Share

ตอนที่ 6 แก้ไขให้ดูต่อหน้า

Author: Bosskerr
last update Huling Na-update: 2025-10-21 22:34:52

“ขอมายืนดูเป็นสักขีพยาน จะได้ไม่กล่าวหากันทีหลัง” เขายิ้มมุมปาก

“พวกท่านอย่ากังวล ข้ามาด้วยใจเป็นกลางเจ็ดสิบส่วน อีกสามสิบเผื่อไว้โต้แย้ง”

เจี่ยนฮวายิ้มงาม “ใจเป็นกลางของท่านเฉิงนับว่าดีนัก ได้ฟังแล้วข้าถึงกับอยากยกน้ำชาให้”

“ยกมาเถิด ข้ากระหายอยู่พอดี” เฉิงอวิ๋นหัวเราะอย่างสนุก

 การทดสอบเริ่มขึ้น สาวใช้ของสำนักสามคนถูกเรียกมานั่งเรียงแถว แผ่นผิวด้านหลังใบหูถูกป้ายบาล์มบาง ๆ อย่างระมัดระวัง หลินเย่วเอ๋อร์ยืนกอดถุงผ้าไว้แน่น แต่นัยน์ตายังยิ้ม คิ้วขมวดตั้งใจราวกับกำลังคุมเตาดิน

“ลมอย่าแรง แสงอย่าเปรี้ยงนะ” นางพึมพำเสียงเบา ๆ จนไป๋จิ้งเซียวเหลือบมอง แล้วเหมือนจะกลั้นขำ

เวลาหนึ่งเค่อไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ ทุกคนคุยกันไปเรื่อย ๆ เจี่ยนฮวาเปรยข่าวที่แพร่ตามตลาด

“พักนี้แป้งขาวร้านข้าขายดีนัก พวกสาว ๆ น่ะชอบความขาววอกฉับไว ใคร ๆ ก็ชม”

ยังพูดไม่ทันจบ สาวใช้คนหนึ่งก็ยกมือ “ท่านไป๋เจ้าคะ หลังใบหูข้าร้อนนิดหน่อยเจ้าค่ะ”

ทุกสายตาหันไป ไป๋จิ้งเซียวรีบช้อนผมดู สีแดงชมพูจาง ๆ เกิดขึ้นเหมือนดอกทับทิมแรกแย้ม

เฉิงอวิ๋น “อะแฮ่ม” เขายกพัดชี้เบา ๆ “สีสวยนะ แต่ไม่ใช่เรื่องดี”

อาเซียงหน้าถอดสี “หรือว่าบาล์มของคุณหนู จะไม่ผ่าน!”

หลินเย่วเอ๋อร์ขยับเข้าไปอย่างสุขุม “ท่านไป๋ เหตุเพราะกลิ่นใช่หรือไม่”

น้ำเสียงประคองสถานการณ์ ราวกับกุมบังเหียนม้าให้ไม่ตกใจ

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอลองลดความหอมของกลิ่นลงหนึ่งส่วนได้หรือไม่”

เจี่ยนฮวาทำเสียงจิ๊จ๊ะ “แหม ยังไม่ทันสรุปผลก็ขอลดเสียแล้ว นั่นแปลว่าเจ้าเดาเอามั่ว ๆ สินะ”

ไป๋จิ้งเซียวกลับพยักหน้า “คาดไม่ผิดนัก กลิ่นเข้มในหนึ่งเค่อแรก ทำให้มีโอกาสแพ้สูง” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มีวัตถุเสริมกลิ่นใดบ้าง”

หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้ม “เป็นกลิ่นจากดอกเหมยอบแห้งในหม้ออุ่น ละอองหอมจับน้ำมัน” นางเว้นวรรค แล้วยกถุงผ้าขึ้น

“ข้านำน้ำมันเมล็ดชาเพิ่มมา เพื่อผสมลดความหอมให้จางลง ท่านพอจะอนุญาตให้ข้าใช้ครัวของสำนักสักครู่ได้หรือไม่”

ไป๋จิ้งเซียวเลิกคิ้ว “กล้าปรับสด ๆ ตรงนี้เลยหรือ?”

