Share

ตอนที่ 5 ขอใบอนุญาตจากสำนักโอสถ

Author: Bosskerr
last update Huling Na-update: 2025-10-21 22:34:24

รุ่งอรุณวันถัดมา ตลาดตงเหมินยังไม่เปิดดีนัก กลิ่นโจ๊กข้าวหอมก็ลอยมาก่อนใคร หลินเย่วเอ๋อร์นั่งจัดผมเรียบร้อย ใส่เสื้อผ้าเรียบสีอ่อน มือหนึ่งตรวจดูกระปุกทดลองที่วางเรียงบนถาดไม้ อีกมือหนึ่งชี้หน้าผากอาเซียงเบา ๆ เพราะสาวใช้ตัวดีเอาแต่หัวเราะคิกคักไม่หยุด

“เจ้าจะขำอะไรนักเล่า” เย่วเอ๋อร์เอ่ยน้ำเสียงเข้ม แต่หางคิ้วยังยิ้ม

อาเซียงยิ่งขำ “เมื่อวานพวกชาวบ้านพูดกันใหญ่เลยเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งตรอกเหนือ ตรอกใต้ เอาแต่พูดถึงร้านหยกมรกตของเราที่ให้ลองฟรีกันใหญ่ พวกเขายังบอกอีกว่าคุณหนูใจกล้ามาก! ของที่ให้ลองใช้ก็ดีมากด้วยเจ้าค่ะ”

หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “ให้คนลองย่อมจำง่ายกว่าขายเลย เราต้องให้พวกเขาได้ลองก่อน ถ้าของเราดีคนก็จะตามมาซื้อเอง เจ้าน่ะหัวเราคิกคักมาตั้งนาน นิ่งเสียบ้างเถอะ ประเดี๋ยวหน้าจะยับก่อนวัย” ว่าจบก็แตะคางอาเซียง ปรับองศานิดหน่อย

“ยิ้มแบบนี้สิถึงจะงาม เห็นหรือไม่ ยิ้มมากเกินไปมุมปากจะแตก”

“งั้นข้าทาบะ...บาล์มสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ” อาเซียงทำตาแป๋ว

“ได้สิ” เย่วเอ๋อร์ส่งกระปุกเล็กให้

“ทาบาง ๆ พอให้ชุ่ม อย่าทาเสียจนเหมือนจูบรังผึ้งทั้งรังล่ะ”

อาเซียงทำท่าทะเล้น “รับทราบเจ้าค่ะ!” แล้วก็หัวเราะกับเปรียบเปรยของนายสาวตนเองไม่หยุด

ไม่นาน หลินจื้อกวงกับหลินซุนซื่อก็เข้ามาในห้อง หลินซุนซื่อถือถ้วยโจ๊กหอมควันระเหย พลางชะโงกหน้ามาดู

“ยังจะไปตั้งแผงอีกหรือวันนี้ เยว่เอ๋อร์”

หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้ม “วันนี้ไม่ไปตั้งแผงเจ้าค่ะ วันนี้ไปสอบ”

“สอบ?” หลินจื้อกวงเกือบทำช้อนหล่น “เจ้าจะเข้าสอบที่ใดกัน”

อาเซียงยืดอกทำหน้าที่โฆษกทันที “สำนักโอสถไป๋เหยาเจ้าค่ะ! ทายาทสำนักโอสถไป๋เหยา ท่านไป๋จิ้งเซียวเชิญให้คุณหนูนำสูตรไปตรวจ ถ้าได้ตรารับรอง หอการค้าประจำเมืองก็ไม่กล้าห้ามขาย”

หลินซุนซื่อหน้าเครียดทันที “ไปสำนักโอสถ ที่นั่นกฎเข้มมาก เขียนตำราจนหมึกหมดสองถังยังไม่พอ ข้ากลัวเจ้าจะถูกตำหนิ”

หลินเย่วเอ๋อร์ก้มรับคำด้วยมารยาท “กฎเข้มจึงน่าเคารพเจ้าค่ะ หากผ่านได้ ของเราไปไกลแน่” นางพูดแล้วหันไปหยิบถุงผ้ามัดเชือก

“ท่านแม่อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ทำให้สกุลหลินเสียชื่อเจ้าค่ะ”

ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น บ่าวชายวิ่งหน้าตั้งเข้ามา

“เถ้าแก่ เถ้าแก่! มีคนจากหอการค้ามาขอรับ!”

