ยามใบไผ่ต้องสายลม (ภาควัยเยาว์)

ยามใบไผ่ต้องสายลม (ภาควัยเยาว์)

last updateLast Updated : 2025-08-26
Language: Thai
goodnovel16goodnovel
Not enough ratings
25Chapters
125views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

เธอคือหญิงผู้ถูกประวัติศาสตร์ลบเลือน ไม่มีผู้ใดจดชื่อนางไว้ในพงศาวดาร ไม่มีบทกวีใดกล่าวขวัญถึงความรักและความเจ็บปวดของนาง และเธอ…เป็นเพียงเงาเลือนรางในเรื่องเล่าของวีรบุรุษ แต่วันนี้…เธอกลับมาแล้ว

View More

Chapter 1

บทที่ 1 การเล่านิทาน…ได้เริ่มแล้ว

สวัสดี สวัสดี… เหล่านักเดินทาง พ่อค้าแม่ขาย ผู้แสวงบุญ นักพรต ข้าหลวง หรือผู้ใดก็ตามที่ผ่านมาในเส้นทางสายนี้ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วโปรดพักผ่อนเสียที่นี่เถิด มีแอ่งน้ำซึ่งมีน้ำใสสะอาดพอจะดื่มกินแก้กระหายหรือจะใช้อาบให้คลายร้อนก็ย่อมได้ มีผลาผลมากมายให้ท่านเก็บกินแก้หิว และมีร่มไม้มากพอที่จะให้ท่านได้นอนหลับให้พ้นราตรีนี้ไป

แต่ก่อนที่นิทราจะกลืนกินท่านให้ข้าพเจ้าได้ขับกล่อมท่านด้วยนิทานเรื่องนี้เถิด มาเพลิดเพลินกับตำนานอีกด้านที่น้อยคนจะรู้… ตำนานของสตรีผู้หนึ่งที่นักบันทึกมิได้จดจารลงม้วนตำราและกานท์กวีมิได้ใส่ลงไปในวรรณกรรม นามอันแท้จริงของนางข้าพเจ้ามีไว้ในใจแล้ว แต่เพื่อให้นางเป็นนางเอกของเรื่องข้าพเจ้าจึงได้ปรุงแต่งนามนางเสียใหม่ในเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังในภายหลัง

แม่นาง ผู้เป็นภรรยาของยอดขุนพลเครางามนามกระฉ่อนในยุคปลายแห่งต้าฮั่น เป็นมารดาของบุตรชายสองคนและบุตรหญิงหนึ่งคนของสกุลกวน และในความทรงจำของผู้คนที่ได้พานพบประสบเจอ นางคือแม่พระของชาวบ้าน เป็นแม่หมอผู้คอยรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยของผู้ไข้ทั้งหลาย อีกทั้งยังมีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก

แต่ในกาลเวลาที่แผ่นดินเป็นทุรยศเสื่อมทรามเช่นนี้…

ชะตาชีวิตของนางซึ่งพันผูกกับเขาผู้นั้นจักเป็นอย่างไรหนอ?

จักมีเคราะห์กรรมใดเล่าที่จะเกิดแก่นางและคนที่นางรัก?

จักมีผู้ใดที่ต้องพลัดพราก ต้องร้องไห้ ต้องสูญสิ้นทุกอย่าง…แม้กระทั่งดวงใจ แก้วตาและชีวิตของตน?

เอาล่ะท่านผู้ฟังที่รักยิ่งทั้งหลาย…ของกินหรือน้ำดื่มมีหรือไม่รีบหยิบให้ไว หนาวก็เอาผ้ามาห่มกายและโหมกองกูณฑ์ให้ไฟลุกโชนโชติช่วงชัชวาลในค่ำคืนนี้ …เข้ามาใกล้ๆ ข้าสิท่านทั้งหลาย

ข้า…อู๋หมิง วณิพกไร้นาม จักเล่าให้ท่านฟังเอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ก่อนที่ข้าพเจ้าและเราๆ ท่านๆ จะเกิดมาลืมตาดูโลก ขอย้อนกลับไปในอดีตกาลอันไกลโพ้น ครานั้นเป็นช่วงรัชสมัยพระเจ้าเลนเต้ โอรสสวรรค์ผู้ผ่านแผ่นดินต้าฮั่น และสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มของเรื่องราวนี้ คือเมืองเล็กๆ ที่เรียกว่าเมืองฮอตัง

