บทที่ 9 ความฝัน
ตึกตัก ตึกตัก
‘ไม่ว่าจะกี่ปีผู้หญิงคนนี้ยังคงงดงามไม่เปลี่ยน หัวใจฉันเองก็เหมือนกันยังคงเต้นแรงเสมือนครั้งแรกที่ได้พบเจอกัน นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้เข้าใกล้เธอขนาดนี้แถมครั้งนี้เธอไม่แม้จะต่อว่ากลับกลายเป็นใบหน้าที่เขินอายแดงระเรื่อแทน หรือว่าตอนนี้เธอเริ่มมีใจให้ฉันบ้างแล้ว เวลาที่ฉันรอคอยจะเข้ามาใกล้แล้วสินะหัวใจที่เป็นดั่งหินผาฉันจะทำลายมันเอง’ ยั่วถงมองหญิงสาวในอ้อมกอดหัวใจของเขาเต้นแรงตึกตักตลอดทาง วันนี้เธอช่างงดงามที่สุดในสายตาของเขาจริง ๆ และเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขาให้เขาได้ใกล้ชิดกับจื่อเหยาและมีเวลาร่วมกัน แม้แต่เจ้อหยูร์ยังเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับเธอ เขาค่อย ๆ อุ้มเธอวางลงบนเตียงนอนในห้องของเธอร่างเล็กใบหน้าแดงระเรื่อราวมะเขือเทศยังไม่จาง เขายื่นมือไปถอดรองเท้าให้เธออย่างเบามือ
“ข้อเท้าคุณบวมแดงมากเลย เดี๋ยวผมจะไปเอายามาให้กินยาแล้วนอนพักเถอะพรุ่งนี้น่าจะดีขึ้นอย่าเดินมากนักเข้าใจมั้ย” จื่อเหยาทำตัวไม่ถูกตอบเขากลับอย่างขัดเขิน
“อะ..อืม…” เขาเดินออกไปจากห้องของเธอเพื่อไปเอายาไม่นานเขากลับเข้ามาพร้อมน้ำเปล่า นั่งลงบนเตียงยื่นยาให้เธอกินก่อนจะลุกเดินออกไป
“คุณนอนพักเถอะ เดี๋ยวผมจะไปดูเจ้อหยูร์กับคุณแม่ก่อนว่ามาหรือยัง” เขาพูดขึ้นสองมือจับไปยังลูกบิดที่ประตูสองเท้ากำลังจะก้าวเท้าออก จู่ ๆ จื่อเหยาได้เอ่ยโพลงออกมาเสียงดัง
“ขอบใจนะ ที่คุณดูแลฉันวันนี้แต่อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันจะดีกับคุณนะ มันคนละเรื่องกัน” ยั่วถงชะงักเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้มออกมาที่มุมปาก และปิดประตูห้องให้แก่จื่อเหยาเมื่อเขาออกไปเธอแทบจะมุดผ้าห่มหนี
“อ๊ากก นี่ฉันทำอะไรลงไป ….ฉันจะต้องไม่สนใจและแยแสต่อให้เขาทำดีขนาดไหนก็อย่าไปรู้สึกดีด้วยสิ อย่าลืมนะว่าเขาพรากจื่อเหยามาจากคนรักนะ” ร่างเล็กโน้มตัวลงนอนดิ้นไปมาบนเตียงนอนใบหน้าแดงก่ำทว่าจู่ ๆ ความรู้สึกเขินอายกลับหายไปเป็นคิ้วขมวดแทน
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ! หรือว่าเขาทำแบบนี้เพื่อให้ฉันตายใจและหาทางกำจัดฉันอีกครั้ง ไม่แน่นะอาจจะเป็นแบบที่ฉันคิดก็ได้” เธอเริ่มครุ่นคิดเรื่องปริศนาของจื่อเหยาอีกรอบจนไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปเมื่อไหร่