“กฎของข้า เอ่อ...ของร้านหยกมรกต คือยอมลดสิ่งที่เกินพอดีเพื่อสิ่งที่จำเป็น” นางยังไม่ทิ้งมุมตลก

“พอเราลดกลิ่นที่เกินพอดีลง คนใช้ก็จะไม่เวียนหัวเพราะกลิ่นที่แรงเกินไป แบบนี้จะได้มีแรงชื่นชมความงามของตนได้อย่างยาวนาน”

เฉิงอวิ๋นหัวเราะร่วน “วาจาคมคายนัก ในทางการค้าแบบนี้ถือว่าดี!” เขาหันไปทางไป๋จิ้งเซียว

“เปิดครัวให้เถิด ข้าก็อยากเห็นฝีมือสด ๆ เช่นกัน”

ไป๋จิ้งเซียวพยักหน้า “ตามมา”

ครัวของสำนักโอสถสะอาดเรียบ มีเตาดินสองปาก หม้อดินเคลือบเรียงอยู่เป็นระเบียบ หลินเย่วเอ๋อร์ตั้งหม้อเล็ก ไฟอ่อนพออุ่นนางหยดน้ำมันเมล็ดชาลงทีละหยด กวนรวมกับบาล์มอย่างตั้งใจ ก้อนขี้ผึ้งละลายเพื่อรับการปรับใหม่ อาเซียงยืนพนมมือเหมือนขอพร เท้าเขย่ง ๆ อยู่หลังนายสาว

“อย่าเขย่งนัก เจ้าเหมือนนกกระจาบจะบินตกหม้ออยู่แล้วนะ” หลินเย่วเอ๋อร์ว่าพลางยิ้ม

อาเซียงทำหน้ามุ่ย “ก็ข้าตื่นเต้นนี่เจ้าคะ ตอนนี้ใจเต้นเหมือนเสียงกลองหน้าวัดวันตรุษเลยเจ้าค่ะ”

“ให้แค่ใจเต้นก็พอ ตัวเจ้าน่ะอย่าเต้นหยอง ๆ ไปด้วยสิ เดี๋ยวข้าก็เสียสมาธิหรอก” เย่วเอ๋อร์แซว แล้วตั้งใจทำต่อ

“ลดกลิ่นลงหนึ่งส่วนครึ่งก็พอแล้ว”

ไป๋จิ้งเซียวยืนพิงขอบโต๊ะอย่างสงบ สายตาเขาอ่านท่วงท่ามือของนางเหมือนอ่านตำราอักษรวิจิตร

“ท่วงท่ามือดี ไม่รีบไม่ร้อน”

เจี่ยนฮวาขยับพัด “ลดกลิ่นก็เหมือนลดเสน่ห์ สตรีก็ย่อมอยากให้บุรุษจำพวกนางได้ด้วยกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหล แม้จะผ่านไปสามตรอกก็ยังไม่ลืมกลิ่น”

เฉิงอวิ๋นยิ้มร้าย ๆ “ผ่านไปสามตรอกยังจำกลิ่นได้ แต่หากสามวันถัดมาหน้าเสียโฉม ใครจะรับผิด”

เขายักคิ้ว “ร้านเจ้าหรือสำนักข้า”

เจี่ยนฮวาหุบพัดช้า ๆ แววตาวูบหนึ่งแล่นผ่าน แต่ก็กลับมายิ้มดังเดิม

“ข้าระวังอยู่แล้ว”

ไม่นาน หลินเย่วเอ๋อร์ก็ยกหม้อลงจากเตาไฟ เทบาล์มลงกระปุกเล็กใหม่ ปะฝาแน่นก่อนส่งให้ไป๋จิ้งเซียว

“เชิญท่านไป๋ลองดู”

เขาเปิดฝา สูดดมเบา ๆ ตากะพริบหนึ่งครั้งราวกับผ่านเกณฑ์ในใจ

“กลิ่นลดลงได้พอดี ยังคงเอกลักษณ์ แต่ไม่ฉุนจมูก”

เขาหยดลงบนแผ่นผิวจำลองอีกครั้ง เนื้อบาล์มเกลี่ยง่าย ผิวสัมผัสเย็นนุ่ม

“ทดสอบหลังใบหูอีกครั้ง” เขาสั่ง

สาวใช้คนเดิมนั่งตัวตรง สูดหายใจลึกอย่างกล้าหาญ แผ่นบางถูกแตะเบา ๆ คราวนี้ทุกคนจดจ่อรอเวลาอย่างตั้งใจ หนึ่งเค่อผ่านไป ไป๋จิ้งเซียวก้มตรวจ หลังใบหูยังเนียนดั่งเดิม ไม่มีแดงเถือกเหมือนคราวก่อน

อาเซียงทำท่าจะกระโดด “ผ่าน! ผ่าน!” ถ้าไม่ติดว่ายืนในสำนักไป๋เหยาอันเงียบสงบ นางคงตีลังกาไปแล้ว

เฉิงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ “โอ้ เห็นหรือไม่ ความงามน่ะบางครั้งก็ไม่ต้องทำอะไรกับมันมากไปหรอก”

เจี่ยนฮวายิ้มค้างครู่หนึ่ง ก่อนคลี่พัดบังตนเอง มุมปากกระตุกน้อยจนแทบไม่เห็น

“ดีใจด้วย”

ไป๋จิ้งเซียวยังมิประกาศผลทั้งหมด เขาวางกระปุกลงพลางเอ่ยเสียงนิ่ง

“การทดสอบการแพ้เบื้องต้นผ่าน แต่ยังต้องดูการเก็บรักษา ความคงตัวในอากาศร้อน และรายชื่อวัตถุดิบหลักเพื่อบันทึกในสำนัก จึงจะออกหนังสือรับรองให้เจ้าให้ได้”

หลินเย่วเอ๋อร์ประสานมือ “ข้ายินยอมเขียนวัตถุดิบหลักให้แต่ไม่ขอเปิดเผยสูตรนะเจ้าคะ”

เฉิงอวิ๋นพยักหน้า “ถูกต้อง ตามทางการค้า ใครเขาเปิดเผยทุกอย่างกันเล่า”

เขาหรี่ตา “ข้าจะรอเอกสารไปลงประทับตรา แต่เกณฑ์สุดท้ายยังไม่เสร็จ รอให้ท่านไป๋สั่งมาก่อนแล้วกัน”

ชายหนุ่มเงยหน้า ดวงตานิ่งลึก “เกณฑ์สุดท้ายจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก”

อาเซียงกลืนน้ำลาย “คือสิ่งใดกันเจ้าคะ สรุปแล้งยากหรือง่าย”

ไป๋จิ้งเซียวมองหลินเย่วเอ๋อร์ตรง ๆ “ให้ข้าเห็นด้วยตาตนเอง ว่าเจ้าขายอย่างไร ถึงจะขายได้โดยไม่จำเป็นต้องขาย ที่หน้าตลาดตงเหมิน อีกเพียงหนึ่งวัน ข้าจะไปยืนดูอย่างเงียบ ๆ หากมีคนกลับมาเรียกหาสินค้าของเจ้าโดยไม่ได้ถูกหว่านล้อมให้ซื้อ นั่นแปลว่าสิ่งที่เจ้าทำได้ใจลูกค้า หนังสือรับรองก็สมควรเป็นของเจ้า”

คำพูดนั้นทำให้ห้องทดสอบของสำนักเงียบจนได้ยินเสียงน้ำหยดจากฝาหม้อ ทุกคนหันไปมองเย่วเอ๋อร์ นางยิ้มเต็มใบหน้า ยิ้มแบบคนที่รู้หน้ารู้หลังและรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“ได้เจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะเริ่ม ข้าจะไม่ป่าวประกาศขาย หว่านล้อมหรือบังคับให้คนซื้อ แต่ข้าเชื่อว่าสินค้าของข้าจะขายตัวมันเอง”

เฉิงอวิ๋นทำตาวาวอย่างคนเห็นเหยี่ยวกางปีก “คำมั่นของแม่นางหลินช่างคมเสียจริง”

เจี่ยนฮวาคลี่พัดแรง “ข้าก็จะไปยืนดูด้วย อยากรู้นักว่าเจ้าจะทำได้อย่างปากว่าหรือไม่”

“ยิ่งดี” หลินเย่วเอ๋อร์เอ่ยสุภาพ “จะได้มีพยานมากขึ้น”

นางก้มคารวะ “ข้าขอลาทุกท่านไปเตรียมตัวให้พร้อม”

ไป๋จิ้งเซียวพยักหน้าเบา ๆ “พบกันพรุ่งนี้”

เมื่อออกจากสำนักโอสถ อาเซียงวิ่งจ้ำตามนายสาว

“คุณหนู! ข้านึกว่าจะไม่ผ่านเสียแล้วตอนที่หลังใบหูแม่นางผู้นั้นแดงเมื่อครู่”

หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะสบายใจ “ข้าก็นึกว่าจะไม่ผ่านเช่นกัน ตอนนั้นก็ใจหวิว ๆ แล้ว”

“แล้วพรุ่งนี้จะตั้งโต๊ะเช่นเดิมหรือเจ้าคะ”

“ตั้ง” นางตอบฉับ “แต่เปลี่ยนป้าย”