มันเป็นวันธรรมดาๆ ในหน้าร้อนภายในป่าไผ่ สายลมพัดผ่านกอไผ่ ถูกต้องกับกิ่งและก้านน้อยๆ ก่อให้เกิดเสียงดังหวิวๆ ท่ามกลางทางเดินที่ผ่านป่าไผ่นี้ล้วนมีแต่ความรื่นรมย์จากความสงบของธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่ง อากาศเย็นสบาย ไม่แสบผิวเท่าพื้นที่ที่ไร้ร่มเงาของพฤกษชาติที่ช่วยบดบังความรุนแรงของแสงอาทิตย์ ณ ที่นั่น หนุ่มน้อยผู้หนึ่งกำลังเดินเล่นในป่าไผ่นี้ด้วยกิริยาสงบเงียบ ดวงตาคมกริบเหมือนดวงตาของหงส์เหลียวแลบรรยากาศรอบๆ ตัวด้วยแววแห่งอาการครุ่นคิด แฝงด้วยความตื่นเต้นกับสถานที่ที่ตนไม่เคยได้พบเจอมาก่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

พระพายพัดมาเรื่อยๆ เอื่อยๆ ถูกต้องชายเสื้อสีน้ำทะเลและปลายผ้าซึ่งเหลือจากการผูกมวยผมของผู้เยาว์ เด็กหนุ่มผู้นั้นหลับตาแล้วยิ้มน้อยๆ พลางกางแขนโอบรับไมตรีจากสายลมเย็นๆ แสงแดดอุ่นๆ และความสุขจากความสงบที่เส้นทางในป่าไผ่นี้มอบให้ตน แต่ว่า…

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที!” เสียงหวีดแหลมของสตรีเสียดแทงเข้ามาราวกับลูกศร ทำลายบรรยากาศแห่งความสงบที่ผ่านมาจนสิ้น เขาลืมตา หันซ้ายแลขวาหาว่าผู้ใดหนอกำลังเดือดร้อนจนต้องร้องออกมาเช่นนี้

เขาเริ่มวิ่งไปตามทิศเสียงนั้น ทว่าเส้นทางเบื้องหน้าเริ่มห่างไกลจากถนนที่ถูกถางไว้เรียบร้อย กลายเป็นทางรกครึ้มที่ต้องไต่โขดหิน ลัดเลาะขึ้นเนินเขา แต่เด็กหนุ่มหน้ามนกลับหาได้หวั่นไม่ ยังคงมุ่งมั่นวิ่งต่อไปโดยไม่ลดละ แม้เหงื่อจะเปียกชุ่ม แม้สีผิวจะเปลี่ยนจากสองสีเป็นแดงระเรื่อ แม้จะเหนื่อยหอบจนทรุดตัวเล็กน้อย เขาก็ไม่หยุด หนทางด้านหน้าพาเขาออกจากดงไผ่ เข้าสู่พื้นที่ใหม่ ใต้เงาไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายแทนแนวกอไผ่ ในที่สุด…ปรากฏสิ่งปลูกสร้างคล้ายวิหารหรือวัดตั้งอยู่กลางป่าเขา

“คุณหนู! อย่าโดดลงมานะเจ้าคะ!”

“ข้ารู้แล้ว! โธ่เอ๊ยสูงขนาดนี้ข้าโดดลงมาไม่แข้งขาหักก็ตายน่ะสิ!”

พ่อหนุ่มเหลียวมองไปที่ต้นสนต้นหนึ่งก็พบกับที่มาของเหตุที่ตนดั้นด้นขึ้นมาถึงนี่ เด็กหญิงตัวน้อยอายุราวๆ แปดหรือเก้าขวบกำลังนั่งเกาะกิ่งสนที่อยู่ในสภาพจะหักแหล่มิหักแหล่ ที่ข้างล่างก็มีหญิงรุ่นๆ อีกสองคนที่น่าจะเป็นพี่เลี้ยงของเด็กนี้กำลังส่งเสียงวี้ดว้ายและมีท่าทีกังวลกระสับกระส่ายไปมา

เด็กหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำทะเลครุ่นคิด จะทำอย่างไรดีหนอ จะช่วยเด็กคนนี้ยังไงดี?

‘จะบอกให้เด็กนั้นค่อยๆ ถดตัวและปีนลงมาดีไหม แต่ถ้าเด็กนั้นกลัวจนแข้งขาสั่นแล้วร่วงตกลงมาเล่า?’

‘หรือเราควรจะปีนขึ้นไปช่วยดี แต่ต้นสนนี้ไม่เหมือนต้นไม้ที่บ้านเราซึ่งเราปีนเล่นมาหมดแล้ว หากตัวเราตกลงมาก็ไม่แคล้วจะเดือดร้อนอีก’

ป๊อก! เสียงไม้หัก ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดเล็กแหลมจากด้านบนและเสียงวี้ดว้ายจากพวกพี่เลี้ยงที่ด้านล่าง