ทุกคนชะงัก หลินซุนซื่อรีบเก็บช้อน ขณะที่หลินเย่วเอ๋อร์เหยียดหลังตรง ดวงตาเป็นประกาย

“มาเร็วเชียว”

ผู้มาเยือนคือชายวัยกลางคน รูปร่างท้วม แต่งกายเรียบร้อย ดวงตายิ้มแต่ไม่อ่อนแอ นามว่า เฉิงอวิ๋น หัวหน้าสมาคมการค้าเมืองเว่ยเจิน เขายกพัดไม้ขึ้นปัดลมเบา ๆ ก่อนโค้งให้ตามธรรมเนียม

“ได้ยินข่าวเมื่อวานว่าร้านหยกมรกตของสกุลหลินตั้งโต๊ะให้ชาวบ้านทดลองสินค้าฟรี ความคิดแปลกใหม่ดีนัก ข้าจึงแวะมาทักทาย”

หลินจื้อกวงเหงื่อแตกซึม “ไม่ได้ขายนะท่านเฉิง เพียงให้ลิ้มลอง เอ่อ...ทดลองทาก่อนขอรับ”

เฉิงอวิ๋นหัวเราะ “ข้าก็ไม่ได้มาจับผิด เพียงแต่อยากดูของแปลกน่ะ ข้าจะพลาดได้อย่างไร”

สายตาเขาเลื่อนไปยังถาดที่มีกระปุกเล็กบนโต๊ะ “นี่เองหรือ”

หลินเย่วเอ๋อร์ก้าวออกมาข้างหน้า “ใช่เจ้าค่ะ เป็นบาล์มน้ำผึ้งเมล็ดชา รุ่นทดลอง”

เฉิงอวิ๋นพยักหน้า ลองเปิดฝา สูดดมเบา ๆ “กลิ่นหอมดีนะ” แล้วแตะปลายนิ้วทา

“เนื้อสัมผัสลื่นมือ” เขายิ้มบาง “วันนี้จะไปสำนักโอสถหรือ”

“เจ้าค่ะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ

เฉิงอวิ๋นพับพัด “ดี ข้าชอบพ่อค้าแม่ค้าที่กล้าพิสูจน์ตนเอง มิใช่เอาแต่ส่งเสียงดังหน้าตลาด หากผ่านเกณฑ์ ข้าจะนัดเจ้ามาคุยต่อเรื่องตราหอการค้าอีกที”

เขาหรี่ตาเจ้าเล่ห์ “แต่หากไม่ผ่าน ก็อย่าให้ข้าเห็นไปตั้งแผงขายก่อนรับรองเล่า กฎก็ต้องเป็นกฎ”

หลินเย่วเอ๋อร์ค้อมศีรษะ “ท่านเฉิงตักเตือนได้ถูกต้องเจ้าค่ะ กฎคือที่พึ่งของคนทั้งตลาด”

คำตอบนั้นทำให้เฉิงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ “วาจางาม ใช้ได้” เขากล่าวลาและลงจากเรือน ทิ้งความเงียบเคร่งครู่หนึ่งไว้ด้านหลัง

หลินซุนซื่อหันมาจับมือบุตรสาวแน่น “เยว่เอ๋อร์ อย่าใจร้อนนะลูก หากเขาว่าขาดสิ่งใด เจ้าก็ต้องยอมปรับตาม อย่าเถียงให้เสียงานใหญ่”

หลินเย่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”

อาเซียงชูถุงผ้า “คุณหนู! ชุดตัวอย่าง เครื่องมือ รายการวัตถุดิบ ข้าเขียนใส่ป้ายไม้เล็ก ๆ มาให้ด้วยนะเจ้าคะ เผื่อท่านลืม” แล้วก็ทำท่าเอามือกุมแก้ม

“ข้าเขียนสวยขึ้นหรือยังเจ้าคะ”

หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะสะอาดใจ “ก็ยังเขียนตัวอ้วนเป็นเต่าอยู่”

อาเซียงทำตาโต “หา! ข้าอุตส่าห์ตั้งใจเขียนนะเจ้าคะ”

“ข้าล้อเล่น ฝีมือเจ้าพัฒนาขึ้น” เย่วเอ๋อร์เอ่ยหยอก “ไปกันเถอะ”

ถนนสู่สำนักโอสถไป๋เหยาครึ้มด้วยร่มไม้ ข้างทางมีร้านขายกระดาษยาประทับตรา กลิ่นสมุนไพรอุ่น ๆ ลอยคลุ้ง มีทั้งกลิ่นใบรสร้อนและรสเย็นปะปนจนคนที่เดินผ่านรู้สึกชุ่มปอด ยิ่งพอเข้าใกล้ประตูสำนักซึ่งเป็นซุ้มไม้สลักลายเมฆมงคลก็ยิ่งเห็นความสงบได้ชัด ด้านหน้าเขียนอักษรคำว่า “ไป๋เหยา” ตัวใหญ่

อาเซียงกระซิบ “คุณหนู เรามาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้ม “อืม หวังว่าจะผ่านนะ”

นางยังพูดได้ไม่ทันจบ ประตูก็แง้มออกโดยไม่รอให้เคาะ ชายหนุ่มชุดสีหมึกไป๋จิ้งเซียวยืนรออยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากยกน้อย ๆ ราวกับทราบเวลาล่วงหน้า

“มากันแล้วหรือ”

อาเซียงสะดุ้ง “ท่านไป๋เปิดประตูรอหรือเจ้าคะ”

“ข่าวลือเรื่องสินค้าของเจ้าแพร่ไปเร็วนัก คนของสำนักข้ายังอยากลองเลย ข้าย่อมอยากเห็นเร็ว ๆ อยู่แล้ว”

เขาเบี่ยงตัวเป็นเชิงเชื้อเชิญ “เชิญด้านใน”

ห้องตรวจวัตถุของสำนักโอสถไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่สะอาดสะอ้านจนฝุ่นละอองยังไม่กล้าเกาะ ชั้นไม้เรียงขวดแก้ว ป้ายไม้เล็กเขียนชื่อสมุนไพร ตัวอักษรเรียบคม กลางห้องมีโต๊ะเตี้ยสองใบ ตะเกียงแก้วใสวางเรียงเป็นคู่ หลินเย่วเอ๋อร์มองแวบเดียวก็รู้ว่าที่นี่เกลียดความเลอะเทอะยิ่งกว่าอะไรเสียอีก

ไป๋จิ้งเซียวผายมือ “วางตัวอย่างของเจ้าได้”

หลินเย่วเอ๋อร์วางกระปุกเล็กหกใบบนผ้าขาว อาเซียงค่อย ๆ เอาป้ายไม้เสียบข้างกระปุก มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า บาล์มน้ำผึ้งเมล็ดชา รุ่นทดลอง แล้วหันไปยิ้มให้เจ้านายสาวอย่างภูมิใจ

ชายหนุ่มเหลือบมอง “ชื่อตรงกับกลิ่น”

เขาว่า แล้วหยิบกระปุกไปเปิดฝาดูเนื้อ “ขี้ผึ้งอาจอ่อนตัวในวันที่แดดจัด”

นิ้วแตะผิวเนื้อบาง ๆ “ทาบนหลังมือแล้วซึมเร็วดี”

หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มแต่พองาม “หากวันไหนแดดจัด เราก็เก็บในที่ที่ไม่โดนแสงแดด ปิดฝาให้แน่นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ไม่ใช่เห็นว่าอากาศร้อน กลัวมันละลายแล้วเอาไปโยนลงน้ำล่ะ”