“เขียนว่าอะไรดีเจ้าคะ”

หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มกริ่ม พลางเอ่ย

ร้านหยกมรกต เปิดลงชื่อสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ เมื่อทางร้านเปิดขาย จะส่งให้ถึงบ้านทันที

อาเซียงเบิกตากว้าง “โอ้โห! เล่ห์กลนี้ ยอดเยี่ยมเจ้าค่ะคุณหนู แค่เห็นป้ายก็อยากลงชื่อแล้วเจ้าค่ะ! ข้ายังอยากลงชื่อเลย”

หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “เจ้านี่นะ อยากลงชื่อก็ลงเถอะ แต่อย่าเขียนสิบชื่อเชียว ข้าไม่มีแรงส่งให้เจ้านะ”

นางคิดครู่หนึ่ง “กลับเรือนเถิด ต้องเตรียมกระดานลงชื่อและเตรียมตัวให้พร้อม กลับไปบอกข่าวดีกับท่านพ่อม่านแม่ด้วย”

ทั้งสองหัวเราะคุยกันระหว่างทาง กลิ่นสมุนไพรยังลอยตามหลัง ทว่าที่มุมถนนห่างออกไป เงาร่างหนึ่งในชุดกำมะหยี่เข้มยืนพิงเสา ชำเลืองตามทั้งคู่ด้วยแววตาอ่านยาก ริมฝีปากยกเพียงนิด คล้ายกับคนที่กำลังนับเม็ดเงินในใจหรือกำลังนับกับดักในหัว

และฟ้ายามบ่ายวันนั้น ก็เริ่มมีเมฆหนาขึ้นทีละก้อน...

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 34 กลิ่นที่ไม่เคยเลือน

    องค์ชายรองรีบเข้าประคองนางที่เริ่มทรุดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลิ่นที่ออกมาจากเตาแก้วกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนละมุน กลิ่นที่ทุกคนในลานจำได้ทันที“นั่นคือกลิ่นเดียวกันกับวันที่พิธีถวายครั้งก่อน!”ฮ่องเต้ลุกจากบัลลังก์ พระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย“กลิ่นนี้คือกลิ่นแห่งสันติ!”กลิ่นทองอ่อนค่อย ๆ แผ่ไปทั่วตำหนัก คนที่หมดสติเริ่มฟื้น ขุนนางที่สิ้นแรงกลับมายืนได้อีกครั้ง อี้เฟยถอยหลังไปอย่างสิ้นหวัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้ กลิ่นหัวใจไม่มีอยู่จริง! ไม่มีทาง!”องค์ชายรองจ้องเขา “มันมีจริง แค่เจ้าไม่เคยมีหัวใจที่หอมพอที่จะเข้าใจมัน”อี้เฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตัวหนี แต่ถูกองครักษ์หลวงเข้าล้อมจับไว้หลังเหตุการณ์สงบ ฮ่องเต้เสด็จลงจากบัลลังก์ สายพระเนตรทอดมองหลินเย่วเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า มือทั้งสองยังคงสั่น“หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า กลิ่นหัวใจของเจ้าบริสุทธิ์กว่ากลิ่นใด ๆ”ฮ่องเต้ตรัสพร้อมยิ้มบาง “ข้าขอพระราชทานตำแหน่งให้เจ้าและให้เจาดูแลหอปรุงเครื่องหอมรวมถึงหอปรุงเครื่องประทินโฉมของราชสำนักทั้งหมด”เสียงขุนนางดังขึ้นพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”องค์ชายรองหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความภ

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 33 อี้เฟย

    “กลิ่นนั้นเปลี่ยนเพราะหัวใจคนต่างหาก ไม่ใช่พิษและไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลจากความบริสุทธิ์ของผู้สร้าง”ขุนนางบางคนส่ายหน้า “ฝ่าบาท องค์ชายรองพูดเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับว่ามันมีอิทธิพลต่อจิตใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเห็นควรให้แยกทั้งสองออกจากกัน เพื่อป้องกันภัยในอนาคต!”เสียงเห็นด้วยดังขึ้นระลอกใหญ่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ“เจ้าบอกว่าให้ข้าแยกพวกเขาออกจากกันเพราะกลัวกลิ่นเช่นนั้นหรือ?”ขุนนางทุกคนก้มศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อความมั่นคงของราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร หากกลิ่นนี้ไม่ใช่อาวุธ แต่คือชีวิตของผู้คน?”ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก“เมื่อสามวันก่อน กลิ่นนี้ช่วยชีวิตคนทั้งร้านหยกมรกตจากพิษหอมที่แผ่ไปทั่ว เจ้าจะเรียกมันว่าอาวุธได้หรือ?”ขุนนางหลายคนก้มหน้าด้วยความอับอาย องค์ชายรองค้อมกาย“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตา”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่หลินเย่วเอ๋อร์ “หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงสามัญชน แต่สร้างกลิ่นที่แม้แต่สวรรค์ยังมิอาจคาดถึง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เจ้าคิดเช่นไรกับอำนาจของสิ่งที่เจ้าสร้าง?”หลินเย่วเอ๋อร์สูด

