกฝ่ายตายคามือ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหัวขโมยชั่วที่ย่าเฉินทั้งด่าทั้งแช่งนั้นคือหลานชายตัวเอง และเป็นหลานชายสุดที่รักอีกต่างหากเมื่อเห็นว่าย่าเฉินฟื้นแล้วและดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ชาวบ้านที่เข้ามาช่วยเลยเข้ามาดูก็ทยอยกันออกมา แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไป บ้านอื่นประตูบ้านและหน้าต่างถูกงัดแงะแต่บ้านเฉินกลับไม่มีร่องรอยอะไรเลย ดูเหมือนจะเป็นการกระทำของคนในบ้านเสียมากกว่า ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะกลัวปากของย่าเฉินเรื่องบ้านใหญ่เฉินตอนนี้กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วทุกคนรู้ว่าบ้านหลัง
บทที่ 31 บ้านใหญ่ถูกปล้นเหมือนกันเมื่อทางหมู่บ้านมีการเดินเวรยามเพื่อหาวิธีจับหัวขโมยที่ขโมยเงินของชาวบ้าน ก็ทำให้โจรตัวจริงอย่างเฉินอี้โจวเริ่มกระวนกระวายใจนั่นก็เพราะว่าเงินที่หามาได้ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องไปใช้หนี้ให้กับบ่อนการพนัน และยังไม่พอให้เขาต่อยอดได้แก้มือ แต่เมื่อเห็นน้องสาวขอเงินย่า ก็เริ่มมีความคิดที่จะขโมยเงินของบ้านตนเอง“ย่าตอนนี้ของกินของใช้อะไรหมดแล้วนะ ขอเงินไปซื้อหน่อยสิ” เฉินเม่ยเม่ยแบมือขอเงินคนเป็นย่า เพราะตอนนี้ของใช้ในบ้านนั้นหมดแล้ว“จะซื้ออะไรนักหนา ของกินก็หาเก็บในป่าสิ มันก็กินได้เหมือนกันนั่นแหละ ตอนนี้อี้โจวก็กลับมาอยู่บ้านไปช่วยหาสัตว์ป่าสักหน่อยก็ได้ บ้านเราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานแล้วนะ”หญิงชราไม่ค่อยอยากจะควักเงินออกจากกระเป๋า ตั้งแต่บ้านรองแยกบ้านออกไป ก็แทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว หากยังเป็นอย่างนี้ สักวันเงินก็คงจะหมด“ก็หลานชายสุดที่รักของย่าน่ะสิ วัน ๆ เอาแต่นอนไม่รู้ไปทำอะไรมานักหนา ถ้าเกิดย่าอยากกินเนื้อแล้วไม่จ่ายเงินก็ให้หลานชายไปหาเอาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้แป้งและข้าวสารหมดแล้ว ถ้าไม่ให้เงินไปซื้อ เย็นนี้จะกินอะไร” หญิ