กลับไปที่สวนไผ่ไกลผู้คน ซึ่งยามนี้พี่ชายแสนดีของซินเยว่ ยังคงยืนได้ไม่มั่นคงนักแต่ปากก็ไม่วายพ่นคำด่าทอนางไม่หยุด
“คอยดูเถอะนังสารเลวข้าจะฟ้องท่านแม่ ให้ท่านแม่สั่งโบยเจ้ากับแม่ของเจ้าให้ตาย”
ไม่ต้องรอให้จบคำด่าทอซินเยว่ก็วิ่งเข้าไป กระโดดถีบตรงกลางลำตัวของซีห่าวจนกระเด็นไปตกในกอไผ่ “อ้ากกกกก”
“เช่นนั้นก่อนที่ข้าจะถูกโทษโบยจากแม่ของเจ้า ข้าควรจัดการเจ้าให้หนัก ๆ เป็นการขอบคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน” นางยิ้มเยาะไปหนึ่งกรุบ
“โอ้ยยย ซินเยว่นังสารเลวเลี้ยงไม่เชื่อง นังบะ อั่ก!! แค่ก ๆ ๆ” ยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกว่ามีเม็ดอะไรสักอย่าง ไหลลงคออย่างรวดเร็วและตอนนี้ก็เริ่มเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
“พูดไร้สาระอยู่ได้ ตอนนี้เป็นทีของข้าที่ต้องพูดบ้าง รู้สึกเช่นไรที่ต้องกลายเป็นที่รองรับอารมณ์และถูกทุบตี เจ็บหรือไม่เล่า ในตอนที่ข้าโดนเจ้ากับพวกสหายเหล่านั้นทำกับข้า ๆ ก็เจ็บปวดเป็นเหมือนกัน เพราะข้าเป็นคนไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ได้” ซีห่าวทำได้แค่จ้องมองไปที่ซินเยว่ เขารู้สึกว่านางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากจนเขาเริ่มหวาดกลัว
“นี่ ๆ ๆ อย่ามองประหนึ่งว่าข้าเป็นคนเลวร้ายสิ เรื่องในวันนี้มันก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง จริงไหม?” นางถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาเขา
ตัวซีห่าวมัวแต่นึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ เมื่อได้สติกลับมาซินเยว่ก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“เสิ่นซีห่าวเจ้าคิดว่าจะทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อยู่เหนือผู้อื่นได้นานอีกเท่าไหร่ แค่เพราะเจ้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของจวนนี้ ทุกคนต้องคอยเอาใจประจบประแจงเจ้างั้นรึ ตั้งสติแล้วฟังสิ่งที่ข้าจะพูดให้ดี ตั้งแต่เล็กจนโตบิดาเจ้าล้วนตามใจ ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวตักเตือนแม้เจ้าจะทำเรื่องที่ผิดก็ตาม เป็นเพราะอะไรน่ะหรือ
เพราะเขาเลิกคาดหวังในตัวเจ้าตั้งนานแล้ว สงสัยใช่ไหมว่าทำไม ข้าจะบอกความลับของบิดาเจ้าให้เอาบุญ ความลับนั้นก็คือบิดาของเจ้ามีบุตรชายคนใหม่ ที่เกิดจากหญิงสาวที่เขาเลี้ยงดูเอาไว้ที่หัวเมืองทางใต้ เป็นไงตกใจมากงั้นเหรอ” นางมองไปที่ใบหน้าของคนที่ตกใจเบิกตาอ้าปากค้าง
