รุ่งอรุณวันถัดมา ตลาดตงเหมินยังไม่เปิดดีนัก กลิ่นโจ๊กข้าวหอมก็ลอยมาก่อนใคร หลินเย่วเอ๋อร์นั่งจัดผมเรียบร้อย ใส่เสื้อผ้าเรียบสีอ่อน มือหนึ่งตรวจดูกระปุกทดลองที่วางเรียงบนถาดไม้ อีกมือหนึ่งชี้หน้าผากอาเซียงเบา ๆ เพราะสาวใช้ตัวดีเอาแต่หัวเราะคิกคักไม่หยุด
“เจ้าจะขำอะไรนักเล่า” เย่วเอ๋อร์เอ่ยน้ำเสียงเข้ม แต่หางคิ้วยังยิ้ม
อาเซียงยิ่งขำ “เมื่อวานพวกชาวบ้านพูดกันใหญ่เลยเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งตรอกเหนือ ตรอกใต้ เอาแต่พูดถึงร้านหยกมรกตของเราที่ให้ลองฟรีกันใหญ่ พวกเขายังบอกอีกว่าคุณหนูใจกล้ามาก! ของที่ให้ลองใช้ก็ดีมากด้วยเจ้าค่ะ”
หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “ให้คนลองย่อมจำง่ายกว่าขายเลย เราต้องให้พวกเขาได้ลองก่อน ถ้าของเราดีคนก็จะตามมาซื้อเอง เจ้าน่ะหัวเราคิกคักมาตั้งนาน นิ่งเสียบ้างเถอะ ประเดี๋ยวหน้าจะยับก่อนวัย” ว่าจบก็แตะคางอาเซียง ปรับองศานิดหน่อย
“ยิ้มแบบนี้สิถึงจะงาม เห็นหรือไม่ ยิ้มมากเกินไปมุมปากจะแตก”
“งั้นข้าทาบะ...บาล์มสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ” อาเซียงทำตาแป๋ว
“ได้สิ” เย่วเอ๋อร์ส่งกระปุกเล็กให้
“ทาบาง ๆ พอให้ชุ่ม อย่าทาเสียจนเหมือนจูบรังผึ้งทั้งรังล่ะ”
อาเซียงทำท่าทะเล้น “รับทราบเจ้าค่ะ!” แล้วก็หัวเราะกับเปรียบเปรยของนายสาวตนเองไม่หยุด
ไม่นาน หลินจื้อกวงกับหลินซุนซื่อก็เข้ามาในห้อง หลินซุนซื่อถือถ้วยโจ๊กหอมควันระเหย พลางชะโงกหน้ามาดู
“ยังจะไปตั้งแผงอีกหรือวันนี้ เยว่เอ๋อร์”
หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้ม “วันนี้ไม่ไปตั้งแผงเจ้าค่ะ วันนี้ไปสอบ”
“สอบ?” หลินจื้อกวงเกือบทำช้อนหล่น “เจ้าจะเข้าสอบที่ใดกัน”
อาเซียงยืดอกทำหน้าที่โฆษกทันที “สำนักโอสถไป๋เหยาเจ้าค่ะ! ทายาทสำนักโอสถไป๋เหยา ท่านไป๋จิ้งเซียวเชิญให้คุณหนูนำสูตรไปตรวจ ถ้าได้ตรารับรอง หอการค้าประจำเมืองก็ไม่กล้าห้ามขาย”
หลินซุนซื่อหน้าเครียดทันที “ไปสำนักโอสถ ที่นั่นกฎเข้มมาก เขียนตำราจนหมึกหมดสองถังยังไม่พอ ข้ากลัวเจ้าจะถูกตำหนิ”
หลินเย่วเอ๋อร์ก้มรับคำด้วยมารยาท “กฎเข้มจึงน่าเคารพเจ้าค่ะ หากผ่านได้ ของเราไปไกลแน่” นางพูดแล้วหันไปหยิบถุงผ้ามัดเชือก
“ท่านแม่อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ทำให้สกุลหลินเสียชื่อเจ้าค่ะ”
ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น บ่าวชายวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“เถ้าแก่ เถ้าแก่! มีคนจากหอการค้ามาขอรับ!”
