“ไม่เพียงเท่านี้หรอกขอรับท่านพ่อตา ข้าแอบเห็นเยว่เอ๋อร์กำลังออกแบบอาคารคล้ายจะเป็นสำนักศึกษาที่ใหญ่พอสมควร คงไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะสร้างมันจริง ๆ หรอกกระมัง” เฟยเทียนที่กลับมาจากวังหลวงในค่ำคืนหนึ่ง เห็นซินเยว่นอนฟุบทับกระดาษใบใหญ่ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เมื่อมองดูดี ๆ มันคล้ายเป็นอาคารของสำนักศึกษา ที่ม
อี้ซวนที่ตามเฟยเทียนกลับมาถึงจวนก็เข้ายามโหว่พอดี พวกเขาสองคนคิดว่าเรื่องที่จะรบกวนซินเยว่เอาไว้หลังรับมื้อเย็นเสร็จก่อนจะดีกว่า หากคุยกับนางตอนนี้เกรงว่าอาหารจะหายร้อนทำให้กินไม่อร่อยก็เป็นได้ทั้งสามคนเมื่อรับมื้อเย็นเสร็จ จึงย้ายมานั่งพูดคุยกันต่อยังห้องตำราของเฟยเทียน และคนที่เปิดประเด็นเข้าเรื่
“เดี๋ยวข้าเดินออกไปส่งท่านลุงกับพี่ชายชางที่หน้าจวนเจ้าค่ะ” ซินเยว่พูดจบก็เดินออกไปพร้อมกับนายช่างชางหมิง เมื่อส่งทั้งสองคนเสร็จซินเยว่กำลังคิดว่าจะทำรายการอาหารสำหรับวันนี้ แต่มีเสียงของเสี่ยวหลานเอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน“คุณหนูเจ้าคะบ่าวสงสัยเกี่ยวกับห้องอาบน้ำรวมเจ้าค่ะ”“หืม ท่านสงสัยห้องอาบน้ำรวมท
ผ่านพ้นวันที่ฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ได้มาร่วมการเพาะปลูกข้าวไปแล้ว ซินเยว่ได้ยินสามีกลับมาเล่าให้นางฟังว่า มีการประกาศงดประชุมขุนนางเป็นเวลาเจ็ดวันเนื่องด้วยขุนนางทั้งหลายต่างล้มป่วยปวดเมื่อยตามร่างกาย ไม่ว่าจะลุกขึ้นยืนหรือจะนั่งล้วนมีเสียงโอดโอย ต้องพึ่งพาทั้งยาสมุนไพรต้ม การแช่น้ำยาหรือแม้แต่ให้บ
ทำให้ฎีกาของพวกตนถูกฝ่าบาทปัดตกไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่อาจหาช่องว่างเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เข้ากระเป๋าของตนได้ แต่ไม่มีใครกล้าคิดลงมือวางแผนชั่วใส่ร้ายนางได้เพราะคนที่คิดทำเช่นนั้น ต่างตกตายหรือไม่ก็ถูกเนรเทศไปเป็นแรงงานเหมืองแร่ในพื้นที่ห่างไกลแม้แต่เจ้ากรมการเกษตรเติ้งชุนเชาที่กล่าวดูถูกฮูหยิ
เมื่อไม่มีใครเอ่ยอะไรเซี่ยตงเจียงจึงหยิบพู่กันเขียนข้อสอบลงบนกระดาษ ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่นำไปติดบนกระดานขนาดใหญ่ เหล่าบัณฑิตที่นั่งรอทำข้อสอบพอได้เห็นข้อสอบที่มีเพียงหัวข้อเดียว ก็พากันแปลกใจไปตามๆกันเพราะข้อสอบไม่ได้มีในตำราที่พวกเขาเคยอ่านมา มันเป็นคำถามที่เปิดโอกาสให้บัณฑิต ได้แสดงทัศนคติของตนเอง