ส่วนทางด้านบ้านใหญ่ ยังคงเชื่อว่าเฉินโม่หรานโดนผีเข้า สะใภ้ใหญ่อย่างฟางอี้เหนียงจึงอาสาที่จะหาซินแสมาจัดการให้เอง
“ฉันจะลองกลับบ้านเดิมนะแม่ ที่หมู่บ้านฉันมีซินแส
คนหนึ่งเก่งกาจเรื่องนี้ ทุกคนคิดว่ายังไง”“แบบนั้นก็ดี แต่ค่าใช้จ่ายเยอะไหมล่ะ ฉันไม่ยอมเสียเงินเยอะหรอกนะ” หญิงชราเอ่ยออกมา นางไม่ต้องการเสียเงินมากในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่อยากให้คนโดนผีเข้าอยู่ในบ้าน แต่ถ้าไล่หลานสาวจากบ้านรองไปแล้วใครจะทำงานให้ล่ะ
ย่าเฉินจึงมีท่าทีครุ่นคิดคล้ายกับคนคิดหนัก
“แต่ย่าค่ะ ถ้าไม่ยอมเสียเงินให้ซินแสมาจัดการและปัดเป่าผีร้ายออกจากบ้าน พวกเราอาจจะโดนผีเล่นงานเข้าสักวัน เสียเงินดีว่าเกิดเรื่องร้ายในบ้านนะย่า”
เฉินเม่ยเม่ยพยายามหาข้ออ้างเพื่อให้ย่าควักเงินออกมา อย่างน้อยเธอและแม่จะได้มีส่วนในเงินนั้นด้วย
แม้ว่าเรื่องผีสางและปีศาจจะเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะทางรัฐไม่ต้องการมัวเมาชาวบ้านให้ยึดติดกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีคนลักลอบเปิดสำนัก และหนึ่งในนั้นคือซินแสเถา เจ้าลัทธิที่ที่มักจะมัวเมาชาวบ้านว่า ตนนั้นสามารถปัดเป่าภัยร้ายได้
“นั่นสิแม่ แม่อย่ามาขี้เหนียวไปหน่อยเลย หากเราจัดการเรื่องภัยร้ายในบ้านได้มันเป็นการดีไม่ใช่เหรอ เรื่องนี้พวกเราก็ทำกันเงียบ ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วจะซวยไปด้วยเพราะทางรัฐไม่อนุญาตให้หลงงมงายในเรื่องพวกนี้”
ต่อให้เห็นด้วยแต่เรื่องนี้ต้องทำอย่างลับ ๆ ไม่อย่างนั้นเกิดภาครัฐรู้เรื่องขึ้นมาจะโดนจับไปด้วย
หญิงชราได้แต่นั่งคิด เพราะนางไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีในบ้าน เมื่อโดนทั้งสามคนพูดเป่าหู สุดท้ายแล้วย่าเฉินจึงตอบตกลง
“ตกลง ว่าแต่ต้องใช้เงินเท่าไรเหรอ”
“ราว ๆ สามสิบหยวน” ฟางอี้เหนียงบอกเกินไปมาก ความจริงซินแสเถาจะเก็บเงินแค่สิบหยวนเท่านั้น ในการปัดเป่าหนึ่งครั้ง
“อะไรนะ แพงขนาดนั้นเชียวเหรอ ปัดเป่าบ้าอะไรตั้งสามสิบหยวน ฉันไม่มีหรอก” ย่าเฉินโวยวายออกมาเสียงดัง
สิบหยวนก็ว่ามากแล้วนี่ตั้งสามสิบหยวน นางไม่เอาด้วยหรอกหญิงชราไม่พอใจและรีบเดินออกมาทันที ปล่อยให้พ่อแม่ลูกนั่งมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
กลับมาที่สองพี่น้องจากบ้านรอง หลังจากขายของเสร็จ
