เมื่อเธอข้ามมิติมาเป็นตัวเองในชาติก่อน พร้อมกับพรที่ได้เพียงหนึ่งข้อจากท่านเทพชะตา หากชีวิตในชาติก่อนของเธอกับแม่มันรันทดอดสูขนาดนี้ และท่านแม่คิดได้จึงตัดสินใจจะหย่าขาดกับบิดาผู้ไม่เคยแยแสนางแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปข้าผู้กลับมายังชาติก่อน จะขอดูแลท่านแม่และอนุญาตให้ท่านแม่มีสามีใหม่ที่ทั้งหล่อเหลา มีอำนาจมากกว่าบิดาผู้นั้นต่อไปย่อมไม่มีใครกล้ามารังแกพวกเราสองแม่ลูกได้อีก
ดูเพิ่มเติมสวัสดีค่ะฉันชื่อหนูดาอายุยี่สิบห้าปี สวยแบบพอดีและยังโสด คุณพ่อคุณแม่ได้จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสิบห้าปีก่อน แต่ท่านทั้งสองก็ได้ทิ้งมรดกไว้ให้ส่วนหนึ่ง และโชคดีที่คุณอาน้องชายแท้ ๆ ของคุณพ่อ ได้รับฉันไปดูแลอุปการะเลี้ยงดูเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง
ส่วนธุรกิจของคุณพ่อก็ให้คุณอาดูแลไปก่อน จนกว่าฉันจะบรรลุนิติภาวะมีความรับชอบในวัยผู้ใหญ่ คุณอาของฉันจะนำเงินปันผลเข้าบัญชีให้ทุกปี ทำให้ฉันไม่เดือนร้อนเรื่องเงิน พอเรียนจบไม่ต้องทำงานก็ยังมีเงินใช้จ่าย ฉันยังคงไม่รับช่วงต่อธุระกิจของคุณพ่อ เพราะยังอยากจะท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่ฉันชอบ และเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละสถานที่นั้น ๆ
นอกจากนี้ฉันยังชอบทำอาหาร จึงไปสมัครเรียนทำอาหารทั้งไทยและเทศ ที่ขาดไม่ได้ก็คือศิลปะป้องกันตัวที่หลากหลาย ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้เอาไว้บ้าง เวลาเดินทางไปท่องเที่ยวไม่สามารถบอกได้ว่า จะเจอกับเรื่องอันตรายในรูปแบบใดบ้าง เรื่องอื่น ๆ ก็มีเรียนให้เป็นความรู้ติดตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ดนตรี ขี่ม้า เต้นรำ
สองอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันนี้ฉันออกมาทำธุระเรื่องเตรียมสิ่งของ ที่จะนำไปบริจาคในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดอายุยี่สิบห้าปีของฉัน
ในตอนที่ยืนอยู่หน้าร้านขายสินค้าเพื่อเลือกดูของ ก็มีคุณตาที่อายุมากแล้วคนนึงเข้ามาทัก “นังหนูเดินทางมาอยู่ในที่ไกลแสนไกลแห่งนี้นานแล้ว ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องกลับไปหาคนที่รออยู่ทางนั้นแล้วล่ะ”
“คุณตาพูดกับหนูเหรอคะ?”
กริ๊ง ๆ ๆ “สวัสดีค่ะคุณอา” ฉันกดรับโทรศัพท์เพราะมีสายเรียกเข้ามา
“หนูดาอีกสองวันอย่าลืมที่นัดกันไว้นะ ของที่จะเอาไปบริจาคถ้าหนูดาจัดการเสร็จแล้ว ก็โทรมาบอกอา ๆ จะได้ให้คนขับรถไปรับมาเตรียมไว้ก่อน”
“ได้ค่ะคุณอา หนูดาไม่ไปสายแน่นอนไว้เจอกันนะคะ” พอฉันวางสายแล้วหันกลับมาคุณตาคนนั้นก็หายไปแล้ว ฉันจึงกลับไปจัดการเรื่องของบริจาคต่อจนลืมเรื่องนั้นไป เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันก็ได้นั่งทบทวนถึงคำพูดของคุณตาคนนั้นที่บอกว่า ‘ฉันต้องกลับไปหาคนที่รอฉันอยู่ที่นั่น มันคือที่ไหนกันล่ะ?’