ไม่มีเวลาให้คิดอีกต่อไปแล้ว! พ่อหนุ่มหน้ามนออกตัววิ่งให้ไว สองแขนชูขึ้นในอากาศ แล้วก็เป็นดั่งใจหวังเพราะร่างของเด็กหญิงที่ร่วงจากกิ่งสนที่หักนั้นเคราะห์ดีได้หล่นมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาพอดิบดีพอดี…เด็กนั้นเกาะแขนเขาแน่น เนื้อตัวยังสั่นกึกๆเพราะตกใจ แต่มิวายที่ดวงตากลมโตคู่นั้นก็มองมาที่เขา

และในเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นเวลาแห่งความเป็นความตาย นั้นเองที่สายตาคนทั้งคู่สบกันอย่างจัง

ดวงตาเรียวยาวดุจหงส์ของเด็กหนุ่มชาวฮั่นวัยสิบสามปี บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลกวนแห่งเมืองฮอตัง

…กับดวงตากลมโตที่ล้ำลึกและมีแววหวานอย่างประหลาดของเด็กหญิงจากแดนตะวันตกอันไกลโพ้น

ในเสี้ยววินาทีนั้น ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่ง

ไม่มีเสียงพี่เลี้ยงร้องโวยวาย

ไม่มีเสียงซุบซิบจากฝูงชนที่มามุงดู

ในโลกของเด็กทั้งสอง…เวลาหยุดลงแล้ว

และภายในดวงตาทั้งคู่นั้น ต่างฝ่ายต่างรู้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดเลย…ว่าอีกฝ่ายกำลัง “คิด” เหมือนกัน

เย็นย่ำแล้ว ภายในเรือนหลังหนึ่งไม่ใหญ่ไม่เล็ก ชายผู้หนึ่งซึ่งวัยใกล้ย่างเข้าหาความชรากำลังนั่งอ่านม้วนตำราภายใต้แสงตะเกียงสลับกับมองไปที่นอกระเบียงและที่ประตูทางเข้าบ้านเป็นระยะๆ ด้วยความกระวนกระวายใจ ก่อนที่ตนจะต้องวางตำราลงเมื่อบ่าวนายหนึ่งเรียก

“นายท่านขอรับ”

“ว่ากระไรรึ” เขาถามกลับ

“มีคนมาเคาะที่ประตูเรือน บอกว่าพาคุณหนูมาส่งขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนรีบผลุนผลันตามบ่าวนายนั้นไปที่ประตูเรือน ไม่นานคนที่ตนต้องการพบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า…บุตรีสุดที่รักพร้อมด้วยสองพี่เลี้ยง

เด็กหญิงตัวน้อยรีบวิ่งไปกอดพ่อ ฝ่ายผู้เป็นพ่อก็กอดกลับด้วยความรู้สึกหายเป็นห่วงที่ลูกรักกลับมาอย่างปลอดภัย ด้วยว่าบุตรีนางนี้เป็นสิ่งมีค่าเพียงสิ่งเดียวที่ภรรยาได้มอบให้ก่อนจะตายจากเมื่อหลายปีก่อนจากโรคร้าย

หลังจากทั้งกอดทั้งหอมลูกสาวจนหนำใจแล้ว เขาก็ตรวจดูเนื้อตัวและเสื้อผ้า เห็นแล้วก็ขมวดคิ้วเป็นเชิงว่าสงสัย กังวลแล้วก็หน่ายใจ ด้วยว่าเด็กนี้เป็นเด็กซน จึงเอ่ยถามบุตรีไปว่า

“เจ้าไปเที่ยวเล่นถึงไหนมา ไยเนื้อตัวและเสื้อผ้าจึงมอมแมมเช่นนี้ เจ้ามิได้ไปเล่นแผลงๆ ใช่มั้ยอาแชลูกพ่อ”

“อาแช” ตอบบิดาแจ้วๆ “ข้าตามพวกพี่เลี้ยงไปศาลเจ้ามาเจ้าค่ะ ระหว่างรอก็รู้สึกเบื่อเลยปีนขึ้นต้นสนเล่น…” คำตอบนั้นหากเป็นพ่อแม่บ้านอื่นได้ยินนางคงจะโดนตีข้อหาซนเกินเหตุและสุ่มเสี่ยงอันตรายเป็นแน่แท้ หากแต่กิริยาอาการของบิดานั้นมีเพียงแค่…เอามือทาบอกและทำสีหน้าเหมือนจะเป็นลมกับเรื่องที่ลูกสาวพูดให้ฟัง แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ พลางปะเหลาะถาม “โอ้…แล้วลูกปีนลงมาอย่างไรล่ะ?”

“คือว่า…ตอนแรกลูกจะปีนลงมาเพราะพี่เลี้ยงเรียกแต่ว่า…” อาแชเริ่มมีท่าทีลุกลี้ลุกลนจนบิดาสังเกตได้ “แต่ว่าอะไร ฮึ?”