“ฉะนั้น หากเจ้าไม่อยากเป็นบุตรที่ถูกละเลย ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่บิดาที่มีบุตรชายทำตัวเสเพลไร้สาระไปวัน ๆ ก่อเรื่องจนต้องตามล้างตามเช็ดไม่หยุดหย่อน คิดว่าเขาจะทำเพื่อเจ้าได้อีกนานแค่ไหนกัน ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดีแต่ถ้าไม่เชื่อที่ข้าพูด เจ้าก็ลองให้คนของมารดาเจ้าไปสืบข่าวดูก็จะรู้เอง
อั้ยโย่ว! เกิดมารดาเจ้ารู้เรื่องนี้จะเป็นยังไงนะ ส่วนยาที่เจ้ากินลงไปมันจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้ไปอีกเจ็ดราตรี ในขณะที่รอให้ยาหมดฤทธิ์เจ้าก็ทบทวนการกระทำของตนเองให้มาก สิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ” ยาเม็ดนั้นท่านเทพคนดีอุตส่าห์ให้มากินแล้วจะเปล่งเสียงไม่ได้
‘ท่านเทพกำลังส่งเสริมให้ข้าเป็นคนร้ายกาจ รังแกคนอ่อนแอกว่าหรือเปล่านะ คิ ๆ ๆ ไม่เอาไม่พูดข้าออกจะเป็นคนดี อีกตั้งหลายวันกว่าจะกลับมาพูดได้ ถึงตอนนั้นข้ากับท่านแม่คงไปไกลจากเมืองหลวงแล้วล่ะ’
เรื่องจดหมายนั่นซินเยว่บังเอิญเจอ ตอนที่นางแอบเข้าไปที่ห้องหนังสือของนายท่านเสิ่น มันถูกซ่อนเอาไว้อย่างดีแต่ก็ไม่รอดจากสายตาของซินเยว่ได้ ดูจากสีของกระดาษคงจะผ่านมาเกือบสิบปีแล้วกระมัง ไม่รู้ว่าส่งมาให้ผู้ใดใจความในจดหมายบอกว่า นายท่านเสิ่นได้เลี้ยงดูหญิงสาวเอาไว้ที่ชายแดน และมีบุตรชายด้วยกันแล้วหนึ่งคน จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ซินเยว่ไม่สนใจหรอก แค่ได้ปั่นหัวคนเล่นก็พอไว้นางค่อยไปถามท่านแม่อีกที
จากนั้นประมาณสองเค่อ ก็มีบ่าวไพร่วิ่งมาในส่วนไผ่หกถึงเจ็ดคน ช่วยกันแบกคุณชายใหญ่ที่เอาแต่นั่งนิ่ง ทุกคนแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีเสียงโอดโอยของคนที่บาดเจ็บเลยสักนิด
‘ฟ่านหรูอวี้ถ้าเจ้าเห็นบุตรชายสุดที่รักบาดเจ็บบ้าง ท่านจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่มารดาของข้ารู้สึกหรือไม่’
พวกบ่าวไพร่ช่วยกันหามเปล ที่มีร่างของคุณชายใหญ่กลับมาที่เรือน แต่เจอเข้ากับฮูหยินเอกเสียก่อน“อาห่าวลูกแม่! นี่มันเกิดอะไรขึ้นใครเป็นคนทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บถึงเพียงนี้!” ฮูหยินตกใจเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน ทันทีที่เห็นสภาพของบุตรชาย จึงหันไปถามความกับบ่าวคนสนิทของซีห่าว“ฉู่เหอ ใครเป็นคนทำร้ายลูกข้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้”“บะ บะ บ่าวไม่ทราบขอรับว่าเป็นผู้ใด