ไป๋จิ้งเซียวชะงักไปชั่ววูบ ก่อนจะหัวเราะแผ่วในลำคอ

“วาจาเจ้าแปลกดี” ดวงตาเขาใสขึ้นเล็กน้อย เหมือนไม่ได้หัวเราะเสียนาน

ทว่ายังไม่ทันได้เริ่มตรวจละเอียด ก็มีเสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้นกำลังเดินตรวเข้ามาในห้อง หญิงงามเจ้าของร้านฮวาเหมยจวงนามเจี่ยนฮวาเลื่อนพัดผ้าไหมบังมุมปาก ก้าวยิ้มเย็น

“อ้าว นี่สำนักโอสถไป๋เหยาเปิดรับของทำเล่นแล้วหรือ”

อาเซียงหันขวับ “ของทำเล่นบ้านเจ้าสิ! ของที่คุณหนูข้าทำคือของดีต่างหาก”

หลินเย่วเอ๋อร์แตะศอกให้หยุด “อาเซียง อย่าให้อารมณ์นำหน้า”

พูดจบนางก็หันไปยิ้มให้เจี่ยนฮวาอย่างดี

“แม่นางเจี่ยนฮวา ไม่คิดว่าเจ้าจะว่างมาถึงที่นี่”

เจี่ยนฮวาหัวเราะงาม “ข้าก็ย่อมว่างสิ หากไม่มาดูเสียหน่อย คนทั้งตลาดคงคิดว่าร้านฮวาเหมยจวงโดนแซงหน้าไปแล้ว”

นางชำเลืองมองกระปุกเล็ก ๆ ด้วยหางตา “กลิ่นจืดไปหน่อยนะ พวกสาว ๆ ชอบกลิ่นหอมฟุ้ง หอมมากจึงจะรู้สึกถึงความงาม”

ไป๋จิ้งเซียววางฝาลงอย่างสุขุม “ความงามไม่ใช่สิ่งที่จมูกสั่งเสมอได้ไป บางครั้งกลิ่นแรงเกินก่อให้เกิดการระคายเคืองได้”

สายตาคมกริบหันไปทางเย่วเอ๋อร์ “ข้าจะเริ่มตรวจแล้ว”

เขาวางตัวอย่างบนผ้าขาว หยิบแท่งไม้เล็กแตะเนื้อครีม ป้ายลงบนแผ่นผิวหนังจำลองที่ทำจากแผ่นหนังบางซึ่งสำนักใช้ฝึกฝนอายุรเวช ผิวหนังนั้นดูดซับช้า ๆ เงาวาวเกิดขึ้นบางเบา ไป๋จิ้งเซียวจดสังเกตสั้น ๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดมือ

“เบื้องต้น ดี” เสียงเขานิ่ง “แต่กลิ่นหอมยังแรงไปสักหน่อย หากบางคนมีผิวบอบบาง แพ้กบิ่นง่ายอาจเวียนศีรษะได้”

เจี่ยนฮวาหัวเราะ “ท่านไป๋นี่ใจแคบนะ กลิ่นแรงสิจึงจะขายดี หากกลิ่นจาง ใครจะอยากซื้อเล่า” นางเคาะพัดกับฝ่ามือ

“กลิ่นแรงดึงดูดใจบุรุษ ขายดีจนเม็ดเงินไหลมาเข้าร้านไม่ขาดสาย ข้าใช้ทุกวัน ชม้ายชายตาทีพวกผู้ชายแถบตะวันออกยังจำได้เลย”

อาเซียงกระซิบแผ่ว “เขาจำเพราะกลิ่นหรือเพราะท่าทีนาง” แล้วรีบหลบสายตาเย่วเอ๋อร์ที่แอบเขม่นให้

“ข้าเงียบแล้วเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ้งเซียววางพู่กันลง “เราจะทดสอบการแพ้แบบง่าย ๆ หลังใบหูของผู้ช่วยสำนักสองสามคน ติดแผ่นไว้ครึ่งชั่วยาม หากแดงเกินเกณฑ์ก็คือไม่ผ่าน”