“กิ่งไม้หัก ลูกก็เลยร่วงลงมาเจ้าค่ะ-” พูดยังไม่ทันจบบิดาของอาแชก็ทำท่าจะเป็นลมจนพวกบ่าวไพร่ต้องรีบมาประคองตัวไว้ อาแชเห็นพ่อลมใส่ก็รีบวิ่งไปเกาะแขนแล้วพูดต่อ “…แต่ท่านพ่อไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ตอนที่ข้าร่วงลงมา มีคนช่วยข้าไว้ทันเจ้าค่ะ”

“ใครกันเล่า” ยังไม่ทันที่ผู้ใดจะตอบคำถามนั้น ณ บริเวณประตูเรือนก็ปรากฏร่างของมานพน้อยในอาภรณ์สีน้ำทะเล เขาผู้นั้นประสานมือและโค้งคำนับเป็นเชิงให้เกียรติผู้มีอาวุโสมากกว่า ท่ามกลางสายตาของเจ้าบ้านและผู้คนในเรือนนั้นที่ต่างจ้องมองอย่างพิศวงในความรู้สึกบางอย่างต่อเด็กหนุ่มผู้นี้

เจ้าของเรือนเดินเข้าไปใกล้ๆ ไล่มองจากปลายเท้าเรื่อยๆ จนถึงศีรษะของมานพน้อยก็พบว่า…

แม้เด็กนี้จะมีอายุได้สิบสี่ปี แต่กายสูงใหญ่เกือบจะเทียบเท่าคนหนุ่มในวัยอายุสิบแปดหรือยี่สิบปีได้แล้ว ผิวกายหรือก็ดูราวว่าเป็นสีแดงระเรื่อๆ ใส่อาภรณ์สีเขียวอมฟ้าก็ดูราวกับดวงตะวันฉายบนน้ำทะเลอย่างไรอย่างนั้น พินิจพิเคราะห์ดูใบหน้าซึ่งประกอบด้วยดวงตาเรียวยาวราวตาหงส์และคิ้วซึ่งวางตัวราวหนอนไหม เขาก็รู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้…คงไม่ใช่เด็กธรรมดาเสียแล้ว

“เจ้า…ชื่อแซ่อันใดหรือพ่อหนุ่ม”

“ข้าพเจ้าชื่ออู แซ่กวนขอรับ”

เจ้าของเรือนพยักหน้า “โอ ที่แท้ก็ลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลกวนนี่เอง เชิญๆ “ว่าจบก็ชี้ชวนให้เด็กหนุ่มมาเป็นแขกของเรือนตน พลางหันไปสั่งบรรดาบ่าวไพร่ให้เตรียมสำรับอาหารให้พร้อมสรรพและให้พวกเขาดูแลแขกคนนี้ให้ดีเลยทีเดียว

…และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

พร้อมหรือยังเล่าท่านทั้งหลาย? พร้อมหรือยังสำหรับเรื่องราวในบทถัดไป ที่ข้าพเจ้าจะค่อยๆ ถักทอผ่านถ้อยคำทีละน้อยๆ ไปจนถึงบทสุดท้าย?

พร้อมหรือยังสำหรับช่วงเวลาแห่งเสียงหัวเราะ ความสุข ความสนุกสนานที่ชวนให้บันเทิงหัวใจ?

พร้อมหรือยังสำหรับเรื่องราวอันเศร้าสร้อย ที่อาจทำให้ท่านน้ำตาคลอ หรือถึงขั้นต้องปาดหยดน้ำตาเงียบๆ

พร้อมหรือยังที่จะออกเดินทางย้อนสู่กาลเก่าก่อน สู่ยุคสมัยที่ท่านไม่คุ้นเคย กับผู้คนที่แม้ไม่รู้จักแต่ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า…

…ท่านจะรักพวกเขา

เอ้า! ถ้าพร้อมแล้วล่ะก็ ตามข้าพเจ้ามาเลย!

