LOGINหลินอัน บุตรสาวแม่ทัพผู้ถูกมองเป็นเพียงหมากการเมือง ถูกดึงเข้าสู่เกมชิงบัลลังก์ที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและการแก้แค้น ทว่ากลับได้หัวใจขององค์ชายเยี่ยนหยาง—ชายผู้เด็ดขาดแต่ยอมอ่อนโยนให้เธอเพียงคนเดียว ท่ามกลางวังหลังที่คุกรุ่น ทั้งคู่ต้องร่วมกันต่อสู้ ศัตรูในเงามืด และความลับที่อาจทำลายทุกอย่าง เมื่อความรักต้องแลกด้วยเลือดพวกเขาจะก้าวไปถึงปลายทางที่เรียกว่าความสุขได้หรือไม่…
View Moreลมหอบหนึ่งพัดผ่านกระจกบานกว้างของคฤหาสน์ตระกูลหลิน ราวกับต้องการเตือนให้หลินอันตั้งสติ แต่ทว่าความเจ็บร้าวที่กลางอกกลับทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก เสียงพูดคุยคุ้นเคย—เสียงที่เธอไว้ใจที่สุดกลับทำให้โลกทั้งใบพังทลายลงอย่างไร้ชิ้นดี
“ดีเหมือนกันนะที่มันตายนั่นแหละ” เสียงหัวเราะของ ไป๋เสวี่ยอัน เพื่อนสนิทที่เธอรักเหมือนพี่น้อง ดังลอดมาจากประตูที่แง้มไว้ “ก็เพราะแกนี่แหละ ถึงได้จัดการได้เนียนขนาดนั้น” ชายเสียงทุ้มตัวสูงที่เธอเคยเห็นเป็นคนดี—แฟนของเธอ—ตอบกลับ หัวใจหลินอันเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ เธอตั้งใจเพียงจะเอาของฝากมาให้เพื่อนหลังกลับจากต่างจังหวัด แต่กลับได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินที่สุดในชีวิต “หลินอัน…แค่ของเล่น ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง ใครจะไปทนคบกับผู้หญิงน่าเบื่อนั่นได้ล่ะ” เสียงหัวเราะเหยียดหยันตามมา มันคือเสียงของคนที่เคยบอกรักเธอ ขาเธออ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว แต่ก็ยังยื้อประตูไว้ไม่ให้เปิดออก เธอรู้ดีว่าหากถูกพบตอนนี้ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้อีก “อย่างน้อยเธอก็ตายไปแล้ว เรื่องมันก็จบสักที” ไป๋เสวี่ยอันพูดอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “เอาจริง ๆ ฉันเคยอยากฆ่ามันตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ้ำ รำคาญ!” หลินอันตัวสั่นราวกับถูกโยนลงไปในน้ำแข็ง เธอเม้มริมฝีปากแน่น ตัวร้อนผ่าวตรงหัวตา ขณะที่เธอหันหลังเดินอย่างไร้จุดหมาย เสียงประตูเปิดดัง แอ๊ด…เธอรีบหลบหลังเสาก่อนที่ทั้งคู่จะเดินผ่านไป ดวงตาที่เคยบริสุทธิ์สั่นไหวด้วยความเจ็บปวดแต่ตอนนั้นเอง—บางสิ่งที่เหมือนฟ้าลิขิตก็เกิดขึ้นเพราะในจังหวะที่เธอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเธอสะดุดตกบันไดทั้งชั้น ตุบ! ตุบ! ตุบ! โลกมืดสนิทเสียงสุดท้ายในหู คือเสียงหัวเราะของทั้งคู่ที่ยืนมอง…ไม่ช่วย ไม่สน ไม่แม้แต่ตกใจ --- 🌗 