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วพออาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็ล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว
“มาแล้วรึนังหนู วันนี้ข้ามาเพื่อเตือนให้เจ้ารู้ตัวเอาไว้ก่อน อีกสองวันข้าจะมารับเจ้าไป หากช้ากว่านี้ร่างของเจ้าที่นั่นจะแย่เอาได้” คุณตาได้เอ่ยกับหนูดาทันทีที่เจอหน้า
“หืม คุณตาจะพาหนูไปที่ไหนเหรอคะ” ฉันถามคุณตาเพราะยังไม่เข้าใจ
“ไว้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังในตอนที่มารับเจ้าก็แล้วกัน ก่อนข้าจะไปเจ้าสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ เจ้าอยากจะขอสิ่งใดบ้างล่ะ”
ฉันนั่งคิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่าจะขออะไร เพราะความรู้ความสามารถที่มีก็น่าจะใช้ชีวิตได้ไม่ลำบาก “ถ้าหนูจะขอหลายอย่างรวมอยู่ในข้อเดียวกันได้ไหมคะคุณตา” ฉันลองหยั่งเชิงถามดูก่อน
“เจ้าลองพูดมาก่อนแล้วข้าจะพิจารณาดูอีกทีว่าจะให้ได้หรือไม่”
“ถ้างั้นหนูขอมิติที่มีบ้านหลังนี้และห้างสรรพสินค้า ที่ใช้ได้ไม่มีวันหมดรวมถึงความรู้ของโลกแห่งนี้ให้ติดตัวไปด้วย ขอให้หนูสามารถจดจำทุกสิ่งได้เพียงแค่ผ่านสายตา ขอให้ร่างกายต้านพิษได้ทุกชนิดและใช้เลือดในการแก้พิษทุกชนิดได้เช่นกันเจ้าค่ะ” ขอมากไปหรือเปล่านะ?
“ได้ ข้าให้พรตามที่เจ้าขอมาและมันจะปรากฏขึ้น เมื่อเจ้ากลับไปยังที่แห่งนั้นแล้ว” คุณตาพูดจบก็หายไปทันที
วันนี้ก็ครบสองวันตามที่คุณตาบอกไว้ ระหว่างทางที่ฉันกำลังขับรถกลับจากการไปบริจาคของ จู่ ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ขับปาดหน้า ฉันจึงหักรถหลบแต่มีรถบรรทุกขับตามหลังมาด้วยความเร็ว ทำให้เบรกไม่ทันจนชนเข้ากับรถของฉันอย่างแรง และทำให้รถของฉันพลิกคว่ำไปหลายตลบ จากเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเสียชีวิตคาที่ทันที
“ที่นี่ที่ไหนกัน? ทำไมมองไม่เห็นอะไรเลย” ฉันลืมตาอีกทีก็เห็นแต่สีขาวรอบ ๆ ตัว ไม่มีอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย
“นังหนูข้ามารับเจ้าชาตินี้เจ้าได้หมดอายุขัยแล้ว แต่ว่าข้าจะให้เจ้าได้กลับไปแก้ไข เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้าในชาติก่อนหน้านี้”
“ห๊ะ” กลับไปเปลี่ยนชะตาชีวิตของชาติก่อนหน้างั้นเหรอ ไหน ๆ ก็ตายแล้วพ่อแม่ก็ล้วนจากไปก่อน ไม่มีอะไรค้างคาสำหรับชาตินี้ ไปสู้ชีวิตในชาติก่อนดูก็ไม่เสียหาย
“เจ้าเป็นคนจิตใจดี เมื่อกลับไปครั้งนี้ชะตาชีวิตของเจ้า จะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเองแล้วล่ะนะ”
“โชคดีนะหลานตา ต่อจากนี้ขอให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” หลังจากที่พูดจบก็มีเสียงของผู้มาใหม่เดินเข้ามา