ทุกคนชะงัก หลินซุนซื่อรีบเก็บช้อน ขณะที่หลินเย่วเอ๋อร์เหยียดหลังตรง ดวงตาเป็นประกาย
“มาเร็วเชียว”
ผู้มาเยือนคือชายวัยกลางคน รูปร่างท้วม แต่งกายเรียบร้อย ดวงตายิ้มแต่ไม่อ่อนแอ นามว่า เฉิงอวิ๋น หัวหน้าสมาคมการค้าเมืองเว่ยเจิน เขายกพัดไม้ขึ้นปัดลมเบา ๆ ก่อนโค้งให้ตามธรรมเนียม
“ได้ยินข่าวเมื่อวานว่าร้านหยกมรกตของสกุลหลินตั้งโต๊ะให้ชาวบ้านทดลองสินค้าฟรี ความคิดแปลกใหม่ดีนัก ข้าจึงแวะมาทักทาย”
หลินจื้อกวงเหงื่อแตกซึม “ไม่ได้ขายนะท่านเฉิง เพียงให้ลิ้มลอง เอ่อ...ทดลองทาก่อนขอรับ”
เฉิงอวิ๋นหัวเราะ “ข้าก็ไม่ได้มาจับผิด เพียงแต่อยากดูของแปลกน่ะ ข้าจะพลาดได้อย่างไร”
สายตาเขาเลื่อนไปยังถาดที่มีกระปุกเล็กบนโต๊ะ “นี่เองหรือ”
หลินเย่วเอ๋อร์ก้าวออกมาข้างหน้า “ใช่เจ้าค่ะ เป็นบาล์มน้ำผึ้งเมล็ดชา รุ่นทดลอง”
เฉิงอวิ๋นพยักหน้า ลองเปิดฝา สูดดมเบา ๆ “กลิ่นหอมดีนะ” แล้วแตะปลายนิ้วทา
“เนื้อสัมผัสลื่นมือ” เขายิ้มบาง “วันนี้จะไปสำนักโอสถหรือ”
“เจ้าค่ะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ
เฉิงอวิ๋นพับพัด “ดี ข้าชอบพ่อค้าแม่ค้าที่กล้าพิสูจน์ตนเอง มิใช่เอาแต่ส่งเสียงดังหน้าตลาด หากผ่านเกณฑ์ ข้าจะนัดเจ้ามาคุยต่อเรื่องตราหอการค้าอีกที”
เขาหรี่ตาเจ้าเล่ห์ “แต่หากไม่ผ่าน ก็อย่าให้ข้าเห็นไปตั้งแผงขายก่อนรับรองเล่า กฎก็ต้องเป็นกฎ”
หลินเย่วเอ๋อร์ค้อมศีรษะ “ท่านเฉิงตักเตือนได้ถูกต้องเจ้าค่ะ กฎคือที่พึ่งของคนทั้งตลาด”
คำตอบนั้นทำให้เฉิงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ “วาจางาม ใช้ได้” เขากล่าวลาและลงจากเรือน ทิ้งความเงียบเคร่งครู่หนึ่งไว้ด้านหลัง
หลินซุนซื่อหันมาจับมือบุตรสาวแน่น “เยว่เอ๋อร์ อย่าใจร้อนนะลูก หากเขาว่าขาดสิ่งใด เจ้าก็ต้องยอมปรับตาม อย่าเถียงให้เสียงานใหญ่”
หลินเย่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
อาเซียงชูถุงผ้า “คุณหนู! ชุดตัวอย่าง เครื่องมือ รายการวัตถุดิบ ข้าเขียนใส่ป้ายไม้เล็ก ๆ มาให้ด้วยนะเจ้าคะ เผื่อท่านลืม” แล้วก็ทำท่าเอามือกุมแก้ม
“ข้าเขียนสวยขึ้นหรือยังเจ้าคะ”
หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะสะอาดใจ “ก็ยังเขียนตัวอ้วนเป็นเต่าอยู่”
อาเซียงทำตาโต “หา! ข้าอุตส่าห์ตั้งใจเขียนนะเจ้าคะ”
“ข้าล้อเล่น ฝีมือเจ้าพัฒนาขึ้น” เย่วเอ๋อร์เอ่ยหยอก “ไปกันเถอะ”