ตอนที่บ่าวไปถึงก็เห็นคุณชายอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วขอรับ” ฉู่เหอตอบฮูหยินเอกด้วยเสียงสั่น ๆ“พวกไม่ได้เรื่อง!! เจ้าเป็นบ่าวคนสนิทของบุตรชายข้า มีหน้าที่ติดตามคอยดูแลตลอดเวลา แต่เจ้ากลับปล่อยให้เขาคลาดสายตาจนเจ็บตัวเช่นนี้ได้ยังไง เอาไว้ข้าจะลงโทษเจ้าทีหลังตอนนี้รีบไปตามท่านหมอมาได้แล้ว” ฉู่เหอรีบวิ่งออกไปตามท่านหมออย่างรวดเร็ว“ลูกแม่เจ้าเจ็บมากหรือไม่ ใครเป็นคนทำร้ายเจ้า ๆ บอกแม่มาแม่จะไปจัดการให้เจ้าเอง” ฮูหยินนั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ เตียงผ่านไปราวสองเค่อ ฉู่เหอก็พาท่านหมอเข้ามาตรวจอาการของเสิ่นซีห่าว ท่านหมอจับชีพจรและสอบถามอาการเบื้องต้น พอตรวจกระดูกที่ขาเรียบร้อยก็หันกลับมาเอ่ยกับฮูหยินเอก“อาการบาดเจ็บของบุตรชายข้า เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค
กลับไปที่สวนไผ่ไกลผู้คน ซึ่งยามนี้พี่ชายแสนดีของซินเยว่ ยังคงยืนได้ไม่มั่นคงนักแต่ปากก็ไม่วายพ่นคำด่าทอนางไม่หยุด“คอยดูเถอะนังสารเลวข้าจะฟ้องท่านแม่ ให้ท่านแม่สั่งโบยเจ้ากับแม่ของเจ้าให้ตาย”ไม่ต้องรอให้จบคำด่าทอซินเยว่ก็วิ่งเข้าไป กระโดดถีบตรงกลางลำตัวของซีห่าวจนกระเด็นไปตกในกอไผ่ “อ้ากกกกก”“เช่นนั้นก่อนที่ข้าจะถูกโทษโบยจากแม่ของเจ้า ข้าควรจัดการเจ้าให้หนัก ๆ เป็นการขอบคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน” นางยิ้มเยาะไปหนึ่งกรุบ“โอ้ยยย ซินเยว่นังสารเลวเลี้ยงไม่เชื่อง นังบะ อั่ก!! แค่ก ๆ ๆ” ยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกว่ามีเม็ดอะไรสักอย่าง ไหลลงคออย่างรวดเร็วและตอนนี้ก็เริ่มเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย“พูดไร้สาระอยู่ได้ ตอนนี้เป็นทีของข้าที่ต้องพูดบ้าง รู้สึกเช่นไรที่ต้องกลายเป็นที่รองรับอารมณ์และถูกทุบตี เจ็บหรือไม่เล่า ในตอนที่ข้าโดนเจ้ากับพวกสหายเหล่านั้นทำกับข้า ๆ ก็เจ็บปวดเป็นเหมือนกัน เพราะข้าเป็นคนไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ได้” ซีห่าวทำได้แค่จ้องมองไปที่ซินเยว่ เขารู้สึกว่านางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากจนเขาเริ่มหวาดกลัว“นี่ ๆ ๆ อย่ามองประหนึ่งว่าข้าเป็นคนเลวร้ายสิ เรื่องในวันนี้มันก็แค่อุบัติ