เขาส่งสายตาไปยังสาวใช้และเด็กหนุ่มในชุดสำนักสองคนที่ยืนรออยู่

หลินเย่วเอ๋อร์พยักหน้า “เชิญท่านทดสอบตามสมควร”

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูอีกระลอกก็ดังหน้าห้อง เฉิงอวิ๋นหัวหน้าหอการค้าก้าวเข้ามาพร้อมพัดไม้ของเขา

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 34 กลิ่นที่ไม่เคยเลือน

    องค์ชายรองรีบเข้าประคองนางที่เริ่มทรุดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลิ่นที่ออกมาจากเตาแก้วกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนละมุน กลิ่นที่ทุกคนในลานจำได้ทันที“นั่นคือกลิ่นเดียวกันกับวันที่พิธีถวายครั้งก่อน!”ฮ่องเต้ลุกจากบัลลังก์ พระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย“กลิ่นนี้คือกลิ่นแห่งสันติ!”กลิ่นทองอ่อนค่อย ๆ แผ่ไปทั่วตำหนัก คนที่หมดสติเริ่มฟื้น ขุนนางที่สิ้นแรงกลับมายืนได้อีกครั้ง อี้เฟยถอยหลังไปอย่างสิ้นหวัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้ กลิ่นหัวใจไม่มีอยู่จริง! ไม่มีทาง!”องค์ชายรองจ้องเขา “มันมีจริง แค่เจ้าไม่เคยมีหัวใจที่หอมพอที่จะเข้าใจมัน”อี้เฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตัวหนี แต่ถูกองครักษ์หลวงเข้าล้อมจับไว้หลังเหตุการณ์สงบ ฮ่องเต้เสด็จลงจากบัลลังก์ สายพระเนตรทอดมองหลินเย่วเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า มือทั้งสองยังคงสั่น“หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า กลิ่นหัวใจของเจ้าบริสุทธิ์กว่ากลิ่นใด ๆ”ฮ่องเต้ตรัสพร้อมยิ้มบาง “ข้าขอพระราชทานตำแหน่งให้เจ้าและให้เจาดูแลหอปรุงเครื่องหอมรวมถึงหอปรุงเครื่องประทินโฉมของราชสำนักทั้งหมด”เสียงขุนนางดังขึ้นพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”องค์ชายรองหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความภ

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 33 อี้เฟย

    “กลิ่นนั้นเปลี่ยนเพราะหัวใจคนต่างหาก ไม่ใช่พิษและไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลจากความบริสุทธิ์ของผู้สร้าง”ขุนนางบางคนส่ายหน้า “ฝ่าบาท องค์ชายรองพูดเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับว่ามันมีอิทธิพลต่อจิตใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเห็นควรให้แยกทั้งสองออกจากกัน เพื่อป้องกันภัยในอนาคต!”เสียงเห็นด้วยดังขึ้นระลอกใหญ่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ“เจ้าบอกว่าให้ข้าแยกพวกเขาออกจากกันเพราะกลัวกลิ่นเช่นนั้นหรือ?”ขุนนางทุกคนก้มศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อความมั่นคงของราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร หากกลิ่นนี้ไม่ใช่อาวุธ แต่คือชีวิตของผู้คน?”ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก“เมื่อสามวันก่อน กลิ่นนี้ช่วยชีวิตคนทั้งร้านหยกมรกตจากพิษหอมที่แผ่ไปทั่ว เจ้าจะเรียกมันว่าอาวุธได้หรือ?”ขุนนางหลายคนก้มหน้าด้วยความอับอาย องค์ชายรองค้อมกาย“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตา”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่หลินเย่วเอ๋อร์ “หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงสามัญชน แต่สร้างกลิ่นที่แม้แต่สวรรค์ยังมิอาจคาดถึง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เจ้าคิดเช่นไรกับอำนาจของสิ่งที่เจ้าสร้าง?”หลินเย่วเอ๋อร์สูด