ถนนสู่สำนักโอสถไป๋เหยาครึ้มด้วยร่มไม้ ข้างทางมีร้านขายกระดาษยาประทับตรา กลิ่นสมุนไพรอุ่น ๆ ลอยคลุ้ง มีทั้งกลิ่นใบรสร้อนและรสเย็นปะปนจนคนที่เดินผ่านรู้สึกชุ่มปอด ยิ่งพอเข้าใกล้ประตูสำนักซึ่งเป็นซุ้มไม้สลักลายเมฆมงคลก็ยิ่งเห็นความสงบได้ชัด ด้านหน้าเขียนอักษรคำว่า “ไป๋เหยา” ตัวใหญ่
อาเซียงกระซิบ “คุณหนู เรามาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้ม “อืม หวังว่าจะผ่านนะ”
นางยังพูดได้ไม่ทันจบ ประตูก็แง้มออกโดยไม่รอให้เคาะ ชายหนุ่มชุดสีหมึกไป๋จิ้งเซียวยืนรออยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากยกน้อย ๆ ราวกับทราบเวลาล่วงหน้า
“มากันแล้วหรือ”
อาเซียงสะดุ้ง “ท่านไป๋เปิดประตูรอหรือเจ้าคะ”
“ข่าวลือเรื่องสินค้าของเจ้าแพร่ไปเร็วนัก คนของสำนักข้ายังอยากลองเลย ข้าย่อมอยากเห็นเร็ว ๆ อยู่แล้ว”
เขาเบี่ยงตัวเป็นเชิงเชื้อเชิญ “เชิญด้านใน”
ห้องตรวจวัตถุของสำนักโอสถไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่สะอาดสะอ้านจนฝุ่นละอองยังไม่กล้าเกาะ ชั้นไม้เรียงขวดแก้ว ป้ายไม้เล็กเขียนชื่อสมุนไพร ตัวอักษรเรียบคม กลางห้องมีโต๊ะเตี้ยสองใบ ตะเกียงแก้วใสวางเรียงเป็นคู่ หลินเย่วเอ๋อร์มองแวบเดียวก็รู้ว่าที่นี่เกลียดความเลอะเทอะยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
ไป๋จิ้งเซียวผายมือ “วางตัวอย่างของเจ้าได้”
หลินเย่วเอ๋อร์วางกระปุกเล็กหกใบบนผ้าขาว อาเซียงค่อย ๆ เอาป้ายไม้เสียบข้างกระปุก มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า บาล์มน้ำผึ้งเมล็ดชา รุ่นทดลอง แล้วหันไปยิ้มให้เจ้านายสาวอย่างภูมิใจ
ชายหนุ่มเหลือบมอง “ชื่อตรงกับกลิ่น”
เขาว่า แล้วหยิบกระปุกไปเปิดฝาดูเนื้อ “ขี้ผึ้งอาจอ่อนตัวในวันที่แดดจัด”
นิ้วแตะผิวเนื้อบาง ๆ “ทาบนหลังมือแล้วซึมเร็วดี”
หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มแต่พองาม “หากวันไหนแดดจัด เราก็เก็บในที่ที่ไม่โดนแสงแดด ปิดฝาให้แน่นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ไม่ใช่เห็นว่าอากาศร้อน กลัวมันละลายแล้วเอาไปโยนลงน้ำล่ะ”
ไป๋จิ้งเซียวชะงักไปชั่ววูบ ก่อนจะหัวเราะแผ่วในลำคอ
“วาจาเจ้าแปลกดี” ดวงตาเขาใสขึ้นเล็กน้อย เหมือนไม่ได้หัวเราะเสียนาน
ทว่ายังไม่ทันได้เริ่มตรวจละเอียด ก็มีเสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้นกำลังเดินตรวเข้ามาในห้อง หญิงงามเจ้าของร้านฮวาเหมยจวงนามเจี่ยนฮวาเลื่อนพัดผ้าไหมบังมุมปาก ก้าวยิ้มเย็น
“อ้าว นี่สำนักโอสถไป๋เหยาเปิดรับของทำเล่นแล้วหรือ”