ทั้งคู่ก็เก็บของก่อนเดินมาที่ซอกตึกลับตาคนแล้วเอาทุกอย่างกลับเข้ามิติเหมือนเดิม จากนั้นก็เดินออกมาจากตลาดมืด“พี่ใหญ่เย็นนี้อยากกินอะไร” หญิงสาวถามพี่ชายขณะที่เดินกลับมาเอาจักรยาน
“อะไรก็ได้ แต่พี่กลัวคนบ้านใหญ่จะได้กลิ่นน่ะสิ”
เฉินหลงเปียวตอบกลับมา เรื่องอาหารเย็นเขากินอะไรก็ได้ กลัวก็แต่บ้านใหญ่จะได้กลิ่นอาหารมากกว่า
“ฮ่า ๆ ๆ พี่ใหญ่ พี่พูดเหมือนคนบ้านใหญ่จมูกดีเหมือนตัวสี่ขาอย่างนั้นแหละ เราอยู่หลังบ้านคงไม่มีใครได้กลิ่นหรอก”
หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างขบขันกับคำพูดของพี่ชาย
เฉินหลงเปียวกำลังจะตอบ ทว่าสายตาของเขากลับเห็นใครบางคนที่คุ้นเคยเดินผ่านไป ซึ่งทางที่ชายคนนนั้นเดินไปทุกคนในพื้นที่ต่างรู้ดีว่านั่นคือบ่อนพนัน
“นั่นพี่อี้โจวไม่ใช่เหรอ” เขาส่งเสียงเบาให้กับน้องสาว
เฉินโม่หรานได้ยินก็มองตามและพยักหน้ารับ “พี่ชายอี้โจวทำงานในโรงงานไม่ใช่หรือไง วันนี้ก็ไม่ใช่วันหยุด แล้วทำไมถึงเดินไปทางนั้นล่ะ...”
ยังไม่ทันพูดจบเธอก็จูงมือพี่ชายเดินตามไป เพราะตอนนี้ทั้งสองคนปลอมตัวอยู่ไม่อย่างนั้นแล้ว เฉินอี้โจวคงจำทั้งสองคนได้ตอนเดินผ่านไป
สองพี่น้องเว้นระยะห่างเล็กน้อย แต่ก็ตามอีกฝ่ายทันจนเห็นว่าเขาเดินเข้าไปในบ่อนพนันอย่างที่คิด
“เสียดายหน้าที่การงานมาก บ้านใหญ่ชิงไปจากพี่
แต่พี่ชายอี้โจวกลับเกเรเข้าบ่อน นี่ไม่รู้ว่าถูกไล่ออกจากงานหรือยัง”เฉินโม่หรานพูดออกมาอย่างเสียดาย
ความจริงแล้วคนที่สอบเข้าทำงานได้คือพี่ชายของเธอ
แต่เพราะรักหลานไม่เท่ากัน ย่าเฉินจึงบังคับบ้านรองให้ยกงานให้กับหลานชายจากบ้านใหญ่ ส่วนหลานชายจากบ้านรองให้ทำงานที่กองพลน้อย“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ปล่อยผ่านไปเถอะ เราทำวันนี้และวันต่อ ๆ ไปให้ดีก็พอ” ชายหนุ่มห้ามน้องสาวไม่ให้คิดถึงเรื่องเก่า ๆ
“เห็นไหมล่ะ งานโรงงานคือชามข้าวเหล็ก แต่เมื่อพี่อี้โจวติดการพนัน คอยดูเถอะว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ”
เขามองพี่ชายจากบ้านใหญ่จนลับตา เชื่อเถอะว่าคนทำชั่วต้องได้รับผลของการกระทำ
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องรีบหาทางแยกบ้าน ไม่อย่างนั้นเมื่อไรที่พี่ชายอี้โจวสร้างหนี้สิน เมื่อนั้นพวกเราย่อมต้องร่วมใช้หนี้ด้วย”
พอคิดถึงตรงนี้หญิงสาวต้องวางแผนใหม่ หากรอให้พรานป่ามาขอเฉินเม่ยเม่ยแต่งงานก็น่าจะอีกหลายเดือน ดูแล้วน่าจะไม่ทันการ
‘แต่ทำไมในนิยายไม่บอกล่ะว่าลูกชายจากบ้านใหญ่ติดพนัน’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ
“นั่นสิ พวกเราต้องหาทางแยกบ้าน ก่อนอื่นพวกเราต้องไม่ทำตามอย่างที่บ้านใหญ่บอก เอาให้ย่าทนไม่ไหวแล้วไล่พวกเราไป” เฉินหลงเปียวคิดได้แค่เรื่องนี้ ที่พอจะทำให้ย่าเอ่ยปากไล่ได้
แต่สำหรับเฉินโม่หรานกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมีวิธีที่ดีกว่า
เมื่อรู้แล้วว่าหลานชายสุดที่รักของย่าเฉินติดพนัน สองพี่น้องจากบ้านรองจึงรีบกลับเข้าหมู่บ้าน พอมาถึงจุดเดิมก็เข้าข้างทาง ก่อนจะเอาจักรยานเก็บไว้ในมิติเหมือนเดิม แล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้านทันที
สัญญาณเลิกงานดังขึ้น ชาวบ้านรวมถึงยุวปัญญาชนต่างก็เอาอุปกรณ์ไปเก็บ ก่อนจะมาลงชื่อเลิกงาน
หลังจากลงชื่อเรียบร้อยแล้วเฉินคังและกุ้ยเจินรีบเดินกลับบ้าน เพราะทั้งสองคนยังมีหน้าที่ที่ต้องทำ นั่นคือช่วยกันทำอาหารให้บ้านใหญ่
และเมื่อมาถึงบ้านก็ถูกสะใภ้ใหญ่อย่างฟางอี้เหนียงจิกหัวใช้ทันที
“มาถึงแล้วทำไมไม่รีบไปทำงานล่ะ อาหารไม่ทำหรือไง”
“นี่ฟืนก็หมดแล้ว เจ้าหลงเปียวไปไหน ทำไมไม่ไปตัดฟืน” เฉินควนพูดขึ้นมาบ้างเมื่อไม่เห็นหลานชายกลับมาด้วย
“บางเรื่องพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ก็ทำได้ ทำไมไม่ทำล่ะ ผมกับ
กุ้ยเจินเพิ่งกลับมาจากทำงานในแปลงข้าวโพด” เฉินคังพูดออกมาอย่างเหลืออดแล้ว เขามองย้อนกลับไปบ้านรองไม่ต่างจากทาสของบ้านใหญ่เลยคนเป็นพี่ชายไม่คิดว่าน้องที่เคยสงบปากสงบคำเถียงตนเอง จึงรู้สึกไม่พอใจแล้วชี้หน้า “นี่แกกล้าเถียงฉันเหรอเจ้ารอง”
“ผมพูดความจริง เราสองคนทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว นี่ยังต้องมาทำงานบ้านอีก กับข้าวมื้อเย็นพี่สะใภ้ก็ทำได้ คนบ้านใหญ่ไม่ได้ทำงานเหมือนคนบ้านรอง น่าจะช่วยเรื่องนี้ ไม่ใช่รอให้พวกเราทำ” ในเมื่อคิดจะแตกหัก เฉินคังจึงไม่คิดที่จะยอมบ้านใหญ่อีก
แต่คนบ้านใหญ่กลับคิดอีกอย่าง นั่นก็คือ ‘บ้านรองโดนผีเข้าทั้งบ้าน’ นี่คือความคิดของเฉินควนและฟางอี้เหนียง
เมื่อมีความคิดเดียวกัน สองสามีภรรยาจากบ้านใหญ่สบตากันอย่างมีความหมาย คิดว่าเรื่องนี้ต้องบอกแม่ตัวเองอย่างย่าเฉิน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วภัยร้ายจะเข้าสู่บ้านใหญ่อย่างไม่หลบเลี่ยงได้
ส่วนเฉินคังเขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่สนใจงานในบ้านใหญ่อีกแล้ว แม้จะต้องทำเรื่องร้ายแรงกว่านี้เขาก็ยอมเพื่อให้ได้แยกบ้าน และนั่นคือทางเดียวที่ทำให้ลูกสาวปลอดภัย!