ความว่างเปล่าหนึ่ง—ก่อนการเกิดใหม่ หลินอันลืมตาขึ้นพร้อมกลิ่นกำยานอ่อน ๆ ผนังไม้แกะลายมังกรโบราณ หน้าต่างทรงจีน และเสียงคนรับใช้ดังมาจากภายนอก “คุณหนูหลินอัน ฟื้นแล้วหรือเพคะ!” หลินอันเด้งตัวขึ้นนั่งด้วยความตกใจ นี่มัน…ห้องแบบนี้ เธอเคยเห็นในหนังจีนไม่—ไม่ใช่สิ มันคือ ฉากในนิยายเรื่องหนึ่ง นิยายที่เธอเคยอ่านก่อนตาย เรื่องราวที่ตัวประกอบหญิงชื่อ “หลินอัน” ถูกครอบครัวทอดทิ้ง และถูกส่งไปเป็นตัวตายตัวแทน ไปแต่งงานกับองค์ชายที่เล่าลือว่าอัปลักษณ์และเลือดเย็น เธอหันไปมองกระจกทองเหลืองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาหญิงในกระจกคือเธอ แต่ในเวอร์ชันจีนโบราณ “ขะ…ข้าอยู่ในนิยายงั้นหรือ” หัวใจเธอเต้นแรง ร้อนผ่าว ความจริงหนึ่งถาโถมเข้ามา—เธอไม่ได้ตาย แต่หลุดเข้ามาในนิยายที่ตัวเองเคยอ่าน และสิ่งที่แย่ที่สุดคือ…ในนิยายต้นฉบับ ตัวละคร “หลินอัน” ตายในคืนแรกของการแต่งงาน เพราะองค์ชายที่ได้ชื่อว่า “จันทราอัปลักษณ์ เย็นชา และไร้หัวใจ” สั่งให้ประหารเธอ --- 🌙 ราชสารที่เปลี่ยนชะตา ไม่ทันที่หลินอันจะตั้งตัวเสียงคนใช้ตะโกนหน้าบ้านก็ดังขึ้น “ราชสำนักส่งราชสารถึงบ้านตระกูลหลิน!!” ใจเธอร่วงวูบนี่มันฉากที่เธออ่านมาก่อนแล้ว…คนใช้เปิดม้วนราชสารประกาศเสียงดัง “พระบัญชา! ให้สกุลหลินส่ง ‘คุณหนูหลินอัน’ เข้าวังไปเป็นพระชายาของ องค์ชายเยี่ยนหยาง องค์ชายจันทรา ในวันขึ้นสิบห้าเดือนหน้า!” บิดาและแม่เลี้ยงของหลินอันยิ้มออกมาอย่างโล่งใจพวกเขา…รู้ว่าการส่งเธอไปเท่ากับกำจัดเธอทิ้งโดยไม่ต้องลงมือเอง น้ำเสียงแม่เลี้ยงเยาะเย้ย “อันอัน เจ้าควรดีใจนะ ได้เป็นพระชายาองค์ชายจันทราเชียวนะ ฮึ” มันคือความดีใจที่ได้กำจัดเธอและเธอรู้ดีว่าจุดจบของตัวเองตามต้นเรื่องคือความตาย แต่แล้วสิ่งที่ทำให้หัวใจเธอหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะคือ—เสียงหัวเราะเย็นชาเบื้องหลังของเธอ ไป๋เสวี่ยอัน…คนที่ฆ่าเธอในโลกเดิมกำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลินพร้อมรอยยิ้มพอใจ หญิงสาวในชุดจีนโบราณเช่นกันแต่แววตา—แววตาเดียวกับในโลกนั้นแววตาที่เคยแทงเธอจนตายเธอก็หลุดเข้ามาในนิยายนี้เช่นกัน “ดีจังเลยนะ…อันอัน” ไป๋เสวี่ยอันยิ้มเหมือนงู “ชาตินี้เจ้าคงไม่รอดเหมือนเดิมสินะ?” หลินอันเม้มปากแน่นหัวใจเธอร้อนระอุชาติก่อนเธอหนีไม่พ้นแต่ชาตินี้—เธอจะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไปเสียงราชสารยังไม่ทันจางไป ดวงตาหญิงสาวเปล่งประกายแข็งกร้าวขึ้นเธอกำหมัดแน่น “ชาตินี้…ข้าจะไม่ยอมตายง่าย ๆ อีกแล้ว” ลมยามค่ำพัดแรงจนโคมไฟหน้าตำหนักสั่นไหว