เช้าวันนี้ ณ เรือนท้ายจวน“คุณหนูเจ้าคะสายข่าวของบ่าวรายงานว่า ขบวนเดินทางของนายท่านใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานเข้ามารายงานซินเยว่ด้วยความเร่งรีบ“หืม สายข่าว? นี่ถ้าข้าไม่รู้มาก่อนว่าพี่เป็นสาวใช้ของท่านแม่ ข้าคงคิดว่าพี่มีอาชีพซื้อขายข่าวเป็นแน่ อืม หรือข้าจะเปิดหอขายข่าวให้พี่เสี่ยวหลานเป็นผู้จัดการเรื่องการขายข่าวดีไหม”“คุณหนูอย่าล้อบ่าวสิเจ้าคะ บ่าวก็แค่อาศัยการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี และมีสหายอยู่ด้านนอกจวนมากมาย แม้บ่าวจะไม่อยากรู้พวกเขาก็เอามานั่งเล่าให้บ่าวฟังอยู่ดีเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานทำเป็นเขินอายกลบเกลื่อน“อั้ยโย่ว นี่ขนาดไม่อยากรู้นะเนี่ยถ้าเกิดอยากรู้จะขนาดไหนนะ คิก ๆ ๆ เอาล่ะ ๆ ข้าไม่ล้อพี่เสี่ยวหลานแล้ว ข้าจะจบงานสุดท้ายในจวนเร็ว ๆ นี้แหละ พี่ต้องคอยดูต้นทางให้ข้าด้วยล่ะ”“งานอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู?” เสี่ยวหลานถามด้วยความอยากรู้ทันที“งานเชือดคนในจวนแบบไม่มีเลือดแต่เจ็บปวด” แค่คิดก็สนุกแล้ว“เรื่องคอยดูต้นทางคุณหนูไว้ใจบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ บ่าวจะจัดการให้ดีที่สุด” เสี่ยวหลานพยักหน้าเข้าใจในทันทีหลายวันต่อมาเสี่ยวหลานที่คอยดูต้นทาง หันไปเรียกซินเยว่เมื่อเป้าหมาย
“คุณหนูท่านหายไปไหนมาเจ้าคะ” พี่เสี่ยวหลานถามขึ้นขณะที่ซินเยว่กำลังเดินเข้าห้องนอน“อ้อ ข้าไปดูงิ้วหลังมื้ออาหารเย็นมาน่ะ” ซินเยว่แกล้งพูดหยอกเสี่ยวหลานกลับไป“ดูงิ้วหลังมื้ออาหารเย็น?? ที่จวนเรามีละครงิ้วมาแสดงตอนไหนหรือเจ้าคะ” พี่เสี่ยวหลานทำหน้างง“ถ้าฮูหยินเอกจ้างงิ้วมาแสดงจริง ๆ พี่เสี่ยวหลานจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่นี่มันเป็นงิ้วที่มีข้าผู้นี้เขียนบทให้เล่นต่างหากล่ะ” ข้าพูดไปยิ้มไป“คุณหนูลงมือแล้วหรือเจ้าคะ แล้วทำไมไม่ชวนบ่าวไปดูด้วยเล่า ว่าแต่พวกนางแสดงได้สมจริงหรือไม่เจ้าคะ”“ก็ข้ากลัวว่าถ้าชวนพี่เสี่ยวหลานไปดูด้วย ถ้ามีคนเห็นจะทำให้พี่เดือดร้อนก็เลยไปคนเดียวดีกว่า ส่วนในเรื่องของการแสดงนั้นบอกได้เลยว่า ตบจริง! โบยจริง! เจ็บจริง! ไม่ใช้ตัวแสดงแทนแน่นอน”“อูยยย แค่นึกภาพก็รู้สึกเจ็บแทนเลยเจ้าค่ะ คิก ๆ ๆ”“แหมมมมม พี่เสี่ยวหลานก็ช่างเจรจา ฮ่า ๆ ๆ” เพราะหลายวันก่อนที่ไปดูลาดเลาที่เรือนของฮูหยินเอกกับสองอนุ บังเอิญได้ยินฮูหยินกับสาวใช้คนสนิทคุยกันว่าต้องรีบจัดการอนุเฉิงได้ข่าวมาว่าบิดาของนาง กำลังจะได้เลื่อนขั้น หากชักช้าอนุเฉิงคงมีที่ยืนในใจสามีของนางมากขึ้น นางต้องเป็นที่หนึ่งเพ