“นางไปแล้วรึตาเฒ่า ถ้าครั้งหน้าเจ้ามัวแต่ไปดื่มสุราดอกท้อกับเหล่าสหาย จนผูกด้ายแดงผิดอีกละก็ข้าจะไม่ช่วยอีกแล้ว” ยายเฒ่าแสร้งพูดจาโมโห
“ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว” ตาเฒ่าพูดออกไปด้วยความสำนึกผิด
“คุณหนูท่านหายไปไหนมาเจ้าคะ” พี่เสี่ยวหลานถามขึ้นขณะที่ซินเยว่กำลังเดินเข้าห้องนอน“อ้อ ข้าไปดูงิ้วหลังมื้ออาหารเย็นมาน่ะ” ซินเยว่แกล้งพูดหยอกเสี่ยวหลานกลับไป“ดูงิ้วหลังมื้ออาหารเย็น?? ที่จวนเรามีละครงิ้วมาแสดงตอนไหนหรือเจ้าคะ” พี่เสี่ยวหลานทำหน้างง“ถ้าฮูหยินเอกจ้างงิ้วมาแสดงจริง ๆ พี่เสี่ยวหลานจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่นี่มันเป็นงิ้วที่มีข้าผู้นี้เขียนบทให้เล่นต่างหากล่ะ” ข้าพูดไปยิ้มไป“คุณหนูลงมือแล้วหรือเจ้าคะ แล้วทำไมไม่ชวนบ่าวไปดูด้วยเล่า ว่าแต่พวกนางแสดงได้สมจริงหรือไม่เจ้าคะ”“ก็ข้ากลัวว่าถ้าชวนพี่เสี่ยวหลานไปดูด้วย ถ้ามีคนเห็นจะทำให้พี่เดือดร้อนก็เลยไปคนเดียวดีกว่า ส่วนในเรื่องของการแสดงนั้นบอกได้เลยว่า ตบจริง! โบยจริง! เจ็บจริง! ไม่ใช้ตัวแสดงแทนแน่นอน”“อูยยย แค่นึกภาพก็รู้สึกเจ็บแทนเลยเจ้าค่ะ คิก ๆ ๆ”“แหมมมมม พี่เสี่ยวหลานก็ช่างเจรจา ฮ่า ๆ ๆ” เพราะหลายวันก่อนที่ไปดูลาดเลาที่เรือนของฮูหยินเอกกับสองอนุ บังเอิญได้ยินฮูหยินกับสาวใช้คนสนิทคุยกันว่าต้องรีบจัดการอนุเฉิงได้ข่าวมาว่าบิดาของนาง กำลังจะได้เลื่อนขั้น หากชักช้าอนุเฉิงคงมีที่ยืนในใจสามีของนางมากขึ้น นางต้องเป็นที่หนึ่งเพ
ณ เรือนเจียวฝาง“กรี๊ดดดดดดด! ช่วยด้วยยยยย! พวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกรีบมาช่วยข้าเดี๋ยวนี้” เสียงกรีดร้องของอนุหลี่ดังออกมาจากในห้อง ตอนที่นางกำลังนอนหลับอยู่ จู่ ๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรขยับไปมารอบตัวนางใต้ผ้าห่ม จึงเรียกบ่าวที่ยืนอยู่หน้าห้องให้เข้ามาจุดโคมเพียงแสงไฟสว่างขึ้นนางทั้งตกใจและขยะแขยง เพราะบนเตียงของนางเต็มไปด้วยกบตัวเล็กตัวใหญ่กระโดดไปมา นางรีบวิ่งออกจากห้องไปขอความช่วยเหลือ และคิดถึงตอนที่นางนอนอยู่บนเตียงกับเจ้าสัตว์มีเมือกพวกนั้น ก็ทนไม่ไหวจนต้องอาเจียนออกมา“เสียงดังเอะอะอะไรกันตอนนี้มันเป็นเวลาพักผ่อน อาจิวเจ้าไปดูหน่อยซิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ฮูหยินเอกสั่งสาวใช้คนสนิททันทีที่นางก้าวเข้ามาในห้อง เพียงไม่นานอาจิวก็กลับมา“เรียนฮูหยินในเรือนของอนุหลี่เกิดเรื่องเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเหตุใดในห้องนอนของนางถึงมีกบเต็มไปหมด ฮูหยินจะไปดูที่เรือนของนางสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” “อืม เข้ามาแต่งตัวให้ข้า” ฮูหยินเอกพูดขึ้นด้วยความเบื่อหน่าย ที่พักนี้ในจวนมีแต่เรื่องบ่อยเหลือเกิน“อ้วก ๆ แหวะ พวกเจ้าช่วยกันจับออกไปให้หมด อย่าให้หลุดไปได้แม้แต่ตัวเดียวค้นให้หมดทุกซอกทุกมุม” อนุหลี่สั่งบ่าวไพร