แสงสลัวทอดเงายาวบนพื้นหินเย็นเฉียบ หญิงสาวในชุดนักโทษสีหม่นถูกนำตัวมายังกระท่อมว่างแห่งหนึ่งชานเมือง—สถานที่ที่มีเพียงผู้แพ้ในเกมการเมืองเท่านั้นที่ถูกส่งมา หลินอันถูกผลักเบา ๆ ให้อยู่กลางลาน เธอหายใจช้า พยายามไม่ให้ความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า เสียงฝีเท้าเรียบหนักก้าวเข้ามาจากในความมืดชายผู้สวมชุดคลุมดำขลิบเงินเดินออกมา ใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคมเข้มราวกับกำลังมองทะลุทุกความลับของโลก องค์ชายเยี่ยนหยางเขาหยุดยืนตรงหน้าเธอ—ไม่ใกล้ไม่ไกลแต่เพียงเท่านั้น ก็ทำให้หัวใจเธอเต้นรัวราวถูกกักไว้ในกำมือของเขา เยี่ยนหยางพูดเสียงเรียบ เงียบ แต่ชัดเจนจนลมหายใจของเธอสะดุด “เจ้า…คือหลินอัน บุตรีแม่ทัพหลิน” หลินอันค้อมศีรษะ แต่ไม่ก้มหนีสายตาของเขา “เพคะ” เขามองเธออยู่นาน—นานเสียจนเธอเริ่มไม่แน่ใจว่าควรหายใจเมื่อไรดวงตานั้นไม่ใช่ความเกลียดชังไม่ใช่การดูแคลนแต่เป็นสายตาที่อ่านทุกอย่างอย่างเงียบงัน…เย็นชา แต่ไม่ผลักไส ในที่สุด เขาก็เอ่ยเบา ๆ “เจ้ากำลังถูกคนทั้งวังตามฆ่า” “เพราะข้า…เป็นคนเดียวที่พาเจ้าออกมาได้” หลินอันเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “เหตุใดพระองค์ถึงช่วยหม่อมฉันเพคะ?” เขาไม่ตอบเพียงเดินผ่านเธอไปทีละก้าวเมื่ออยู่ข้างหลังเธอ เสียงทุ้มเย็นก็เอ่ยขึ้นราวคำท้าทายที่ไร้อารมณ์ใด ๆ “ถ้าอยากหนี…ก็หนีไปได้ ข้าไม่ห้าม” “ประตูหลังเปิดอยู่ เจ้าจะเลือกชีวิตตัวเองก็ไม่ผิด” หลินอันนิ่งงันลมพัดแรงจนเสื้อคลุมเธอสั่นถ้าเป็นใครคนอื่น—คงวิ่งทันทีไม่มีใครปฏิเสธเส้นทางรอดแต่นางกลับก้าวเท้าเดียว แล้วหยุดยืนอยู่ที่เดิมเหมือนยึดพื้นหินเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เยี่ยนหยางหยุดเดินหันหน้ากลับมามองเธอด้วยสายตาที่คราวนี้…มีประกายบางอย่างที่บอกไม่ถูก ไม่ใช่ประหลาดใจแต่เหมือนกำลังประเมินเธอใหม่ทั้งหมดหลินอันเงยหน้าขึ้นเสียงมั่นคงกว่าหัวใจของตนเอง “หม่อมฉัน…ไม่หนีเพคะ” ดวงตาคมกริบคู่นั้นค่อย ๆ หรี่ลงเล็กน้อยคล้ายยอมรับ คล้ายเอ็นดู คล้ายอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่ตั้งใจให้ปรากฏ เขาเดินกลับมาหยุดตรงหน้าเธออีกครั้งระยะที่ใกล้ขึ้นกว่าเดิมจนหลินอันต้องกลั้นหายใจ “ทำไมไม่หนี?” เขาถามเสียงเย็น แต่เบากว่าครั้งแรก “เพราะหม่อมฉันเชื่อว่า…พระองค์ช่วยหม่อมฉัน ไม่ใช่เพราะอยากเห็นหม่อมฉันตายเพคะ” คราวนี้…เงียบไปนานกว่าเดิมนานจนลมหายใจของเธอแทบติดคอแล้วเยี่ยนหยางก็กล่าวเบา ๆ แต่หนักแน่น “หลินอัน