อาเซียงหันขวับ “ของทำเล่นบ้านเจ้าสิ! ของที่คุณหนูข้าทำคือของดีต่างหาก”
หลินเย่วเอ๋อร์แตะศอกให้หยุด “อาเซียง อย่าให้อารมณ์นำหน้า”
พูดจบนางก็หันไปยิ้มให้เจี่ยนฮวาอย่างดี
“แม่นางเจี่ยนฮวา ไม่คิดว่าเจ้าจะว่างมาถึงที่นี่”
เจี่ยนฮวาหัวเราะงาม “ข้าก็ย่อมว่างสิ หากไม่มาดูเสียหน่อย คนทั้งตลาดคงคิดว่าร้านฮวาเหมยจวงโดนแซงหน้าไปแล้ว”
นางชำเลืองมองกระปุกเล็ก ๆ ด้วยหางตา “กลิ่นจืดไปหน่อยนะ พวกสาว ๆ ชอบกลิ่นหอมฟุ้ง หอมมากจึงจะรู้สึกถึงความงาม”
ไป๋จิ้งเซียววางฝาลงอย่างสุขุม “ความงามไม่ใช่สิ่งที่จมูกสั่งเสมอได้ไป บางครั้งกลิ่นแรงเกินก่อให้เกิดการระคายเคืองได้”
สายตาคมกริบหันไปทางเย่วเอ๋อร์ “ข้าจะเริ่มตรวจแล้ว”
เขาวางตัวอย่างบนผ้าขาว หยิบแท่งไม้เล็กแตะเนื้อครีม ป้ายลงบนแผ่นผิวหนังจำลองที่ทำจากแผ่นหนังบางซึ่งสำนักใช้ฝึกฝนอายุรเวช ผิวหนังนั้นดูดซับช้า ๆ เงาวาวเกิดขึ้นบางเบา ไป๋จิ้งเซียวจดสังเกตสั้น ๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดมือ
“เบื้องต้น ดี” เสียงเขานิ่ง “แต่กลิ่นหอมยังแรงไปสักหน่อย หากบางคนมีผิวบอบบาง แพ้กบิ่นง่ายอาจเวียนศีรษะได้”
เจี่ยนฮวาหัวเราะ “ท่านไป๋นี่ใจแคบนะ กลิ่นแรงสิจึงจะขายดี หากกลิ่นจาง ใครจะอยากซื้อเล่า” นางเคาะพัดกับฝ่ามือ
“กลิ่นแรงดึงดูดใจบุรุษ ขายดีจนเม็ดเงินไหลมาเข้าร้านไม่ขาดสาย ข้าใช้ทุกวัน ชม้ายชายตาทีพวกผู้ชายแถบตะวันออกยังจำได้เลย”
อาเซียงกระซิบแผ่ว “เขาจำเพราะกลิ่นหรือเพราะท่าทีนาง” แล้วรีบหลบสายตาเย่วเอ๋อร์ที่แอบเขม่นให้
“ข้าเงียบแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ้งเซียววางพู่กันลง “เราจะทดสอบการแพ้แบบง่าย ๆ หลังใบหูของผู้ช่วยสำนักสองสามคน ติดแผ่นไว้ครึ่งชั่วยาม หากแดงเกินเกณฑ์ก็คือไม่ผ่าน”
เขาส่งสายตาไปยังสาวใช้และเด็กหนุ่มในชุดสำนักสองคนที่ยืนรออยู่
หลินเย่วเอ๋อร์พยักหน้า “เชิญท่านทดสอบตามสมควร”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูอีกระลอกก็ดังหน้าห้อง เฉิงอวิ๋นหัวหน้าหอการค้าก้าวเข้ามาพร้อมพัดไม้ของเขา
“ขอมายืนดูเป็นสักขีพยาน จะได้ไม่กล่าวหากันทีหลัง” เขายิ้มมุมปาก“พวกท่านอย่ากังวล ข้ามาด้วยใจเป็นกลางเจ็ดสิบส่วน อีกสามสิบเผื่อไว้โต้แย้ง”เจี่ยนฮวายิ้มงาม “ใจเป็นกลางของท่านเฉิงนับว่าดีนัก ได้ฟังแล้วข้าถึงกับอยากยกน้ำชาให้”“ยกมาเถิด ข้ากระหายอยู่พอดี” เฉิงอวิ๋นหัวเราะอย่างสนุก การทดสอบเริ่มขึ้น สาวใช้ของสำนักสามคนถูกเรียกมานั่งเรียงแถว แผ่นผิวด้านหลังใบหูถูกป้ายบาล์มบาง