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
25 Chapters
บทที่ 1 การเล่านิทาน…ได้เริ่มแล้ว
สวัสดี สวัสดี… เหล่านักเดินทาง พ่อค้าแม่ขาย ผู้แสวงบุญ นักพรต ข้าหลวง หรือผู้ใดก็ตามที่ผ่านมาในเส้นทางสายนี้ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วโปรดพักผ่อนเสียที่นี่เถิด มีแอ่งน้ำซึ่งมีน้ำใสสะอาดพอจะดื่มกินแก้กระหายหรือจะใช้อาบให้คลายร้อนก็ย่อมได้ มีผลาผลมากมายให้ท่านเก็บกินแก้หิว และมีร่มไม้มากพอที่จะให้ท่านได้นอนหลับให้พ้นราตรีนี้ไปแต่ก่อนที่นิทราจะกลืนกินท่านให้ข้าพเจ้าได้ขับกล่อมท่านด้วยนิทานเรื่องนี้เถิด มาเพลิดเพลินกับตำนานอีกด้านที่น้อยคนจะรู้… ตำนานของสตรีผู้หนึ่งที่นักบันทึกมิได้จดจารลงม้วนตำราและกานท์กวีมิได้ใส่ลงไปในวรรณกรรม นามอันแท้จริงของนางข้าพเจ้ามีไว้ในใจแล้ว แต่เพื่อให้นางเป็นนางเอกของเรื่องข้าพเจ้าจึงได้ปรุงแต่งนามนางเสียใหม่ในเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังในภายหลังแม่นาง ผู้เป็นภรรยาของยอดขุนพลเครางามนามกระฉ่อนในยุคปลายแห่งต้าฮั่น เป็นมารดาของบุตรชายสองคนและบุตรหญิงหนึ่งคนของสกุลกวน และในความทรงจำของผู้คนที่ได้พานพบประสบเจอ นางคือแม่พระของชาวบ้าน เป็นแม่หมอผู้คอยรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยของผู้ไข้ทั้งหลาย อีกทั้งยังมีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อผู้ตกทุกข์ได้ยากแต่ในกาลเวลาที่แผ่นดินเป็นทุรยศเ
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 2 ชีวิตในฐานะศิษย์ และ “พี่ชาย”
เอ…ท่านผู้นั้นที่นั่งอยู่ตรงขอนไม้ถามข้าว่ากระไรนะ?“จะไม่เล่าเรื่องตัวละครซะหน่อยรึแมวดำแห่งเสียนหลอ?”อ้า! จริงสิ ข้านี่เล่าเสียเพลินจนลืมไปหมด… เล่าแต่ว่ามีเด็กหญิงตกต้นไม้ เด็กชายก็พาไปส่งบ้าน พูดแต่เรื่องราว…ลืมแนะนำตัวพระเอกเสียได้! เช่นนั้นก็ดี ข้าพเจ้าขอเริ่มจากผู้ที่ในตอนนี้ยังเป็นเพียงผู้น้อยแซ่กวน หนุ่มน้อยที่ยังไร้หนวดเครา หาใช่แม่ทัพผู้สง่างามดังในภาพวาดหรือศาลเจ้าทั่วแผ่นดินไม่…กวนอูผู้ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นวีรบุรุษและเทพเจ้าที่ทั้งสกลโลกรู้จักมักคุ้น เกิดเมื่อใดมิมีผู้ใดรู้ แต่คะเนว่าคงไม่ห่างจากเล่าเหี้ยนเต็ก (เล่าปี่เกิด ค.ศ. 161) และดูจะแก่กว่าเตียวหุยอยู่หลายขวบปีเลยทีเดียว ท่านเอย…อย่าได้เชื่อเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า กวนอูเป็นคนขายเต้าหู้หรือคนขายถั่ว นั่นน่ะมันเรื่องแต่งหลังจากนี้ไปนานโข แท้จริงแล้ว…เขาเกิดในตระกูลผู้ดี เป็นวิญญูชน นั่นแหละคือความจริงแท้แน่นอนมีเรื่องเล่ากันว่าเมื่อกวนอูอายุได้สิบหรือสิบเอ็ดปี กวนอูสามารถอ่านตำราชุนชิวให้จบได้ภายในหนึ่งคืนและหนึ่งวัน อีกทั้งยังท่องจำทุกบท ทุกตอน ทุกวรรคได้ถูกต้อง เห็นอะไรหรือไม่? ไม่ใช่แค่ใช้กระบี่คม หากแต่คมในต
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 3 ผู้งามพร้อมดั่งหยกทั้งสอง