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์ ภายในบ้านของจ้าวหนิงเฉิง เมื่อทุกคนเข้ามาแล้ว เฉินคังและกุ้ยเจินสลับกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าเฉินหลงเปียวจะโทรหาบ่อยครั้งแต่ก็จะคุยเรื่องงานและถามความเป็นอยู่มากกว่าเมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบ้านใหญ่ ก็ไม่คิดว่าเฉินอี้โจวจะหลงผิดถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองเป็นหัวขโมย“เพราะเรื่องนี้ด้วยไหมคะพ่อถึงยอมไปปักกิ่งกับฉัน”“ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละลูก พ่อไม่อยากให้ทุกคนแยกจากกัน อีกทั้งพ่อไม่ได้มีห่วงที่นี่อีกแล้ว” เขาตอบตามความเป็นจริง “ตอนนี้ตัวตนของพี่เฉิงคงกระจายทั่วแล้ว เดี๋ยวบ้านใหญ่คงรู้เรื่อง พ่อไม่กลัวว่าย่าจะมาหาเรื่องหรือขอค่าเลี้ยงดูเหรอ”เฉินโม่หรานไม่เชื่อว่าย่าของเธอจะยอมง่าย ๆ ในเรื่องนี้ และยังมีเฉินเม่ยเม่ยอีก ฝ่ายนั้นคงแค้นแทบกระอักเลือดเมื่อพรานป่าที่ปฏิเสธกลายเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก“ต่อให้ย่าของลูกมาจริงอย่างที่ลูกบอก พ่อก็ไม่ให้หรอกนะ เพราะตลอดชีวิตพ่อที่ผ่านมา พ่อทำดีที่สุดแล้ว และให้ไปมากพอแล้ว ต่อจากนี้ครอบครัวของพี่ใหญ่ต้องจัดการดูแลแม่เอง”เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่เฉินคังมีความเ
บทที่ 35 เริ่มต้นใหม่ในตระกูลจ้าวยังไม่ทันที่จ้าวต้าเค่อได้ตอบคำถามของพ่อตนเอง กลับมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเคียดแค้น“เรื่องในอดีตเราสองคนสามีภรรยาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย วันนี้ที่มาเปิดเผยตัวเพราะต้องการนำตราประจำตระกูลส่งมอบให้คนที่เหมาะสม แต่ไม่คิดว่าจุดจบของสามีฉันคือความตาย เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการเลย”เฉินโม่หรานสบตากับจ้าวหมิงยังไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ถึงแม้ว่าตอนนี้สามีฉันจะไม่อยู่แล้ว แต่ฉันคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา คุณก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปเพราะฉันไม่มีทางยอม!!”เสียงประกาศของหญิงสาวดังขึ้นมาอย่างชัดเจนและ เธอไม่มีท่าทีผู้หญิงอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แม้ใบหน้าสวยหวานจะมีน้ำตาไหลอาบแก้มก็ตามนายท่านสวี่ได้ยินก็รีบพูดสนับสนุนทันที “ฉันจะสนับสนุนเธอเอง อย่างไรเธอก็คือภรรยาของจ้าวหนิงเฉิงอย่างถูกกฎหมาย นับว่าเธอคือทายาทของเขา”“ได้อย่างไร ในเมื่อฉันคือจ้าวหมิง คนที่ดูแลตระกูลจ้าวมานับสิบปี จะให้คนนอกมากุมอำนาจได้อย่างไร ฉันยังอยู่ทั้งคนไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของฉันไปหรอกนะ อย่างไรตระกูลจ้าวก็ต้องเป็นของฉันเท