ๆ อย่างระมัดระวัง หลินเย่วเอ๋อร์ยืนกอดถุงผ้าไว้แน่น แต่นัยน์ตายังยิ้ม คิ้วขมวดตั้งใจราวกับกำลังคุมเตาดิน“ลมอย่าแรง แสงอย่าเปรี้ยงนะ” นางพึมพำเสียงเบา ๆ จนไป๋จิ้งเซียวเหลือบมอง แล้วเหมือนจะกลั้นขำเวลาหนึ่งเค่อไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ ทุกคนคุยกันไปเรื่อย ๆ เจี่ยนฮวาเปรยข่าวที่แพร่ตามตลาด“พักนี้แป้งขาวร้านข้าขายดีนัก พวกสาว ๆ น่ะชอบความขาววอกฉับไว ใคร ๆ ก็ชม”ยังพูดไม่ทันจบ สาวใช้คนหนึ่งก็ยกมือ “ท่านไป๋เจ้าคะ หลังใบหูข้าร้อนนิดหน่อยเจ้าค่ะ”ทุกสายตาหันไป ไป๋จิ้งเซียวรีบช้อนผมดู สีแดงชมพูจาง ๆ เกิดขึ้นเหมือนดอกทับทิมแรกแย้มเฉิงอวิ๋น “อะแฮ่ม” เขายกพัดชี้เบา ๆ “สีสวยนะ แต่ไม่ใช่เรื่องดี”อาเซียงหน้าถอดสี “หรือว่าบาล์มของคุ
รุ่งอรุณวันถัดมา ตลาดตงเหมินยังไม่เปิดดีนัก กลิ่นโจ๊กข้าวหอมก็ลอยมาก่อนใคร หลินเย่วเอ๋อร์นั่งจัดผมเรียบร้อย ใส่เสื้อผ้าเรียบสีอ่อน มือหนึ่งตรวจดูกระปุกทดลองที่วางเรียงบนถาดไม้ อีกมือหนึ่งชี้หน้าผากอาเซียงเบา ๆ เพราะสาวใช้ตัวดีเอาแต่หัวเราะคิกคักไม่หยุด“เจ้าจะขำอะไรนักเล่า” เย่วเอ๋อร์เอ่ยน้ำเสียงเข้ม แต่หางคิ้วยังยิ้มอาเซียงยิ่งขำ “เมื่อวานพวกชาวบ้านพูดกันใหญ่เลยเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งตรอกเหนือ ตรอกใต้ เอาแต่พูดถึงร้านหยกมรกตของเราที่ให้ลองฟรีกันใหญ่ พวกเขายังบอกอีกว่าคุณหนูใจกล้ามาก! ของที่ให้ลองใช้ก็ดีมากด้วยเจ้าค่ะ”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “ให้คนลองย่อมจำง่ายกว่าขายเลย เราต้องให้พวกเขาได้ลองก่อน ถ้าของเราดีคนก็จะตามมาซื้อเอง เจ้าน่ะหัวเราคิกคักมาตั้งนาน นิ่งเสียบ้างเถอะ ประเดี๋ยวหน้าจะยับก่อนวัย” ว่าจบก็แตะคางอาเซียง ปรับองศานิดหน่อย“ยิ้มแบบนี้สิถึงจะงาม เห็นหรือไม่ ยิ้มมากเกินไปมุมปากจะแตก”“งั้นข้าทาบะ...บาล์มสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ” อาเซียงทำตาแป๋ว“ได้สิ” เย่วเอ๋อร์ส่งกระปุกเล็กให้“ทาบาง ๆ พอให้ชุ่ม อย่าทาเสียจนเหมือนจูบรังผึ้งทั้งรังล่ะ”อาเซียงทำท่าทะเล้น “รับทราบเจ้าค่ะ!” แล