จากบรรยากาศมีที่แต่ความร้อนและแสงจ้าจากรังสีแห่งดวงตะวัน แปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มด้วยเมฆและฝนอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ลูกเล็กเด็กแดงอยู่ที่ไหนพ่อแม่ก็ไปตามให้เข้าบ้านเพราะกลัวเป็นหวัด สาวน้อยสาวใหญ่ที่กำลังตากผ้าก็มีอันต้องเก็บผ้าเข้าบ้านพร้อมปากที่คว่ำและคิ้วขมวดเป็นปมอย่างไม่สบอารมณ์ จะมีเพียงแค่พวกชาวนาชาวไร่ที่ดีใจยามฝนเทกระหน่ำลงมาชโลมผืนดิน ใบข้าวและพืชพรรณที่พวกเขาปลูกไว้พวกสาวใช้ในเรือนของท่านโฮปินร้องกรี๊ดวี้ดว้ายวิ่งหนีกันอลหม่าน สวนทางกับมานพน้อยแซ่กวนที่กำลังเดินไปตามระเบียงพร้อมม้วนตำราที่ตนขนจากคลังของท่านอาจารย์เพื่อนำกลับไปอ่านที่ห้อง เขาพอจะเดาออกเลาๆ ว่าเพราะอะไร จากเสียงครืนๆ ที่แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกัมปนาทราวฟ้าดินจะแตกเป็นเสี่ยงกับแสงแวบวาบแปลบปลาบที่มาจากอสุนีบาตซึ่งฟาดลงมาที่พื้นดิน กระนั้นนั่นไม่ได้สั่นคลอนหัวใจชายหนุ่มเลยดวงตาคมราวตาหงส์มองเลยออกไปที่ศาลากลางสวนนั้น ดรุณีน้อยนางหนึ่งยังคงนั่งอยู่ในนั้นโดยไม่กลัวฝนที่สาดเข้ามา ไม่กลัวเสียงฟ้าร้อง และไม่กลัวเสียงฟ้าผ่า นางจ้องมองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ‘จะปล่อยนางไว้ให้ถูกน้ำถูกฝนก็อาจจ
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 4 แสงสว่าง ณ ฟากฝั่งน้ำ
“แม่จ๋า! แม่จ๋า!” เด็กหญิงตัวน้อยอายุได้ราวๆ ห้าขวบร้องไห้เรียกมารดาที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงภายในห้องที่ถูกกั้นไว้แน่นหนา ราวกับว่านางป่วยด้วยโรคร้ายที่ไม่ควรให้ใครนอกจากหมอเข้าใกล้ร่างกายของนางที่พร้อมจะแพร่โรคนั้นให้ใครเมื่อใดก็ได้เด็กหญิงดีดดิ้นในอ้อมกอดของบิดาที่รั้งนางไว้พร้อมๆ กับที่นางร้องไห้จ้า เขาเองก็มีน้ำตาที่ไหลอาบแก้มและหัวใจที่ร้าวรานไม่ต่างกัน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องไปที่ห้องนั้นอย่างไม่วางตาราวกับภาวนาขอให้มีความหวังหรือปาฏิหารย์บางอย่างเกิดขึ้น…แต่สิ่งนั้นก็ไม่เกิดขึ้นกับภรรยาของเขา อาจเพราะนางคงหมดเวลาบนโลกนี้แล้วจริงๆ“ข้าเสียใจด้วยท่านชี่จง นางทนความเจ็บปวดไม่ไหว…นางตายแล้ว”“แม่จ๋า! แม่จ๋า! ข้าจะไปหาแม่!”“แม่จ๋า!!!”เสียงกรีดร้องเพรียกหาผู้จากไปหยุดลงเมื่อผู้ส่งเสียงนั้นตื่นขึ้นมาบนเตียงไม้ในเรือนอีกหลังด้วยเนื้อตัวที่เปื้อนเหงื่อและใบหน้าเปื้อนน้ำตา ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จึงเป็นเพียงภวังค์ฝันจากอดีตที่นางนึกย้อนกลับไปแล้วต้องรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง …นางเริ่มรู้สึกตัวทีละน้อยเมื่อสัมผัสอันคุ้นเคยประทับที่แขนข้างหนึ่ง หันไปจึงพบบิดาที่มองนางด้วยแววตาเป็นกังวล คา
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 5 เชื้อเพลิงแห่งความริษยา และเด็กปากกล้า