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 32 สีของหัวใจ

    เสียงนกร้องยามเช้าแว่วลอดหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ แสงแดดอ่อนจากสวนเหมยลอดผ่านผ้าม่านบาง กระทบใบหน้าของหญิงสาวที่ยังหลับใหลบนเตียง อาเซียงนั่งเฝ้าข้างเตียงด้วยตาแดง ๆ“คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าคะ ข้านั่งเฝ้าท่านมาสามวันแล้วนะ คุณหนู ฮืออ...”องค์ชายรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้น เขายังอยู่ในชุดเรียบธรรมดา สีหน้าอ่อนล้าแต่ดวงตายังคงจ้องมองนางไม่ละสาย“นางยังไม่ฟื้นเลยหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว“ยังเพคะ แต่ชีพจรกลับมาปกติแล้ว เพียงแต่อาจเหนื่อยจากการใช้พลังกลิ่นมากเกินไป” อาเซียงตอบทั้งน้ำตาองค์ชายรองลอบถอนหายใจ เขายื่นมือไปแตะหลังมือของหลินเย่วเอ๋อร์เบา ๆ และในวินาทีนั้นเอง...กลิ่นชาอุ่นปนดอกเหมยที่เคยลอยอ่อน ๆ ในห้อง เปลี่ยนเป็นกลิ่นใหม่ กลิ่นนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม แต่มีความหอมแปลก คล้ายกลิ่นหวานของกลีบเหมยผสมกลิ่นน้ำผึ้ง อาเซียงเบิกตา“องค์ชาย! กลิ่นเปลี่ยนแล้วเพคะ!”องค์ชายรองชะงักไป “กลิ่นเปลี่ยน?”เขามองรอบห้อง แสงจากหน้าต่างสาดกระทบขวดแก้วที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ขวดนั้นเปล่งสีทองอ่อนราวกับเรืองแสงจากภายใน หลินเย่วเอ๋อร์ขยับนิ้วเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น“ที่นี่คือที่ใดกัน” เสียงของนางแผ่

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 31 กลิ่นสุดท้ายของความแค้น

    “เขาคนนั้นเคยเป็นพี่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับข้า” องค์ชายรองเอ่ยช้า ๆ“เขาเคยเป็นคนที่ท่านอาจารย์เฟยหานโปรดปรานที่สุด แต่เพราะความทะเยอทะยาน เขาขโมยสูตรยาสร้างกลิ่นต้องห้าม แล้วถูกขับออกจากวัง”หลินเย่วเอ๋อร์นิ่งงัน “เขากลับมาเพื่อแก้แค้นท่าน...”“ไม่ใช่แค่ข้า” เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่เพื่อล้มล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวกับกลิ่นบริสุทธิ์ที่อาจารย์สร้างไว้”ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดคุยกันต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกห้อง อาเซียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา“คุณหนู! มีชายชุดดำเข้ามาในร้านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”องค์ชายรองหันขวับ “พาเย่วเอ๋อร์ไปหลบข้างใน!”แต่ไม่ทันแล้ว เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมลมแรงพัดกลิ่นชาเย็นจัดเข้ามาปะทะกลิ่นเหมยอบอุ่นในห้องทันที อี้เฟยก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย็นตา“ข้าเพียงมาขอชาแก้วเดียว แต่เห็นทีจะได้กลิ่นของความกลัวกลับไปด้วย”องค์ชายรองก้าวไปข้างหน้า “เจ้ากลับมาทำไม อี้เฟย”“เพื่อพิสูจน์ว่า กลิ่นของข้าเหนือกว่ากลิ่นของเจ้า และเพื่อให้คนที่เจ้ารักฃได้รู้ว่า กลิ่นเดียวกัน ฃบางครั้งก็ใช้ทำร้ายได้”อี้เฟยเปิดขวดแก้วในมือ กลิ่นชาเย็นจัดแผ่กระจายไปทั่วห้องในชั่วพริบตา หลินเย่วเอ๋อร์รู้สึกเหมือ