วันต่อมา เมื่อหลินเย่วเอ๋อร์ฟื้นตัวดีแล้ว นางนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองตลาดที่อยู่ไกลออกไป เสียงพ่อค้าแม่ค้าโวยวายต่อราคาดังลอดเข้ามาถึงในเรือน กลิ่นขนมอบสมุนไพรหอมลอยมาตามลมโชยมาแตะจมูก“ที่นี่ชื่อเมืองอะไรนะอาเซียง?” นางเอ่ยถามอาเซียง“เมืองเว่ยเจินเจ้าค่ะ เมืองการค้าทางตอนใต้ของแคว้นอวี้”“อืม...” หลินเย่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ“แล้วตระกูลหลินของเราก็ทำแค่อาชีพค้าขายอย่างเดียวเหรอ หรือยังมีอย่างอื่นอีกไหม”“ใช่เจ้าค่ะ นายท่านค้าขายชาและสมุนไพรเจ้าค่ะ ช่วงนี้การค้าซบเซาเพราะร้านคู่แข่งเปิดใหม่หลายเจ้า เลยขายไม่ค่อยดีนักเจ้าค่ะ”หญิงสาวหรี่ตา “แสดงว่าสกุลหลินเป็นพ่อค้าระดับกลาง มีฐานะพออยู่ได้แต่ก็ไม่ถึงขั้นร่ำรวย ถ้าจะเริ่มกิจการเกี่ยวกับความงามใหม่ ก็ต้องเริ่มจากศูนย์จริง ๆ! แต่ก็น่าสนใจนะเนี่ย”นางหันไปมองกระปุกแป้งบนโต๊ะ กลิ่นแปลก ๆ ลอยขึ้นมา พอเปิดฝาดูก็เห็นผงขาววอกจนแสบตา“นี่อะไรน่ะอาเซียง!”“แป้งทาหน้าของคุณหนูเจ้าค่ะ เป็นของร้านฮวาเหมยจวงในตลาด ชาวบ้านว่ากันว่าทาแล้วขาวทันตาเลยนะเจ้าคะ”“ขาวทันตาหรือตายทันตากันแน่!” หลินเย่วเอ๋อร์แทบจะโยนกระปุกทิ้ง“นี่มันกลิ่นสารโลหะชัด ๆ
เสียงตะโกนโวกเวกโวยวายปนความตกใจของสาวใช้ดังระงม สาวใช้คนหนึ่งทั้งร้องไห้ ร้องเรียก พลางเขย่าผู้เป็นเจ้านายไม่หยุด“คุณหนู! คุณหนู ฟื้นสิเจ้าคะ! คุณหนู!”เสียงนั้นดังลอดมาจากระยะไกล ก่อนที่ความมืดในจิตใจจะค่อย ๆ แยกออกเหมือนม่านหมอกสาวใช้ร่างเล็กนามว่าอาเซียง นั่งร้องไห้อยู่ข้างบ่อน้ำ พอเห็นเปลือกตาของผู้เป็นเจ้านายขยับ นางก็ตาวาวด้วยความดีใจ น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด“สวรรค์คุ้มครอง! คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูยังไม่ตาย!”หลินเย่วเอ๋อร์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาคมหวานสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านต้นเหมย เสียงนกร้องและเสียงลมพัดประสานกันราวกับกำลังบรรเลงบทเพลงต้อนรับคนจากอีกภพ แต่สิ่งแรกที่นางเห็นก็คืออาเซียงที่กำลังร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลรวมกันเป็นสาย สาวใช้ตัวน้อยคนนั้นน้ำตาไหลอาบแก้ม“นางเป็นใคร...” เสียงแหบพร่าเอ่ยเบา ๆอาเซียงรู้สึกตกใจและงุนงงในเวลาเดียวกัน“คุณหนูจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ ข้าอาเซียง! สาวใช้ที่อยู่ข้างกายคุณหนูมาตั้งแต่เล็ก!”“อาเซียง?” หลินเยว่หลานขมวดคิ้ว“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นี่กำลังถ่ายละครกัยอยู่เหรอ”“คุณหนูพูดอะไรเจ้าคะ พูดจาประหลาดนัด ข้าไม่เข้าใจ”นางพยายามจะลุก แต่ก