เจ้าจะเป็นปัญหาให้ข้าแน่ๆ” เป็นคำที่ไม่ใช่คำชมแต่กลับทำให้หัวใจเธอสั่นเขาหันหลัง—แต่ไม่เดินหนีอีกทว่ากล่าวเหมือนเป็นคำสั่งที่ตัดสินชะตาเธอในวินาทีนั้น “ตั้งแต่วันนี้ เจ้าอยู่กับข้า” น้ำเสียงไม่มีอารมณ์ทว่า…ละเอียดอ่อนกว่าเดิมนิดหนึ่งราวกับยอมให้เธอก้าวเข้ามาในชีวิตเขาทีละก้าวโดยไม่รู้ตัว หลินอันก้มศีรษะ “เพคะ” องค์ชายเยี่ยนหยางมองเพียงครู่ก่อนจะเดินนำเธอเข้าสู่ความมืดของคืน—คืนแรกที่ชะตาทั้งสองเริ่มผูกกันโดยไม่มีใครรู้หลังจากหลินอันกล่าวยืนยันหนักแน่นว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ”ลานหน้าตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบอึดอัดครู่หนึ่งเยี่ยนหยางยืนหันหลังให้เธอราวกับกำลังตัดสินใจบางอย่างแต่จริง ๆ แล้วในใจของเขากำลังโหมกระหน่ำอย่างประหลาด ทำไมสายตาของสตรีผู้นี้…ถึงคุ้นเคยนัก? ยามหล่อนเงยหน้ามองเขาความกล้า ความตรงไปตรงมาแม้กระทั่งท่าทางเก็บแขนเสื้อเล็กน้อยขณะเดินขึ้นขั้นบันไดทุกอย่างช่าง—เหมือนเขาเคยเห็นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาไม่เคยพบหลินอันอย่างน้อย…ในชาตินี้เขาสูดลมหายใจสั่งคนคุมตำหนักสั้นๆ “พานางไปยังเรือนรอง จัดคนดูแลให้เรียบร้อย” ขณะที่องครักษ์ก้มหัวรับคำเยี่ยนหยางปรายตามองหลินอันอีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกับที่ลมยามค่ำพัดผมเธอให้ปลิวเล็กน้อยและเธอ…ยกมือปัดผมทัดหูด้วยท่าที่เหมือนเขาเคยเห็นมานับพันครั้งหัวใจเขาสะดุดดึงสายตากลับทันทีอย่างไม่เข้าใจตัวเอง --- 🍂 ระหว่างทางไปเรือนรอง หลินอันเดินผ่านลานด้านในที่ประดับด้วยโคมกระดาษสีแดงทุกก้าวเธอรู้สึกเหมือนมีสายตาหนึ่งจ้องตามเธออยู่ แต่พอหันกลับไป องค์ชายเยี่ยนหยางก็ยืนเงียบใต้เงาเสาไม้ดวงตาคมลึกคู่นั้นจ้องมาที่เธอเหมือนไม่ตั้งใจแต่ไม่ปิดบัง หลินอันยื่นคำนับ เขาไม่พูดอะไร แต่ไม่ละสายตาจนเธอเดินพ้นกำแพงไป --- 🌙 ภายในตำหนัก คืนนั้น เยี่ยนหยางนั่งอยู่ในตำหนักอ่านบันทึกทางทหาร แต่สายตากลับเลื่อนจากตัวหนังสือไปยังประตูอย่างไร้เหตุผล ร่างสูงเอนหลังพิงเก้าอี้แนวคิ้วขมวดเล็กน้อย เหตุใดจึงรู้สึกคล้าย…คุ้นกับนาง? เหมือนเคยพูดกับนาง เคยยืนข้างนาง…แม้กระทั่งเคยนั่งมองสีหน้าเหล่านั้นมาก่อน? เขาวางพู่กันลงยกนิ้วแตะขมับอย่างหงุดหงิดเป็นครั้งแรกในหลายปีที่ความคิดของเขาไม่เป็นระเบียบ ร่างเงาของอวี้เสวียน ขันทีประจำตำหนักเดินเข้ามา “องค์ชาย ทรงมิพักผ่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนหยางตอบเสียงเรียบแต่แฝงความครุ่นคิด “สตรีผู้นั้น…แปลก” อวี้เสวียนไหวตัว “แปลก…ในทางใดพ่ะย่ะค่ะ?” องค์ชายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบสั้นๆ อย่างที่แม้แต่ตนเองก็ไม่แน่ใจ “รู้สึกเหมือนข้า…รู้จักนางมานานแล้ว” อวี้เสวียนเบิกตา “แต่องค์ชายเพิ่งพบคุณหนูหลินอันวันนี้—” “ข้ารู้” เขาตัดบททันทีเสียงเย็นขึ้นเล็กน้อยเพราะรำคาญตัวเองมากกว่าคนตรงหน้า เยี่ยนหยางลุกขึ้นยืนเดินไปยังหน้าต่างเปิดรับแสงจันทร์ลมเย็นพัดชุดยาวของเขาเบาๆ ภาพหลินอันยืนบนลานเมื่อครู่ใบหน้าสว่างด้วยแสงโคมดวงตาเต็มไปด้วยความเชื่อใจที่ไร้เหตุผลลอยซ้อนขึ้นในหัวของเขา เขาสูดลมหายใจลึกพูดกับตัวเองมากกว่าขันที “คงเพราะวันนี้ข้าเหนื่อย…จึงรู้สึกเพ้อเจ้อไปกระมัง” แต่หัวใจกลับเต้นช้าลงไม่ได้ทุกครั้งที่คิดถึงเธอ --- 🍃 เรือนรอง — ในคืนนั้น หลินอันเพิ่งอาบน้ำเสร็จผมยาวยังเปียกหมาดเธอเดินไปที่หน้าต่างเห็นเงาตำหนักองค์ชายอยู่ไกลๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดแต่หัวใจก็เต้นแรง “ท่าทางเขา…เปลี่ยนไปนิดหนึ่ง” เธอพึมพำกับตัวเองใบหน้าแตะสีแดงอ่อนๆ โดยไม่รู้ตัวท่าทางขององค์ชายสายตาของเขาแม้จะเย็นชา แต่เหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่เหมือนว่าเขา…กำลังพยายามนึกให้ออกว่าเธอเป็นใคร --- 🌙 กลับไปที่ตำหนักองค์ชาย เยี่ยนหยางลืมตาขึ้นอีกครั้งทั้งที่ควรหลับไปแล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างฉับพลันภาพหนึ่ง? ความรู้สึกหนึ่ง? หรือเสียง? บางอย่างแว้บเข้ามาในหัวโดยที่เขาควบคุมไม่ได้ เป็นภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่หันมายิ้มให้เขา—ยิ้มแบบเดียวกับหลินอันตอนยืนหน้าลานตำหนักเขากัดฟันแน่นขมวดคิ้วเข้าหากัน นี่มัน…อะไรกันแน่? เขาไม่เคยเชื่อเรื่องชาติภพแต่ในคืนนี้ เขากลับฝันถึงหญิงที่เหมือนหลินอันไม่มีผิด แม้จะไม่เห็นหน้าอย่างชัดเจน แต่ความรู้สึก “คุ้นเคย” ก็ชัดเจนราวกับพายุพัด เยี่ยนหยางกระซิบเบา ๆ แม้ไม่มีใครได้ยิน “เจ้ากลับมาทำให้ข้าวุ่นวายตั้งแต่วันแรกเลยหรือ…หลินอัน” น้ำเสียงเย็นแต่แฝงความอบอุ่นบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรบนโต๊ะอาหารไม้หอมภายในตำหนักหลงเยว่ มีเพียงเสียงช้อนกระทบถ้วยเบาๆ กับเสียงลมยามค่ำที่พัดผ่านม่านหน้าต่าง หลิงอันนั่งกินข้าวอย่างสำรวมท่วงท่าเรียบร้อยตามแบบสตรีในวังแต่ไม่ถึงกับเกร็ง—เป็นความสบายที่ไม่ต้องเสแสร้ง ตรงข้ามกันองค์ชายเยี่ยนหยาง… กลับไม่ได้แตะตะเกียบมานานแล้วสายตาของเขาหยุดอยู่ที่นาง ไม่ใช่เพราะอาหารไม่ถูกปากแต่เพราะภาพตรงหน้ามันทับซ้อนกับความทรงจำที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ในอดีต—ในชีวิตของ เฟิงเหยาหญิงสาวคนหนึ่งเคยนั่งตรงนี้ยิ้มให้เขาแบบเดียวกัน เรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอย่ามัวแต่มอง ข้าวจะเย็นเสียก่อน” “….” เยี่ยนหยางหลุบตาลงช้าๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางโดยไม่รู้ตัวหลิงอันชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท…?” “อาหารไม่ถูกพระโอษฐ์หรือเจ้าคะ” คำถามนั้นดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน “ไม่” เสียงขององค์ชายต่ำ นุ่มกว่าที่เคย “เพียงแต่…” เขาหยุดคำพูดราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ “…เจ้ากินแล้ว ดู…สบายใจดี” หลิงอันชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ “เพราะที่นี่คือ ตำหนักของหม่อมฉันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” “หม่อมฉันคิดว่า…การกินข้าวอย่างสงบ คือความสุขเล็ก ๆ ที่ควรรักษาไว้” คำต
แสงอรุณอ่อนสาดลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในตำหนักหลงเยว่ หลิงอันลืมตาขึ้นช้า ๆ ราวกับไม่คุ้นชินกับความเงียบสงบเช่นนี้ ในอดีต…เวลานี้เธอคงต้องลุกขึ้นก่อนฟ้าสาง เตรียมรับคำดูแคลน คำสั่ง และการกลั่นแกล้งแต่ในชาตินี้—ไม่มีเสียงใดเร่งเร้า ไม่มีใครตะโกน มีเพียงกลิ่นชาหอมจาง ๆ และเสียงฝีเท้าเบาที่คุ้นเคย “ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านในหลิงอันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมอง องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ข้างโต๊ะชา ชุดสีเข้มเรียบง่าย แต่สะอาดเนี้ยบ ใบหน้าเย็นชาตามเคย ทว่าดวงตากลับอ่อนลงอย่างที่เธอเริ่มคุ้น “เพคะ” หลิงอันตอบ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง “หม่อมฉันตื่นสายหรือไม่” เยี่ยนหยางส่ายหน้า “ยังไม่ถึงยามเช้า ข้าเพียง… คิดว่าเจ้าคงไม่ชินกับที่นี่” คำว่า ไม่ชิน ทำให้หลิงอันยิ้มบางๆ รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของหญิงสาวอ่อนแอในนิยายแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดมามากเกินพอ “หม่อมฉันชินกับที่ใดก็ตาม… หากไม่ต้องระวังว่าจะมีใครผลักตกบันไดอีก” คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบรรยากาศในตำหนักเงียบลงฉับพลัน เยี่ยนหยางชะงักมือที่ยกถ้วยชาค้างกลางอากาศสายตาคมเข้มจับจ้องนางนิ่ง—ไม่ใช่ด้วยความไม่พอใจ แต่เป็น