บทที่ 34 ทายาทตัวจริงปรากฎคฤหาสน์ตระกูลจ้าวเวลานี้เต็มไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลที่มาร่วมงานกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในเมืองหลวงหรือต่างเมืองต่างก็มาแสดงความยินดีให้กับจ้าวหมิงทุกคนต่างก็เห็นกันว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาได้พาตระกูลจ้าวให้มาอยู่ในจุดนี้โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วกิจการที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมานั้นเป็นเพราะลูกชายของเขาต่างหากล่ะ ผู้คนที่มากันอย่างมากมายมีทั้งดีใจด้วยและภาวนาให้คุณชายใหญ่ปรากฏตัวในวันนี้ เพราะนั่นคือทายาทที่แท้จริงของตระกูลจ้าวจะว่าไปแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าจ้าวหมิงต้องการแย่งตำแหน่งของพี่ชาย จึงได้ส่งคนมาจัดการ แต่ก็นั่นแหละเพราะไม่มีหลักฐานเลยทำอะไรกันไม่ได้ จึงได้แต่ภาวนาให้ทายาทตัวจริงปรากฏ“ดีใจด้วยนะนายท่านรอง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่านายท่านจ้าว ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว” ชายสูงวัยคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา พร้อมกับชูแก้วให้อีกฝ่ายคล้ายกับแสดงความดีใจด้วย“ความจริงแล้วผมก็อยากจะรอหลานชายเพียงคนเดียวนั่นแหละ แต่ไม่ว่าจะส่งคนหาไปเท่าไหร่ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ผมเองก็จนปัญญา แต่ตระกูลต้องมีผู้นำ”เขาพูดตอบกลับมาด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้
บทที่ 33 จับโจรได้แล้วหลายวันต่อมา...ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เฉินหลงเปียวคาดการณ์ไว้ นั่นเพราะเฉินอี้โจวกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าชุยรับรู้ก็เริ่มจับตามองหลานชายบ้านเฉินทันที โดยที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงคนสนิทและไว้ใจได้เท่านั้นที่ทั้งสองบอกและให้รับหน้าที่จับตาดูส่วนเฉินเม่ยเม่ยเองก็เริ่มสงสัยว่าทำไมดี๋ยวนี้พี่ชายของเธอถึงได้กลับบ้านบ่อยนัก เลยถามออกมา “นี่กลับมาอีกทำไม ไม่ใช่ถูกโรงงานไล่ออกแล้วเหรอ แล้วมีเงินกลับมาบ้างไหมตอนนี้บ้านของเราไม่เหลือเงินแล้วนะ”พอได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้นก็แสร้งทำสีหน้าตกใจ แล้วรีบถามออกมา “เกิดเรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าบ้านเราโดนหัวขโมยขึ้นบ้านเหมือนคนอื่นในหมู่บ้าน”“ก็ใช่นะสิ ย่านี่ด่าไม่หยุดเลยแถมยังสาปแช่งที่กล้ามาขโมยเงินของย่าไป แล้วที่ถามนี่มีเงินไหมขอเงินหน่อยสิ” หญิงสาวแบมือรอรับเงินจากพี่ชาย เธอตั้งใจจะเข้าเมืองสักหน่อย“ฉันไม่มีหรอก นี่กว่าเงินเดือนของโรงงานจะออกก็อีกตั้งหลายวัน ที่ฉันกลับมาบ้านเพราะที่ผ่านมาไม่เคยหยุดหรือลาเลยอย่างไรล่ะ ทำให้มีวันหยุดเยอะ เธอก็เลิกถามเถอะ ฉันเหนื่อยจะเข้าไปนอนส