ณ เรือนเจียวฝาง“กรี๊ดดดดดดด! ช่วยด้วยยยยย! พวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกรีบมาช่วยข้าเดี๋ยวนี้” เสียงกรีดร้องของอนุหลี่ดังออกมาจากในห้อง ตอนที่นางกำลังนอนหลับอยู่ จู่ ๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรขยับไปมารอบตัวนางใต้ผ้าห่ม จึงเรียกบ่าวที่ยืนอยู่หน้าห้องให้เข้ามาจุดโคมเพียงแสงไฟสว่างขึ้นนางทั้งตกใจและขยะแขยง เพราะบนเตียงของนางเต็มไปด้วยกบตัวเล็กตัวใหญ่กระโดดไปมา นางรีบวิ่งออกจากห้องไปขอความช่วยเหลือ และคิดถึงตอนที่นางนอนอยู่บนเตียงกับเจ้าสัตว์มีเมือกพวกนั้น ก็ทนไม่ไหวจนต้องอาเจียนออกมา“เสียงดังเอะอะอะไรกันตอนนี้มันเป็นเวลาพักผ่อน อาจิวเจ้าไปดูหน่อยซิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ฮูหยินเอกสั่งสาวใช้คนสนิททันทีที่นางก้าวเข้ามาในห้อง เพียงไม่นานอาจิวก็กลับมา“เรียนฮูหยินในเรือนของอนุหลี่เกิดเรื่องเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเหตุใดในห้องนอนของนางถึงมีกบเต็มไปหมด ฮูหยินจะไปดูที่เรือนของนางสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” “อืม เข้ามาแต่งตัวให้ข้า” ฮูหยินเอกพูดขึ้นด้วยความเบื่อหน่าย ที่พักนี้ในจวนมีแต่เรื่องบ่อยเหลือเกิน“อ้วก ๆ แหวะ พวกเจ้าช่วยกันจับออกไปให้หมด อย่าให้หลุดไปได้แม้แต่ตัวเดียวค้นให้หมดทุกซอกทุกมุม” อนุหลี่สั่งบ่าวไพร
ด้านนอกจวนตอนนี้เริ่มมีข่าวซุบซิบกันว่า เกิดอันใดขึ้นทำไมถึงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ส่งกลิ่นเหม็นออกมาจากจวนใต้เท้าเสิ่น รอไม่นานก็มีข่าวออกมาให้ชาวบ้านได้รู้กันว่า กลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากจวนนี้นั้น เป็นเพราะว่าคนในจวนเกิดท้องเสียพร้อมกันยกจวน ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าเดินใกล้จวนรองแม่ทัพอีกเลย และกว่ากลิ่นเหล่านั้นจะหายไปก็ใช้เวลาหลายวันทีเดียวเมื่อทุกคนที่ท้องเสียมีอาการดีขึ้นแล้ว ฮูหยินก็มีคำสั่งให้บ่าวไพร่มารวมกันที่หน้าเรือนใหญ่ ในเช้าวันนี้เพื่อทำการลงโทษ“บ่าวทั้งหมดที่รับผิดชอบโรงครัว ลงโทษโบยพวกมันคนละสิบไม้ งดเบี้ยหวัดสามเดือน ส่วนคนที่เหลือให้ช่วยกันทำความสะอาดโรงครัว ทุกซอกทุกมุมภายในสองวันให้เสร็จ หากเสร็จไม่ทันโบยพวกมันเพิ่มอีกคนละสิบไม้” ฮูหยินสั่งงานกับพ่อบ้านด้วยอารมณ์โมโหรุนแรงจนบ่าวคนสนิทต้องช่วยนวดให้“ทางฝั่งเรือนท้ายจวนล่ะพ่อบ้าน” ฮูหยินถามพ่อบ้านและคำตอบที่ได้ก็ทำให้ไม่พอใจเล็กน้อย“ในส่วนของเรือนท้ายจวนนั้น พวกเขาไม่ได้รับอาหารจากโรงครัวมาหลายปีแล้วขอรับ” พ่อบ้านหยางตอบตามความจริง เพราะนี่เป็นคำสั่งของฮูหยินเอกที่ตัดสินใจสั่งบ่าวไพร่เอาไว้“หึ ถือว่าพวกมันโชคด