เปรี้ยง! เสียงคำรามบนท้องฟ้าเสียงสว่างวาบเข้ามาในห้องนอนที่มืดสนิทจนมีแสงสว่างร่างเล็กนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ กระสับกระส่าย ในความมืดมิดม่านหมอกอึกครึมเธอเดินไปที่สะพานตรงสระน้ำหลังบ้าน เห็นคลับคลายคลับคลาเหมือนว่ากำลังมีคนทะเลาะวิวาทกันอยู่ สองเท้าของเธอรีบเดินเข้าไปใกล้ ๆ แต่เหมือนว่าหมอกจะหนามากกว่าเดิมภาพข้างหน้าเริ่มไม่ชัดเจน หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงข้างสระนั่นคือจื่อเหยาไม่ใช่หรือ? เธอรีบเดินสาวเท้าไปเร็วมากกว่าเดิม แต่ทว่าเธอกลับไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวยังมีคนยืนอยู่ตรงนั้นอีกสองคน สีหน้าของเธอเริ่มตึงเคียดไม่ว่าจะก้าวเท้ามากเท่าไหร่เหมือนมันยิ่งช้าลง จนกระทั่งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจื่อเหยาผลักเธอตกน้ำ แม้จะมีสีหน้าตื่นตระหยกแต่ก็ไม่ยอมแม้จะยื่นมือไปช่วยเธอด้วยซ้ำ พากันยืนมองอยู่พักใหญ่เมื่อไม่เห็นร่างของจื่อเหยาโผล่ขึ้นมาทั้งสองรีบพากันวิ่งหนีทันที
“จื่อเหยา จื่อเหยาอย่าเป็นอะไรนะ ฉันกำลังไปช่วยเธอแล้ว” หลินชิงเสียงเดินกึ่งวิ่งไปหาจื่อเหยาทว่าตอนนั้นเสียงฟ้าร้องสายฟ้าร้องโครมครามทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนจะได้เข้าไปช่วยจื่อเหยาด้วยซ้ำ
“เปรี้ยง!!!.”
“เฮือก! นี่ฉันฝันหรอกหรือ? เดี๋ยวสิเมื่อครู่ที่ฉันฝันทำไมเหมือนความจริงเสียจริง หรือว่าจื่อเหยาอยากให้ฉันรู้เร็ว ๆ ว่าใครกันที่เป็นคนทำร้ายเธอ คนร้ายมีสองคนน่าเสียดายที่ความฝันของฉันมองไม่เห็นใบหน้าของทั้งสองอย่างชัดเจน น่าเสียดายจริง ๆ ” เธอลุกขึ้นนั่งปาดเหงื่อก่อนจะลุกขึ้นดื่มน้ำ ข้อเท้าของเธอเริ่มดีขึ้นมากแล้ว ทว่าเธอกลับมานอนไม่หลับอีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นเสียงฟ้าเสียงฝนและความฝันเมื่อครู่
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างฟ้าฝนที่ตกเมื่อคืนนี้กลับเงียบสนิท วันนี้เธอจะต้องสืบเรื่องหาคนร้ายให้ได้ สิ่งแรกที่เธอจะทำคือเข้าหาแม่หลี่ดูการพูดการจาและนิสัยในความฝันมีคนร้ายอยู่สองคนไม่แน่เรื่องนี้แม่หลี่กับยั่วถงอาจจะวางแผนร่วมกันก็ได้
ก๊อก ๆ เสียงประตูห้องของเธอดังขึ้นระหว่างที่เธอแต่งตัวเสร็จพอดี
“ผมเอง คุณตื่นหรือยังข้อเท้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงทุ่มต่ำของยั่งถงที่เอ่ยถามเธออยู่ด้านนอก เธอเดินออกมาเปิดประตูพร้อมออกไปหาเขา
“ฉันดีขึ้นมากแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรให้เป็นห่วงตอนนี้ฉันหิวแล้วลงไปข้างล่างกันเถอะ” เธอพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้คล้ายจื่อเหยาให้มากที่สุดแม้ว่าหัวใจของเธอจะเต้นแรงกับเขามากแค่ไหนเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้
“คุณหายดีผมก็โล่งอก ตอนนี้คุณแม่ให้สาวใช้ทำกับข้าวไว้รอแล้วเจ้อหยูร์ก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วลงไปพร้อมกันเถอะจะให้ผมช่วยจับมือเดินลงบันได้มั้ย”