“เฮ้ย! ไอ้ขี้ข้าหน้าแดงมันมาแล้ว!” เสียงใครคนหนึ่งล้อเลียนเมื่อกวนอูกำลังแบกน้ำจากบ่อหน้าเรือนไปเทลงโอ่งไหเงียบๆ“อย่างเอ็ง มีดีก็แค่ใช้แรงให้อาจารย์เท่านั้นแหละ! ฮ่าฮ่าฮ่า!” อีกคนหนึ่งหัวร่อร่าหนึ่งในคณะเด็กพาลพวกนั้น มีลิสง (呂嵩 : ลวี่สงในภาษาจีนกลาง) ลูกนายอำเภอผู้มีฐานะมาจากการขูดรีดลูกบ้านทั้งหลาย ซ้ำนายอำเภอฮอตังผู้เป็นบิดาก็ยังเลี้ยงดูลิสงแบบตามใจ แม้ลิสงจะได้มาเป็นศิษย์ของท่านโฮปิน การขัดเกลาชายหนุ่มคนนี้ เห็นทีจะได้แต่เปลือกนอกแห่งความเสแสร้งที่เขาสร้างมาก็เท่านั้นเขายิ้มเยาะเย้ยเด็กหนุ่มที่อ่อนกว่าเขาราวๆ สามปี (แต่ก็ตัวพอๆ กับเขา) ได้ไม่นานก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มและไมตรีจิตที่ซุกซ่อนเจตนาร้าย เอามือจับบ่ากวนอูศิษย์ผู้น้องเบาๆ “นี่…อาอู ให้ข้าช่วยเจ้ามั้ย?”“ขอบพระคุณขอรับ พี่ลิ–”โครม!!! ซ่า!!!ไม่ทันที่กวนอูจะพูดจบ ถังไม้ใส่น้ำที่เขาแบกหามมาถูกกระชากจากไหล่จนมันหล่นและน้ำก็หกราดพื้นหิน กระนั้น…แม้กวนอูถูกกระทำและถูกหัวเราะเยาะใส่ในฐานะ “คนโง่ที่ตามเกมคนฉลาด (แต่ชั่ว!) ไม่ทัน” เขาก็ไม่ตอบโต้อะไรกับพาลชนกลุ่มนั้นเลย…กลับย่อตัวลงไปหยิบถังไม้นั้นแล้วทำท่าจะเดินกลับไปที่บ่อน
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 6 ต้นไผ้ที่เริ่มสูงชะลูดกับดอกไม้ทะเลทรายในแดนฮั่น
กาลเวลาผันผ่าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเดียวกลายเป็นหลายปี…แผ่นดินจีนเข้าสู่ปีที่สามแห่งรัชศกกว่างเหอ (光和三年) หรือปี ค.ศ. 180 อันเป็นปลายรัชสมัยพระเจ้าเลนเต้ (ฮั่นหลิงตี้) บ้านเมืองภายในยังคงมีปัญหาจากการบริหารโดยเหล่าสิบขันทีที่คอยปิดบังพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าเลนเต้ด้วยอุปเท่ห์เล่ห์กล เหล่าผู้บริสุทธิ์มีใจจงรักในแผ่นดินและราชวงศ์ถูกใส่ร้าย ไม่ตายก็ต้องหลบลี้หนีภัยไปอยู่ที่อื่น ในขณะที่เหล่าคนพาลกลับถูกยกยอและได้ดีโดยที่ไม่มีวี่แววว่ากรรมจะตามทันเลย…โลกที่ทุกสิ่งกลับตาลปัตรราวกลียุคแบบในเยี่ยงยามนี้ จะดำรงไปอีกนานเท่าใดหนอ?เอาเป็นว่า…ทุกท่าน เรากลับเข้าเรือนท่านโฮปินและเข้าไปติดตามชีวิตของพระเอกนางเอกของเรากันต่อเถิด ว่าตอนนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่“กวนอูเอ๊ย…เจ้าอย่าได้ลังเลที่จะฟาดดาบไม้ไปที่อาแชเลย”ท่านโฮปินซึ่งบัดนี้เริ่มแก่ตัวลงจากช่วงแรกๆ ของเรื่องกำลังจิบชาในขณะที่สั่งให้ศิษย์รัก (และคนที่ท่านผู้ฟังเดาออกว่า…อยากได้อาอูเป็นเขยมาแต่แรก เมี้ยว~) ฟันฟาดลูกสาวตัวเอง! กวนอูที่ได้ยินคำสั่งนั้นชะงักงัน ตัวสั่นเทาน้อยๆมิใช่เพราะกลัวแพ้หรือกลัวเจ็บ แต่เป็นเพราะ… “ท่านอ
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 7 เริ่มต้นการเดินทางสู่โลกที่ไม่รู้จัก
ฮ้าวววว~ ชักง่วงซะแล้ว เอ้าพวกท่านทั้งหลาย! ง่วงไม่ง่วง?!พ่อค้า แม่ค้า พระธุดงค์ ข้าหลวง ฯลฯ : “ไม่~ง่วง~!”ข้าหลวง : “ข้ากำลังรอฟังอยู่นะเจ้าเหมียว!”สาวงามจากแดนต้าหยวน : “เรื่องของอาแชยังไม่จบเลยนา! เล่าให้จบเลยนังแมวดำแห่งเสียนหลอ!”ภรรยาของข้าหลวง : “พี่กวนต้องออกจากเรือนแล้วใช่ไหม?! เมื่อไหร่เขาจะสารภาพรักกัน ฮะ!”