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 30 กลิ่นแรกแห่งหัวใจ

    สามวันหลังจากคืนฝนตกนั้น ร้านหยกมรกตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกชาหอมเอยและน้ำอบจากถังไม้ไผ่ลอยอบอวลไปทั่วร้าน อาเซียงวิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าระรื่น“คุณหนูกลับมาแล้ว! พวกพ่อค้าแม่ค้าหน้าร้านแทบตั้งโต๊ะบูชาท่านแล้ว!”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “ตั้งโต๊ะบูชาอะไรกันเล่า ข้าเพียงไปวังหลวงไม่กี่วันเอง”“ก็เพราะไม่กี่วันนั่นแหละเจ้าค่ะ! แต่กลับมาพร้อมข่าวลือว่าองค์ชายรองถึงกับทรงชงชาให้ท่านด้วยพระองค์เอง!”นางรีบปิดปากสาวใช้ “อาเซียง! ระวังคำพูดหน่อย เจ้าอยากให้ร้านข้ากลายเป็นหัวข้อซุบซิบของเมืองเว่ยเจินหรืออย่างไร”อาเซียงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าเพียงพูดความจริงนะเจ้าคะ ว่าในที่สุดกลิ่นของคุณหนูก็หอมไปถึงหัวใจคนบางคนแล้ว~”หลินเย่วเอ๋อร์กลอกตา “หากเจ้ากล้าพูดอีก ข้าจะให้เจ้าไปกวนดอกไม้ในครกทั้งวันแน่!”“ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!” อาเซียงหัวเราะวิ่งหนีไปหลังร้านหลินเย่วเอ๋อร์เดินไปยังห้องปรุงกลิ่น โต๊ะไม้เรียงรายเต็มไปด้วยขวดแก้วหลากสี วัตถุดิบหายากวางอยู่ในถาดทองแดง มีกลีบดอกบัวแห้งจากบึงอวิ๋นเฟิง และไม้หอมจากหุบผาหลงหลิว“ครั้งนี้ ข้าจะสร้างกลิ่นใหม่ให้ท่าน” นางพึมพำเบา ๆมือเรียวเริ่มบดกลีบดอ

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 29 ลมหายใจในแสงจันทร์

    เวลาผ่านไปช้า ๆ เหมือนแม่น้ำที่ไหลในความเงียบ หลินเย่วเอ๋อร์เทน้ำชารอบสองให้องค์ชายรอง กลิ่นอ่อนหวานของใบชาผสมกลีบเหมยลอยขึ้นในอากาศ เขารับถ้วยไว้ แล้วพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน“เจ้าเคยพูดว่ากลิ่นทุกกลิ่นมีความทรงจำซ่อนอยู่ เจ้าคิดว่ากลิ่นของข้าคืออะไร”หลินเย่วเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างช้า ๆ“เป็นกลิ่นของชาในคืนฝนตกเพคะ อุ่นแต่เศร้า ละมุนแต่หนักแน่น”องค์ชายรองหัวเราะเบา ๆ “ฟังดูเหมือนเจ้ามองข้าออกหมดทุกอย่าง”“เปล่าเพคะ ข้าเพียงรู้ว่าคนที่แบกความเจ็บไว้ในใจ มักจะพยายามทำให้กลิ่นรอบตัวสงบ เพื่อกลบเสียงของหัวใจตนเอง”“แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้ไหม” เขาถามตรง ๆ “ได้เพคะ”“อย่างไร”หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มบาง “ด้วยกลิ่นของความสุขที่ข้าจะปรุงให้ท่านเองอย่างไรเล่าเพคะ”องค์ชายรองมองนางเนิ่นนาน แววตาที่เคยเย็นชาเริ่มอ่อนลงทีละน้อย“ในวังแห่งนี้ เจ้าคือคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้”“เพราะข้ามิได้อยู่ในวังเพคะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ “หัวใจข้าอยู่ที่ร้านหยกมรกต ที่ซึ่งกลิ่นทุกกลิ่นและทุกอย่างเกิดจากความจริง ไม่ใช่คำลวง”เขาพยักหน้าเบา ๆ “นั่นสินะ ความจริงของเจ้ามันหอมกว่าทุกสิ่ง”ทั้งสองนั่งนิ่งมองพระ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status