“ไม่ต้องฉันเดินเองได้ เมื่อคืนนี้ฉันเปลืองตัวให้คุณใกล้ชิดมากพอแล้ว อย่าหวังว่าจะเข้าใกล้ฉันมากไปกว่านั้นเลย” จื่อเหยาเดินลงมาอย่างคล่องแคล้วตรงไปที่โต๊ะอาหารเห็นเจ้อหยูร์นั่งอยู่ตรงนั้นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไม่เหมือนที่เธอเจอครั้งแรก
“คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับได้ยินจากคุณพ่อว่าคุณแม่เจ็บที่ข้อเท้า ”
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ลูกคงสนุกมากสินะดูจากสีหน้าแล้วสดใสเชียว”
“ครับมื้อคืนนี้คุณย่าพาเดินเล่นทั่วทั้งงานเลย” เด็กชายดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน แม้ว่าอยากจะเดินเล่นกับคุณพ่อคุณแม่ทว่าเขาก็อยากให้ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันใช้เวลาร่วมกันบ้าง ตั้งแต่จำความได้นี่เป็นครั้งแรกที่คุณแม่ยอมออกไปข้างนอกพร้อมกับคุณพ่อ
“เอาล่ะ ๆ มานั่งลงเถอะถึงเวลากินข้าวแล้ววันนี้ยั่วถงต้องออกไปทำงานเดี๋ยวจะสายแม้จะเป็นเจ้าของโรงงานเราจะต้องทำตัวให้ลูกน้องเห็นเป็นตัวอย่างที่ดี เธอไปตามพี่ใภ้ใหญ่กับซืออี้ลงมากินข้าวพร้อมกัน ป่านนี้ยังไม่ลงมาจะไปทำธุรกิจกับเพื่อน ๆ ได้ยังไงกัน เฮ้อ คิดแล้วก็ปวดหัว” แม่หลี่สั่งให้สาวใช้ไปตามลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ให้มากินข้าวเช้าพร้อมกัน เพราะเธออยากจะพูดเรื่องการลงทุนทำธุรกิจต่อหน้าทุกคนในครอบครัว อีกทั้งวันนี้เป็นวันที่ต้องจ่ายเงินกงสีให้ทุกคนอีกด้วย
บทที่ 15 ผีหลอกก๊อก ๆ เสียงประตูห้องของคุณแม่หลี่ดังขึ้นพร้อมเสียงของคนที่อยู่ด้านนอก“คุณแม่ครับผมขอเข้าไปในห้องนะครับ”“เข้ามาสิ มาที่นี่คงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วสินะ” แม่หลี่กำลังเก็บสร้อยใส่กล่องไม้ลวดลายสวยงามล็อคกุญแจแน่นหนา“เป็นฝีมือใครครับ”“แม่คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือสะใภ้ใหญ่ตอนแรกแม่ก็เอะใจทำไมเธอถึงได้เจาะจงที่จะให้เข้าไปค้นหาที่ห้องของสะใภ้เล็ก และก็ไปเจอของที่นั่นจริง ๆ แต่เจ้อหยูร์และท่าทีไม่ได้ตกอกตกใจของจื่อเหยาเพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เธอแน่นอน แม่ไม่เข้าใจเลยทำไมสะใภ้ต้องทำแบบนั้นด้วย ตั้งหลายปีที่สะใภ้เล็กมาอยู่ที่นี่ไม่เคยด่าทอทำให้ผิดใจกันเลยไม่ใช่หรือไง”“เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เอาไว้ผมจะจับตาดูพี่สะใภ้กับจื่อเหยา ไม่แน่ทั้งสองต้องมีเรื่องอะไรที่ขัดใจกัน ต่อจากนี้คุณแม่เก็บของมีค่าเอาไว้ให้ดีนะครับ แล้วนี่พี่ซืออี้ยังไม่กลับมาอีกหรือครับ”“นั่นสิ ไปข้างนอกทั้งวันหากว่าพูดเรื่องธุรกิจคงไม่น่าจะยืดยาวขนาดนี้ ไม่แน่ป่านนี้คงจะกลับมาแล้วเราลงไปข้างล่างกันเถอะป่านนี้สะใภ้เล็กกับเจ้อหยูร์คงรอนานแล้ว” ทั้งสองพากันเดินลงไปข้างล่างแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาข
บทที่ 14 สร้อยคงไม่มีเท้าเดินเองแม่หลี่รีบเดินไปหาหลันเหย่ที่อยู่หน้าตู้ผ้าของจื่อเหยาเพื่อไปดูว่าของที่หลันเหย่บอกใช่ของเธอหรือไม่? เมื่ิอเห็นสร้อยที่อยู่ในมือของหลันเหย่ใบหน้าของแม่หลี่พลันเปลี่ยนสี ชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันขวับมามองจื่อเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลัง‘อะไรกันนี่ฉันพลาดตั้งแต่ตอนไหน ทำไมสร้อยของคุณแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้หรือว่าช่วงที่ฉันออกไปซื้อของหรือว่าช่วงที่ฉันนอนกับเจ้อหยูร์เหรอ’“สะใภ้เล็กอธิบายมาสิว่าสร้อยของฉันมาอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าของเธอได้ยังไงกัน”“คุณแม่คะเรื่องสร้อยมาอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าของฉันได้ยังไงฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่เช้ามาฉันออกไปตลาดพึ่งจะได้กลับเข้าห้องเมื่อครู่เพื่ออาบน้ำจะรู้ได้อย่างไรว่าสร้อยคุณแม่มาอยู่ในห้องฉัน เหมือนว่ามีคนจงใจนำมันมาใส่เอาไว้ แล้วทำไมที่อื่นคนอื่นหาไม่เจอแต่พี่สะใภ้มาเจอเข้าเหมือนรู้มาก่อนว่าสร้อยอยู่ตรงไหน ตั้งแต่เดินเข้ามาพี่สะใภ้เดินตรงเข้ามาหาตู้เสื้อผ้าเลย ปกติหากจะเก็บของมีค่าไม่ใช่เก็บไปตรงโต๊ะหัวเตียงหรอกหรือคะ” จื่อเหยาไม่ยอมเป็นแพะรับบาปและยอมอ่อนข้อให้คนอื่นใส่ร้ายแน่นอน ในเมื่อทำกันแบบนี้เธอก็จะร้ายสู้เหมือนกัน“นี่
บทที่ 13 รู้ตัวคนทำแสงสว่างวาบผ่านเข้ามาในม่านหมอก หลินชิงเสียงลืมตาขึ้นมาในความมืดเดินตามแสงสว่างไปอย่างงวยงงเสมือนมีอันใดที่ดึงดูดให้เธอเดินตามแสงนั้นไป'ไม่ใช่ว่าฉันเผลอนอนหลับไปกับเจ้อหยูร์หรอกเหรอ แล้วนี่ที่ไหนกันมืดตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่นใครข้างหน้านั่นคนไม่ใช่เหรอ' ร่างบางคิดในใจเดินไปหาคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ๆ เธอกลับเห็นว่านั่นคือจื่อเหยากับชายและหญิงอีกหนึ่งคน เหมือนความฝันของเธอคืนก่อน‘นั่นจื่อเหยานี่น่า เหมือนความฝันครั้งก่อนเลยแล้วอีกสองคนนั่นใครกัน’ เธอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ครั้งนี้เธอไม่เห็นเหมือนครั้งก่อนแต่เห็นชัดเจนและได้ยินเต็มสองหูว่าทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร"เมื่อกี้เธอได้ยินพวกฉันพูดใช่มั้ย ? เธอแอบตามเรามาเพื่อจะเอาเรื่องที่ฉันกับพี่ซืออี้พูดกันไปบอกคุณแม่กับยั่วถงใช่มั้ย แกมันร้ายนักนะทำเป็นไม่สนใจคนในครอบครัว แต่ก็แอบซุ่มทำอะไรลับหลังคนอื่น ""ฮึ! ถึงฉันไม่สนใจคนในครอบครัวแต่ฉันไม่เคยคิดเรื่องชั่ว ๆ แบบพวกเศษสวะอย่างพวกแกหรอกนะ ขนาดมีแม่ที่แสนดีประเคนทุกอย่างให้แต่กลับคิดจะทำร้ายและจะเอาสมบัติเป็นของตัวเอง ชาติชั่วยิ่งกว่านรกส่งมาเกิดอี