ด้านนอกจวนตอนนี้เริ่มมีข่าวซุบซิบกันว่า เกิดอันใดขึ้นทำไมถึงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ส่งกลิ่นเหม็นออกมาจากจวนใต้เท้าเสิ่น รอไม่นานก็มีข่าวออกมาให้ชาวบ้านได้รู้กันว่า กลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากจวนนี้นั้น เป็นเพราะว่าคนในจวนเกิดท้องเสียพร้อมกันยกจวน ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าเดินใกล้จวนรองแม่ทัพอีกเลย และกว่ากลิ่นเหล่านั้นจะหายไปก็ใช้เวลาหลายวันทีเดียวเมื่อทุกคนที่ท้องเสียมีอาการดีขึ้นแล้ว ฮูหยินก็มีคำสั่งให้บ่าวไพร่มารวมกันที่หน้าเรือนใหญ่ ในเช้าวันนี้เพื่อทำการลงโทษ“บ่าวทั้งหมดที่รับผิดชอบโรงครัว ลงโทษโบยพวกมันคนละสิบไม้ งดเบี้ยหวัดสามเดือน ส่วนคนที่เหลือให้ช่วยกันทำความสะอาดโรงครัว ทุกซอกทุกมุมภายในสองวันให้เสร็จ หากเสร็จไม่ทันโบยพวกมันเพิ่มอีกคนละสิบไม้” ฮูหยินสั่งงานกับพ่อบ้านด้วยอารมณ์โมโหรุนแรงจนบ่าวคนสนิทต้องช่วยนวดให้“ทางฝั่งเรือนท้ายจวนล่ะพ่อบ้าน” ฮูหยินถามพ่อบ้านและคำตอบที่ได้ก็ทำให้ไม่พอใจเล็กน้อย“ในส่วนของเรือนท้ายจวนนั้น พวกเขาไม่ได้รับอาหารจากโรงครัวมาหลายปีแล้วขอรับ” พ่อบ้านหยางตอบตามความจริง เพราะนี่เป็นคำสั่งของฮูหยินเอกที่ตัดสินใจสั่งบ่าวไพร่เอาไว้“หึ ถือว่าพวกมันโชคด
“เยว่เอ๋อร์มีเรื่องอะไรดีๆ หรือไม่ แม่เห็นเจ้าเดินยิ้มมาแต่ไกล” ลี่หลินเอ่ยถามบุตรสาวเมื่อเห็นว่านางอารมณ์ดีกว่าที่เคยซินเยว่ได้ยินมารดาเอ่ยทักก็รีบเดินเข้าไปสวมกอดทันที ขณะที่นางตอบมารดาก็ยังหุบยิ้มไม่ได้ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะข้าแค่คิดเรื่องตลก ๆ ไปเรื่อยเปื่อยก็เลยอารมณ์ดีเจ้าค่ะ”“เอาล่ะแม่เชื่อเจ้า กลับเข้าเรือนกันเถิดแม่ทำอาหารไว้รอแล้ว”“เจ้าค่ะท่านแม่”ที่เรือนใหญ่ฮูหยินเอกนางกำลังนั่งทานอาหารกับบุตรชาย “อาห่าวค่อย ๆ กินสิลูกไม่ต้องรีบ ประเดี๋ยวก็ติดคอกันพอดี ไม่มีผู้ใดมาแย่งเจ้ากินหรอก” ฮูหยินมองบุตรชายที่ใช้ตะเกียบคีบอาหาร แล้วพุ้ยข้าวคำโตเข้าปากอย่างรีบร้อนเหมือนคนอดอยาก“ปู้ดดดดดดดดดดด!”“อึก ง่ำ ๆ ๆ ปู้ดดดดดด”“ผู้ใดกันที่มาทำเสียงเช่นนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” ฮูหยินเอกกล่าวขึ้นด้วยความโมโห หลังจากที่เพิ่งกินข้าวไปได้ไม่ถึงสิบคำ พร้อมกับยกชายแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูก เนื่องจากกลิ่นที่ออกมานั้นช่างไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก“ท่านแม่ ๆ จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ข้าขอไปห้องน้ำก่อนนะขอรับ” ซีห่าวพูดขึ้นโดยไม่รอคำตอบรับของฮูหยินเอก ก็รีบวิ่งออกไปทันทีเพราะเขารู้สึกว่า กำลังจะ