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 32 สีของหัวใจ

    เสียงนกร้องยามเช้าแว่วลอดหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ แสงแดดอ่อนจากสวนเหมยลอดผ่านผ้าม่านบาง กระทบใบหน้าของหญิงสาวที่ยังหลับใหลบนเตียง อาเซียงนั่งเฝ้าข้างเตียงด้วยตาแดง ๆ“คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าคะ ข้านั่งเฝ้าท่านมาสามวันแล้วนะ คุณหนู ฮืออ...”องค์ชายรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้น เขายังอยู่ในชุดเรียบธรรมดา สีหน้าอ่อนล้าแต่ดวงตายังคงจ้องมองนางไม่ละสาย“นางยังไม่ฟื้นเลยหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว“ยังเพคะ แต่ชีพจรกลับมาปกติแล้ว เพียงแต่อาจเหนื่อยจากการใช้พลังกลิ่นมากเกินไป” อาเซียงตอบทั้งน้ำตาองค์ชายรองลอบถอนหายใจ เขายื่นมือไปแตะหลังมือของหลินเย่วเอ๋อร์เบา ๆ และในวินาทีนั้นเอง...กลิ่นชาอุ่นปนดอกเหมยที่เคยลอยอ่อน ๆ ในห้อง เปลี่ยนเป็นกลิ่นใหม่ กลิ่นนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม แต่มีความหอมแปลก คล้ายกลิ่นหวานของกลีบเหมยผสมกลิ่นน้ำผึ้ง อาเซียงเบิกตา“องค์ชาย! กลิ่นเปลี่ยนแล้วเพคะ!”องค์ชายรองชะงักไป “กลิ่นเปลี่ยน?”เขามองรอบห้อง แสงจากหน้าต่างสาดกระทบขวดแก้วที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ขวดนั้นเปล่งสีทองอ่อนราวกับเรืองแสงจากภายใน หลินเย่วเอ๋อร์ขยับนิ้วเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น“ที่นี่คือที่ใดกัน” เสียงของนางแผ่

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 31 กลิ่นสุดท้ายของความแค้น

    “เขาคนนั้นเคยเป็นพี่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับข้า” องค์ชายรองเอ่ยช้า ๆ“เขาเคยเป็นคนที่ท่านอาจารย์เฟยหานโปรดปรานที่สุด แต่เพราะความทะเยอทะยาน เขาขโมยสูตรยาสร้างกลิ่นต้องห้าม แล้วถูกขับออกจากวัง”หลินเย่วเอ๋อร์นิ่งงัน “เขากลับมาเพื่อแก้แค้นท่าน...”“ไม่ใช่แค่ข้า” เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่เพื่อล้มล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวกับกลิ่นบริสุทธิ์ที่อาจารย์สร้างไว้”ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดคุยกันต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกห้อง อาเซียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา“คุณหนู! มีชายชุดดำเข้ามาในร้านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”องค์ชายรองหันขวับ “พาเย่วเอ๋อร์ไปหลบข้างใน!”แต่ไม่ทันแล้ว เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมลมแรงพัดกลิ่นชาเย็นจัดเข้ามาปะทะกลิ่นเหมยอบอุ่นในห้องทันที อี้เฟยก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย็นตา“ข้าเพียงมาขอชาแก้วเดียว แต่เห็นทีจะได้กลิ่นของความกลัวกลับไปด้วย”องค์ชายรองก้าวไปข้างหน้า “เจ้ากลับมาทำไม อี้เฟย”“เพื่อพิสูจน์ว่า กลิ่นของข้าเหนือกว่ากลิ่นของเจ้า และเพื่อให้คนที่เจ้ารักฃได้รู้ว่า กลิ่นเดียวกัน ฃบางครั้งก็ใช้ทำร้ายได้”อี้เฟยเปิดขวดแก้วในมือ กลิ่นชาเย็นจัดแผ่กระจายไปทั่วห้องในชั่วพริบตา หลินเย่วเอ๋อร์รู้สึกเหมือ