บทที่ 32 ผู้ต้องสงสัยหลักสองย่าหลานได้ยินอย่างนั้นก็หันมาสบตากันทันที พยายามนึกว่าเธอลืมลงกลอนประตูและหน้าต่างหรือเปล่า“ไม่นะย่า อย่ามองฉันอย่างนั้น ฉันไม่มีทางลืมใส่กลอนประตูแน่นอน นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่กับพ่อจะออกไปไหนตอนกลางคืนแล้วลืมใส่กลอนประตูจนทำให้หัวขโมยมันเข้ามาในบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว” เฉินเม่ยเม่ยรีบปฎิเสธ“ส่วนฉันจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องนี้ ฉันไม่ยอมสูญเสียเงินไปแน่นอน จะต้องตามจับหัวขโมยชั่วนั่นมาให้ได้” หญิงชราประกาศกร้าว สีหน้าและท่าทางดูแค้นเคืองเจ้าหัวขโมยนั้นเหมือนอยากจะฆ่าให้อีกฝ่ายตายคามือ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหัวขโมยชั่วที่ย่าเฉินทั้งด่าทั้งแช่งนั้นคือหลานชายตัวเอง และเป็นหลานชายสุดที่รักอีกต่างหากเมื่อเห็นว่าย่าเฉินฟื้นแล้วและดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ชาวบ้านที่เข้ามาช่วยเลยเข้ามาดูก็ทยอยกันออกมา แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไป บ้านอื่นประตูบ้านและหน้าต่างถูกงัดแงะแต่บ้านเฉินกลับไม่มีร่องรอยอะไรเลย ดูเหมือนจะเป็นการกระทำของคนในบ้านเสียมากกว่า ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะกลัวปากของย่าเฉินเรื่องบ้านใหญ่เฉินตอนนี้กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วทุกคนรู้ว่าบ้านหลัง
บทที่ 31 บ้านใหญ่ถูกปล้นเหมือนกันเมื่อทางหมู่บ้านมีการเดินเวรยามเพื่อหาวิธีจับหัวขโมยที่ขโมยเงินของชาวบ้าน ก็ทำให้โจรตัวจริงอย่างเฉินอี้โจวเริ่มกระวนกระวายใจนั่นก็เพราะว่าเงินที่หามาได้ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องไปใช้หนี้ให้กับบ่อนการพนัน และยังไม่พอให้เขาต่อยอดได้แก้มือ แต่เมื่อเห็นน้องสาวขอเงินย่า ก็เริ่มมีความคิดที่จะขโมยเงินของบ้านตนเอง“ย่าตอนนี้ของกินของใช้อะไรหมดแล้วนะ ขอเงินไปซื้อหน่อยสิ” เฉินเม่ยเม่ยแบมือขอเงินคนเป็นย่า เพราะตอนนี้ของใช้ในบ้านนั้นหมดแล้ว“จะซื้ออะไรนักหนา ของกินก็หาเก็บในป่าสิ มันก็กินได้เหมือนกันนั่นแหละ ตอนนี้อี้โจวก็กลับมาอยู่บ้านไปช่วยหาสัตว์ป่าสักหน่อยก็ได้ บ้านเราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานแล้วนะ”หญิงชราไม่ค่อยอยากจะควักเงินออกจากกระเป๋า ตั้งแต่บ้านรองแยกบ้านออกไป ก็แทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว หากยังเป็นอย่างนี้ สักวันเงินก็คงจะหมด“ก็หลานชายสุดที่รักของย่าน่ะสิ วัน ๆ เอาแต่นอนไม่รู้ไปทำอะไรมานักหนา ถ้าเกิดย่าอยากกินเนื้อแล้วไม่จ่ายเงินก็ให้หลานชายไปหาเอาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้แป้งและข้าวสารหมดแล้ว ถ้าไม่ให้เงินไปซื้อ เย็นนี้จะกินอะไร” หญิ