บทที่ 12 อิจฉาจื่อเหย่าไม่อยากโต้ตอบรีบเดินนำหน้ายั่วถงกลับบ้านไปหาเจ้อหยูณ์ เมื่อมาถึงแม่หลี่กับเจ้อหยูร์ต้องแปลกใจที่เห็นทั้งสองมาด้วยกัน“ทำไมถึงมาด้วยกันได้ล่ะตอนนี้ลูกน่าจะอยู่ที่โรงงานไม่ใช่หรือไง”“ผมพยายามเคลียร์งานแล้วออกมาครับ คิดว่าจะออกมาเลือกซื้อรองเท้าให้จื่อเหยาแต่เมื่อมาตลาดเห็นเธอเลือกซื้อรองเท้าอยู่ก่อนหน้าแล้วเลยกลับมาที่บ้านพร้อมกันครับ” “เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้อหยูร์รอเธอกลับมาอย่างตั้งหน้าตั้งตารอมาแล้วก็รีบพาไปทำเถอะเดี๋ยวจะถึงเวลานอนกลางวันแล้ว” “เจ้อหยูร์เราเข้าไปที่ครัวกันเถอะ ส่วนนี่รองเท้าคุณแม่ค่ะขอบคุณนะคะสวมใส่สบายมากฉันเลยซื้ออีกคู่มาเป็นของฝากให้คุณแม่ด้วย เจ้อหยูร์แม่เองก็มีของฝากมาให้ลูกเหมือนกันชอบมั้ย” จื่อเหยายื่นรองเท้าคืนให้แม่หลี่พร้อมรอเท้าใหม่ที่เธอตั้งใจซื้อมาให้แม่หลี่ก่อนจะยื่นของเล่นกับเจ้อหยูร์ เด็กชายเห็นของเล่นดวงตาเริ่มคลอแดงแต่รอยยิ้มบนใบหน้ายิ้มกว้างกว่าเดิม“คุณแม่ให้ผมจริง ๆ หรือครับ ผมรับมันได้ใช่มั้ย”“แม่ตั้งใจซื้อมาให้ทำไมจะไม่ได้ล่ะ หรือว่าลูกไม่ชอบ”“ไม่ครับ ผมชอบและชอบมันมาก ๆ เลย ขอบคุณนะครับคุณแม่” เด็กน้อยกระโดดกอดจื่อ
บทที่ 11 พลาดอากาศเช้าวันนี้ลมพัดเย็นสบายหลังจากที่ฝนตกทั้งคืน จื่อเหยาสวมใส่รองเท้าของแม่หลี่ออกมาพร้อมกับสาวใช้สองคนที่เดินตามหลังอย่างกล้า ๆ กลัวจนทำให้เธออึดอัด"นี่...!! ซุบซิบอะไรกันอย่างคิดว่าฉันไม่ได้ยินนะ กลัวฉันนักหรือไงฉันไม่จับพวกเธอหักคอหรอกนะ""เอ่อ..ขอโทษด้วยนะคะที่เราสองคนทำให้คุณนายเล็กไม่สบายใจ และอึดอัดแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณนายเล็กออกมาจ่ายตลาดทำให้พวกเราไม่ชินตาต้องขอโทษด้วยนะคะ"จื่อเหยาหยุดเดินทันทีก่อนจะคิดอะไรออกและหันไปถามสาวใช้ทั้งสองที่เดินตามมา"ฉันมีเรื่องอะไรจะถามและมีค่าขนมให้เล็กน้อย พวกเธอจะต้องรับปากว่าไม่ปากโป้งบอกใครว่าฉันพูดคุยกับพวกเธอเรื่องอะไร หากเรื่องที่ฉันถามพวกเธอหลุดออกไปล่ะก็อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยไปง่าย ๆ " ทั้งสองมองหน้ากันไปมาเริ่มวิตกกังวลในคำถามของจื่อเหยา"พวกฉันสัญญาจะไปปากโป้งพูดออกไปแน่นอกค่ะ แล้วเรื่องที่คุณนายเล็กอยากรู้คือเรื่องอะไรหรือคะ""พอดีช่วงนี้ฉันความทรงจำบางช่วงบางตอนขาดหายไป เลยอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยมีปากเสียงหรือทะเลาะกับใครมั้ย ""คุณนายเล็กไม่เคยทะเลาะกับใครเลยค่ะ จะมีเพียงแค่ความเย็นชาไม่สนใจคนอื่นไม่ว่าคน