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 30 กลิ่นแรกแห่งหัวใจ

    สามวันหลังจากคืนฝนตกนั้น ร้านหยกมรกตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกชาหอมเอยและน้ำอบจากถังไม้ไผ่ลอยอบอวลไปทั่วร้าน อาเซียงวิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าระรื่น“คุณหนูกลับมาแล้ว! พวกพ่อค้าแม่ค้าหน้าร้านแทบตั้งโต๊ะบูชาท่านแล้ว!”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “ตั้งโต๊ะบูชาอะไรกันเล่า ข้าเพียงไปวังหลวงไม่กี่วันเอง”“ก็เพราะไม่กี่วันนั่นแหละเจ้าค่ะ! แต่กลับมาพร้อมข่าวลือว่าองค์ชายรองถึงกับทรงชงชาให้ท่านด้วยพระองค์เอง!”นางรีบปิดปากสาวใช้ “อาเซียง! ระวังคำพูดหน่อย เจ้าอยากให้ร้านข้ากลายเป็นหัวข้อซุบซิบของเมืองเว่ยเจินหรืออย่างไร”อาเซียงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าเพียงพูดความจริงนะเจ้าคะ ว่าในที่สุดกลิ่นของคุณหนูก็หอมไปถึงหัวใจคนบางคนแล้ว~”หลินเย่วเอ๋อร์กลอกตา “หากเจ้ากล้าพูดอีก ข้าจะให้เจ้าไปกวนดอกไม้ในครกทั้งวันแน่!”“ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!” อาเซียงหัวเราะวิ่งหนีไปหลังร้านหลินเย่วเอ๋อร์เดินไปยังห้องปรุงกลิ่น โต๊ะไม้เรียงรายเต็มไปด้วยขวดแก้วหลากสี วัตถุดิบหายากวางอยู่ในถาดทองแดง มีกลีบดอกบัวแห้งจากบึงอวิ๋นเฟิง และไม้หอมจากหุบผาหลงหลิว“ครั้งนี้ ข้าจะสร้างกลิ่นใหม่ให้ท่าน” นางพึมพำเบา ๆมือเรียวเริ่มบดกลีบดอ

  • ทะลุมิติมาเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องประทินโฉม   ตอนที่ 29 ลมหายใจในแสงจันทร์

    เวลาผ่านไปช้า ๆ เหมือนแม่น้ำที่ไหลในความเงียบ หลินเย่วเอ๋อร์เทน้ำชารอบสองให้องค์ชายรอง กลิ่นอ่อนหวานของใบชาผสมกลีบเหมยลอยขึ้นในอากาศ เขารับถ้วยไว้ แล้วพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน“เจ้าเคยพูดว่ากลิ่นทุกกลิ่นมีความทรงจำซ่อนอยู่ เจ้าคิดว่ากลิ่นของข้าคืออะไร”หลินเย่วเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างช้า ๆ“เป็นกลิ่นของชาในคืนฝนตกเพคะ อุ่นแต่เศร้า ละมุนแต่หนักแน่น”องค์ชายรองหัวเราะเบา ๆ “ฟังดูเหมือนเจ้ามองข้าออกหมดทุกอย่าง”“เปล่าเพคะ ข้าเพียงรู้ว่าคนที่แบกความเจ็บไว้ในใจ มักจะพยายามทำให้กลิ่นรอบตัวสงบ เพื่อกลบเสียงของหัวใจตนเอง”“แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้ไหม” เขาถามตรง ๆ “ได้เพคะ”“อย่างไร”หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มบาง “ด้วยกลิ่นของความสุขที่ข้าจะปรุงให้ท่านเองอย่างไรเล่าเพคะ”องค์ชายรองมองนางเนิ่นนาน แววตาที่เคยเย็นชาเริ่มอ่อนลงทีละน้อย“ในวังแห่งนี้ เจ้าคือคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้”“เพราะข้ามิได้อยู่ในวังเพคะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ “หัวใจข้าอยู่ที่ร้านหยกมรกต ที่ซึ่งกลิ่นทุกกลิ่นและทุกอย่างเกิดจากความจริง ไม่ใช่คำลวง”เขาพยักหน้าเบา ๆ “นั่นสินะ ความจริงของเจ้ามันหอมกว่าทุกสิ่ง”ทั้งสองนั่งนิ่งมองพระ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status