ภายหลังเมื่อลี่หลินหายจากอาการตกตะลึง กับสิ่งที่ซินเยว่นำออกมาให้ดูนั้น นางก็เอาแต่มองตนเองในกระจก หันซ้ายแลขวาลูบใบหน้าที่ซูบผอม และผิวที่แห้งกร้านเพราะขาดการบำรุงที่ดี แต่ยังคงมีความงดงามถ้าได้รับการบำรุงที่ดี ต้องกลับมางดงามเช่นเดิม ด้วยปีนี้ลี่หลินเองเพิ่งมีอายุยี่สิบหกปี หากเทียบกับยุคปัจจุบันที่ซินเยว่ได้จากมา มารดาของนางยังอยู่ในวัยสาวสวย จากนี้ไปซินเยว่จะทำการแปลงโฉมให้มารดางดงามกว่าผู้ใดในส่วนของร่างกายของซินเยว่ก็เริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แถมมีพละกำลังเกินเด็กวัยสิบหนาว อาจเป็นเพราะพรที่ท่านเทพให้มา ตอนนี้จึงต้องทำการทบทวนศิลปะป้องกันตัว ที่ได้เรียนรู้มาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น จากนั้นค่อยฝึกวิชาตัวเบาที่เพิ่งได้มาเมื่อคืนก่อนนอน ที่นางคิดว่าถ้ามีวิชาตัวเบาเหมือนในซีรี่ย์คงจะดี จู่ ๆ ก็มีตำราวิชาตัวเบาโผล่มาตรงหน้าทันที คงจะเป็นของสมมนาคุณจากท่านเทพอีกเช่นเคย ซินเยว่ไม่คิดว่าตนเองจะโชคดีถึงเพียงนี้“พี่เสี่ยวหลานเรื่องข่าวของใต้เท้าเสิ่น ได้ความว่าอย่างไรบ้างเขาจะกลับมาเมื่อใดหรือ” ซินเยว่เอ่ยถามบ่าวคนสนิท ที่มีความสามารถดั่งป้าข้างบ้าน ‘เวลาผ่านมาสิบปีแล้วก็ยังคงรั้งอยู
ก่อนจะออกจากมิติจึงอาบน้ำแปรงฟัน ถึงแม้ช่วงที่นอนป่วยจะมีมารดาและเสี่ยวหลานคอยเช็ดตัวให้ก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกเหนียวตัวอยู่ดี หลังออกมาจากมิติก็กลับมาอยู่บนเตียงเช่นเดิม ‘ข้าเข้าไปในมิติตั้งนานพอออกมาเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน ยอดเยี่ยมจริง ๆ’ผ่านไปหลายวันหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาจนร่างกายดีขึ้นมาก ซินเยว่จึงต้องการพูดคุยกับมารดาอย่างจริงจังเสียที “ท่านแม่เจ้าคะ ทำไมพวกเราต้องทนอยู่ที่จวนแห่งนี้ด้วย ความเป็นอยู่ของพวกเราสามคน ไม่ต่างจากบ่าวไพร่ในจวนเลยนะเจ้าคะ งานก็ต้องทำทุกอย่างเบี้ยหวัดไม่เคยได้รับ แม้แต่จะออกไปนอกจวนก็ยังไม่ได้น่าโมโหชะมัด”“เยว่เอ๋อร์ แม่ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก แม่สัญญาว่าต่อไปแม่จะปกป้องเจ้า และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้” ลี่หลินกล่าวพร้อมน้ำตา“ท่านแม่ท่านยังรักบุรุษผู้นั้นอยู่หรือไม่เจ้าคะ”“เยว่เอ๋อร์! เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นเล่า นั่นคือท่านบิดาของเจ้านะ” ลี่หลินมีสีหน้าตกใจที่ได้ยินบุตรสาว เรียกบิดาด้วยคำว่าบุรุษผู้นั้นแทนที่เด็กสาวจะเรียกเขาว่าท่านพ่อ“ตั้งแต่ท่านถูกไล่ให้มาอยู่เรือนท้ายจวน ก็ไม่เคยมาหาทั้งยังไม่มีความสนใจใยดีต่อข้า ไม่เคยให้ความรักหรือการอุ้มข้
ความคิดเห็น