ภาพนั้นอาจเป็นเพียงเงาดวงไฟสะท้อน แต่หัวใจคนที่สู้ชีวิตจนชนะมาได้นับครั้งไม่ถ้วนอย่างหลินเยว่หลาน นางรู้ดีว่าสัญชาตญาณไม่เคยโกหกลิฟต์สแตนเลสส่องเงาคนสองคนที่ยืนเคียงกัน หลินเยว่หลานซบผนังลิฟต์เพื่อหายใจ หูอื้อเหมือนกำลังดำน้ำ ซูเหม่ยหรงยืนข้าง ๆ กดชั้นล่าง มือข้างหนึ่งพยุงไหล่ แล้วอีกข้างถือโทรศัพท์ค้างบนหน้าจอแผนที่โรงพยาบาล ทุกอย่างดูเหมือนเป็นความช่วยเหลือที่ดีและถูกต้องประตูลิฟต์เปิด ทว่าเวลารอรถกลับกลายเป็นเหมือนบททดสอบที่นอกจากจะเจ็บตัวแล้วยังต้องเจ็บใจเงียบ ๆ หลินเยว่หลานเอียงคอมองท้องฟ้า เมฆดำโผล่มาแทนที่ดาวอย่างว่องไว นางยิ้มกับตัวเอง“โชคดีจัง ลืมพกร่ม...” แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน อารมณ์ขันยังทำงานแม้ตัวนางอยู่ในสภาพที่แย่รถของซูเหม่ยหรงจอดอยู่ตรงลานจอดรถ เมื่อทั้งคู่มาถึงรถ ซูเหม่ยหรงจับแขนหลินเยว่หลานพานางขึ้นเบาะหน้า ขณะคาดเข็มขัด นางเอ่ยเสียงราบเรียบ“อย่าหลับนะ พูดกับฉันไปเรื่อย ๆ”หลินเยว่หลานมองเส้นไฟบนถนนที่ยืดยาว นางเริ่มเล่าเรื่องต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ“ฉันเคยปิดฝาลิปสลับกันด้วยนะ เพราะมีลิปหลายแท่ง ช่วงหัดแต่งหน้าใหม่ ๆ ทาไปทามาลิปไปติดฟัน สรุปฟันแดงเหมือน
ค่ำวันศุกร์ปลายฤดูร้อน เมืองใหญ่สว่างวาบด้วยป้ายไฟและเสียงรถยนต์พ่นลมหายใจยาวไม่รู้เหนื่อย คอนโดหรูย่านธุรกิจที่ว่ากันว่าวิวดีระดับพรีเมียม มีเลาจน์บนชั้นดาดฟ้าสำหรับนั่งรับประทานอาหาร จิบเครื่องดื่ม ไปพร้อมกับบรรยาศที่ดีแบบสุด ๆเสียงรองเท้าส้นเสียงดังจิกพื้นเหมือนโน้ตดนตรี หลินเยว่หลานเข้ามาอย่างมั่นใจ หญิงสาวที่แม้ไม่ต้องพยายามแต่งสวยก็เด่นสะดุดตา นางคือบิวตี้บล็อกเกอร์ตัวท็อป ผู้ติดตามหลักล้าน คลิปแนะนำสกินแคร์ 7 วันสวยด้วยหน้าสดของนางถูกแชร์อย่างถล่มทลายค่ำนี้นางแต่งตัวสวยแบบเรียบหรู แต่งหน้าอ่อน ๆ เบา ๆ หน้าผิวฉ่ำแบบน้ำค้าง ตาเรียวสวยดูใจดีและดื้อในเวลาเดียวกัน ชุดเดรสไหมสีน้ำนมไหลลู่ เหมาะกับแสงโกลเด้นของไฟระย้าที่คลอไปกับเพลงแจ๊สเบา ๆจานเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟ เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ราวกับประกายดาว หลินเยว่หลานยิ้มให้ซูเหม่ยหรง เพื่อนนสาวคนสนิทที่อยู่ข้างนางมาตั้งแต่เริ่มทำคลิปแรก“ดีลคืนนี้ตกลงแล้ว นับว่าเราเริ่มต้นได้ดีทีเดียว” นางพูดเสียงเบาแต่ชัด“แบรนด์ของเราจะเปิดพรีออเดอร์เดือนหน้า”ซูเหม่ยหรงสวยคมแบบแม่เสือสาว ยิ้มเก่งจนคนรอบข้างรู้สึกสบายใจง่าย นางหัวเราะนุ่ม“ฉัน