บทที่ 10 ลงทุนฝั่งด้านซืออี้กับหลันเหย่มื้อคืนนี้กว่าเขาจะกลับเข้ามาบ้านก็จนจะสว่าง เมื่อตื่นขึ้นมาหลันเหย่พูดคุยหารือเรื่องของจื่อเหยากับสามีของเธอ“พี่ซืออี้มื้อวานนี้ฉันลองเข้าไปพูดคุยกับนังจื่อเหยา แต่ดูเหมือนว่าเธอพูดอะไรแปลก ๆ ออกมาด้วย หรือว่าเธอจะแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ว่าเราเป็นคนที่ผลักเธอตกน้ำ และวางแผนปั่นหัวพวกเรารอวันเอาคืน”“หลันเยว่เธอคิดไปเองหรือเปล่า ทำไมฉันรู้สึกว่าจื่อเหยาสายตาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อน เราอย่าพึ่งด่วนสรุปตีโพยตีพายไปก่อน ต้องรอดูอีกสักนิดหากจื่อเหยาเป็นอย่างที่เธอบอกเราค่อยวางแผนจัดการก็แล้วกัน จริงสิวันนี้เงินกงสีออกนี่น่าเรารีบลงไปด้านล่างกันเถอะ ฉันจะได้มีเงินเอาไปลงทุนสำหรับวันนี้เพื่อเอาคืนเงินที่เสียไปมื้อวาน วันนี้พี่ขอเงินในส่วนของที่รักด้วยได้มั้ย วันนี้พี่มั่นใจยังไงวันนี้ต้องดวงดีแน่ ๆ” ซืออี้ออดอ้อนภรรยาของตัวเองเอาอกเอาใจเพราะเขาเสียจนหมดตัววันนี้จึงคิดจะไปเอาเงินที่เสียไปคืนมา หลันเหย่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบกลับซืออี้อย่างเหนื่อยใจ“พี่ซืออี้ ช่วงนี้พี่เล่นหนักมากเลยรู้ตัวหรือเปล่าเงินเก็บของฉัน ฉันก็เอาให้พี่ไปจนหมดอีกไม่กี่เดือนล
บทที่ 9 ความฝันตึกตัก ตึกตัก‘ไม่ว่าจะกี่ปีผู้หญิงคนนี้ยังคงงดงามไม่เปลี่ยน หัวใจฉันเองก็เหมือนกันยังคงเต้นแรงเสมือนครั้งแรกที่ได้พบเจอกัน นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้เข้าใกล้เธอขนาดนี้แถมครั้งนี้เธอไม่แม้จะต่อว่ากลับกลายเป็นใบหน้าที่เขินอายแดงระเรื่อแทน หรือว่าตอนนี้เธอเริ่มมีใจให้ฉันบ้างแล้ว เวลาที่ฉันรอคอยจะเข้ามาใกล้แล้วสินะหัวใจที่เป็นดั่งหินผาฉันจะทำลายมันเอง’ ยั่วถงมองหญิงสาวในอ้อมกอดหัวใจของเขาเต้นแรงตึกตักตลอดทาง วันนี้เธอช่างงดงามที่สุดในสายตาของเขาจริง ๆ และเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขาให้เขาได้ใกล้ชิดกับจื่อเหยาและมีเวลาร่วมกัน แม้แต่เจ้อหยูร์ยังเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับเธอ เขาค่อย ๆ อุ้มเธอวางลงบนเตียงนอนในห้องของเธอร่างเล็กใบหน้าแดงระเรื่อราวมะเขือเทศยังไม่จาง เขายื่นมือไปถอดรองเท้าให้เธออย่างเบามือ“ข้อเท้าคุณบวมแดงมากเลย เดี๋ยวผมจะไปเอายามาให้กินยาแล้วนอนพักเถอะพรุ่งนี้น่าจะดีขึ้นอย่าเดินมากนักเข้าใจมั้ย” จื่อเหยาทำตัวไม่ถูกตอบเขากลับอย่างขัดเขิน“อะ..อืม…” เขาเดินออกไปจากห้องของเธอเพื่อไปเอายาไม่นานเขากลับเข้ามาพร้อมน้ำเปล่า นั่งลงบนเตียงยื่นยาให้เธอกินก่อนจะลุกเดินออกไป