ตำหนักหลงเยว่ในยามค่ำสงัดเงียบมีเพียงเสียงลมพัดต้องผ้าม่าน หลิงอันนั่งอยู่ในห้องรองรับอันกว้างใหญ่ รอองค์ชายเยี่ยนหยางตามมารยาทของชายาใหม่ แม้เขาไม่เคยสั่งให้นางรอเลยก็ตาม ในนิยาย… องค์ชายเยี่ยนหยางไม่สนใจแม้แต่มองหน้าชายาแรกพบด้วยซ้ำ…แต่วันนี้ เขากลับช่วยข้าจากการล้ม… แม้สีพระพักตร์จะยังเย็นชาเหมือนเดิมก็ตาม ขณะที่ความคิดสับสนวนเวียนอยู่ เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินหินหน้าตำหนัก เงาร่างสูงในชุดองค์ชายสีดำทองก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ประตูเปิดออก องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ตรงนั้น—คิ้วเข้ม ดวงตาเย็นสงบ แต่แววลึกในดวงตานั้น… แปลกประหลาด คล้ายจับจ้องนางคล้าย… คุ้นเคยเสียอย่างนั้น หลิงอันรีบลุกขึ้นคุกเข่า “ถวายพระพรเพคะ พระองค์กลับมาแล้ว” เยี่ยนหยางเดินตรงเข้ามาโดยไม่สั่งให้นางลุกขึ้นเสียก่อน แต่กลับหยุดยืนตรงหน้า มองนางอย่างพิจารณา แทบจะนานเกินมารยาทขององค์ชายผู้สุขุม “เจ้า…” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแผ่วลง “หน้าตาคล้ายคนคนหนึ่ง” หลิงอันเงยหน้าขึ้น “คล้ายผู้ใดเพคะ?” เยี่ยนหยางส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับไม่อาจระบุได้ “ไม่รู้… แต่มันทำให้ข้าไม่อยากเมินเฉยใส่เจ้าอย่างที่ตั้งใจไว้” เขาพูดด้วยน้ำเส
สายลมนิ่งสงบของเช้าวันถัดมา ไม่ต่างจากความนิ่งเงียบภายในตำหนักรองที่หลิงอันต้องย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราวหลังอภิเษก หลิงอันในชุดชายาฉบับเรียบง่าย—ผ้าไหมสีอ่อนปักลายเมฆบาง—ยืนเงียบอยู่ริมบานหน้าต่าง มองบรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยต้นเหมยกำลังเริ่มผลิบาน ทว่าในใจกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า เมื่อคืน…หลังถูกพาตัวกลับจวน องค์ชายเยี่ยนหยางไม่ได้ตรัสอะไรอีก นอกจากให้คนพาหล่อนกลับตำหนักรอง เหมือนต้องการเว้นระยะห่าง เหมือนกำลังคิด…หรือกำลังระแวง… หลิงอันไม่แน่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน—สายตาของเขาในวินาทีนั้นมันคุ้นเคยจนน่ากลัว เหมือนเขากำลังจ้อง “นาง” ตัวตนของหล่อนก่อนมาอยู่ในจวนใหม่… ก่อนหล่อนจะลบตนเองออกจากสายตาเขาไปเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่านางคือใคร หรืออาจ…ยังไม่แน่ใจเท่านั้น --- ช่วงสาย องค์ชายเยี่ยนหยางเสด็จออกจากตำหนักเพื่อไปศาลาว่าราชการฝ่ายทหาร เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักรองรีบวิ่งวุ่นขึ้น เพราะก่อนเสด็จพระองค์ทรงรับสั่งให้คนเตรียมสิ่งหนึ่ง “พระชายาเพคะ องค์ชายทรงมีรับสั่งให้เข้ารับพระบัญชาในสวนด้านในเพคะ”นางกำนัลคนสนิทรายงานด้วยท่าทีเกรงตัว หลิงอันสะดุ้งเล็กน้