บทที่ 8 ใจสั่นเดินเล่นมาได้สักพักเจ้อหยูร์ไม่มีความเหนื่อยเลยสักนิดแต่เป็นจื่อเหยามากกว่าที่เดินแทบขาลาก“เจ้อหยูร์ แม่ขอนั่งตรงนี่สักครู่ได้มั้ย จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดข้อเท้าขึ้นมา” คงเป็นเพราะรองเท้าที่ใส่มาหรือเพราะความคับแคบของรองเท้าทำให้เธอเริ่มเจ็บขึ้นมาและแดงระเรื่อขึ้น“คุณแม่เหนื่อยนั่งพักก่อนก็ได้ครับ โอ๊ะ..นั่นคุณย่า คุณย่าครับผมอยู่ทางนี้ คุณแม่อย่างนั้นผมขอไปเดินเล่นกับคุณย่านะครับ คุณพ่อผมฝากคุณแม่ด้วยนะครับ” เจ้อหยูร์นักวางแผนตัวน้อยขยิบตาให้พ่อ เสมือนส่งสัญญาณยั่วถงยิ้มรับเล็กน้อยก่อนจะหันมาบอกกับจื่อเหยาให้นั่งคอยอยู่ตรงนี้สักครู่“คุณนั่งพักอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ ผมจะพาเจ้อหยูร์ไปหาคุณแม่ก่อน กลัวจะวิ่งไปแล้วพลัดหลงได้”“ไปเถอะฉันจะนั่งคอยอยู่ตรงนี้ดีขึ้นแล้วจะเดินตามไป” จื่อเหยาย่อนตัวนั่งลงบนม้านั่ง มองผู้คนเดินเล่นอย่างสนุกสนาน“คงเป็นเพราะไม่ค่อยได้ออกมานอกบ้านหรือเปล่านะรองเท้าถึงได้คับแบบนี้ เมื่อก่อนเธอใช้ชีวิตที่ผ่านมาแบบไหนกันนะจื่อเหยา น่าเสียดายเวลาจริง ๆ เลย” เธอบ่นพึมพำเมื่อนั่งอยู่คนเดียวเมื่อยั่วถงพาเจ้อหยูร์ไปส่งแม่หลี่ ไม่นานนักเขาก็เดินกลับมาหาเธอ นั่งลง
บทที่ 7 เดินเล่นจื่อเหยายืนเลือกเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ไม่นานนักก็ได้ชุดที่ถูกใจ โชคดีที่จื่อเหยาเจ้าของร่างชอบแต่งตัวอยู่แล้วจึงมีทั้งเสื้อผ้าสวยงามและเครื่องประดับอยู่พอสมควร“การแต่งตัวในยุคนี้ก็น่าสนุกดี งานเทศกาลในยุคนี้จะเป็นอย่างไรนะ อย่าว่าแต่เจ้อหยูร์ตื่นเต้นเลย ขนาดฉันยังตื่นเต้นขนาดนี้” จื่อเหยาหยิบต่างหูคู่งามที่เข้ากับชุดมาสวมใส่พร้อมหยิบกระเป๋าถือมาหนึ่งใบและเดินออกไปข้างนอก แม้เธอจะออกไปเที่ยวก็ไม่ลืมที่จะคิดถึงเรื่องความปลอดภัย เธอนำมีดเล็กสวมปลอกพกพาไปด้วยไม่รู้เลยว่านาทีไหนที่เธอจะถูกพรากลมหายใจไปอีก“แต่งตัวสวยจังเลยนะ ฉันนี่สิต้องนอนทนเหงาอยู่ที่บ้านอยากแต่งตัวสวย ๆ เหมือนน้องสะใภ้จัง” จื่อเหยาตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ เห็นสะใภ้ใหญ่อย่างหลันเหย่มายืนอยู่หน้าห้อง ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจด้วยซ้ำ ที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวแต่ทำไมต้องนี้สีหน้าถึงเปลี่ยนไปจื่อเหยาเริ่มระวังตัวแต่ก็ทำตัวให้เป็นปกติไม่ให้อีกฝ่ายระแคะระคายได้“พี่สะใภ้ใหญ่อยากแต่งตัวสวยก็แต่งอยู่บ้านก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องอิจฉา มาที่หน้าห้องของฉันมีอะไรกันแน่”“อะไรกันทำไมพูดเย็นชากับฉันแบบนี้ล่ะ น่าน้อย