ดีล่ะ…งั้นพวกท่านจงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะจากนี้…เรื่องราวจะพาท่านทั้งหมดเดินทางออกจากเรือนของท่านโฮปิน เข้าสู่โลกที่มิอาจคาดเดา และรู้ไว้เสียด้วยล่ะ ว่าการเดินทางในครั้งนี้หาใช่เพียงการเปลี่ยนสถานที่ หากแต่คือการเปลี่ยนหัวใจและการเปิดสายตาของคนที่เกิดและโตในแดนฮั่น…ให้กว้างกว่าที่เคยเช้าวันนี้เป็นวันที่สดใส แดดยังไม่แรง ที่หน้าเรือนของท่านโฮปินในตอนนี้กำลังวุ่นวายกว่าวันไหนๆ พวกบ่าวไพร่พากันเดินขวักไขว่ มือถือข้าวของพะรุงพะรังเพื่อยกใส่เกวียน กับเอาไปมัดๆ รวมไว้เพื่อเตรียมแบกหามในระหว่างการเดินทางครั้งนี้“อ้าวเฮ้ยๆ เอาป้ายมาติดหน้าประตูทางเข้าเรือนข้าที่ว่า ‘ไปค้าขายต่างแดนไม่เปิดรับสอนจนกว่าจะกลับ’ พวกเด็กๆ จะได้ไม่หลงมา” ปราชญ์แซ่โฮสะบัดแขนชี้ไปที่ประตูให้บ่าวทำต
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 8 เสียงเพรียกแห่งคำทำนาย ณ วัดแป๊ะเบ๊ยี่
เสียงลมหวีดหวิวพัดกระทบกระดิ่งเงินในวัดดังกรุ๊งกริ๊ง และกลิ่นของควันธูปแต่ไกลๆ เรียกความสนใจของเด็กสาวในชุดไหมเนื้อดีให้มองตามขณะเดินเข้ามาในอารามแห่งแป๊ะเบ๊ยี่ เช่นเดียวกับชายหนุ่มหน้าแดงที่เดินตามนางและบิดาของนางเข้ามาด้วยรูปปั้นม้าสองตัวที่อยู่ตรงหน้าประตู…มันยังอยู่ในความทรงจำของกวนอูแม้จะผ่านเข้ามาภายในเขตวัดแล้วแม้มันจะเป็นหิน แต่เขารู้สึกได้ว่าเหมือนดวงตาของมันจะมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณของเขา และมีเสียงกระซิบบางอย่างที่จับใจมิได้ผ่านมาเข้าหู ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะคิดไปเอง… ‘แต่ดวงตามัน…เหมือนมองตามพวกเรามาจริงๆ’พระธุดงค์ : “โอ้…อาตมาว่ามันต้องมีอะไรแน่…”ภายในเขตแห่งแป๊ะเบ๊ยี่ วิหารทั้งหลายในนั้นถูกสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมฮั่น หลังคากระเบื้องมุงโค้งสีน้ำทะเลเข้มเรียงซ้อนลดหลั่นดั่งเกล็ดมังกร ลายปูนปั้นตามสันหลังคาเป็นรูปสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ เฟิ่งหวง กิเลน และเต่ามังกร ที่คอยค้ำจุนฟ้าดินตามความเชื่อแต่เดิมมา เสาคู่วิหารแกะลายเมฆมงคล ตัดกับผนังไม้ลงรักแดงเข้มที่ถูกกาลเวลาเผาไว้เป็นริ้วรอยนุ่มนวล ด้านในอบอวลด้วยกลิ่นไม้หอมและกำยาน ตลอดแนวทางเดินมีโคมจีนสีแดงแขวนสลับกับแผ่นไม้เขียนคำ
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 9 การเดินทางเริ่มอันตราย
นักรบพเนจร : “เฮ้ย! ข้าว่าเราขาดฉากมันๆ มานานละนะ!”ท่านอยากกินอะไรมันๆ เค็มๆ เหรอ?นักรบพเนจร : “ไม่ใช่โว้ย! ข้าหมายถึงฉากต่อสู้อะ! ฉากใช้กำลังภายใน พลังวรยุทธ์ หรือเพลงดาบเพลงกระบี่ไง!”อ้า~ อย่าเสียงดังใส่ข้าสิ เมี้ยว! ข้าล้อเล่นนนนน! พูดถึงฉากสู้รบปรบมือในเรื่อง จริงๆ มันก็มีในช่วงที่เด็กทั้งสองโตแล้วอะนะ มากกว่าช่วงนี้ด้วย…ว่าแต่ ท่านจะฟังเรื่องการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ในเส้นทางไปยังตะวันตกจริงๆ หรือ?ทุกคน: “เล่ามา! เล่าเดี๋ยวนี้! ห้ามกั๊ก! ห้ามเท!”พระธุดงค์ : “คุณโยมทั้งหลาย…ใจร่มๆ …”เอาล่ะๆ ข้าจะไม่กั๊กก็ได้ ทุกคน…กุมเสื่อให้แน่นๆ หรือไม่ก็จับมือกันไว้ (ตอนนี้ข้าหลวงและภรรยากุมมือกันและกันแน่น ส่วนนางระบำกับสาวต้าหยวนกระเถิบไปนั่งข้างๆ กัน พร้อมสายตาของทั้งคู่ที่สอดประสานเกินคำว่าเพื่อน…) เพราะการเดินทางต่อจากนี้ จะเริ่มเข้มข้น ดุเดือด และอันตรายกว่าครั้งไหนๆ เลยทีเดียว!คณะของท่านโฮปินกับบุตรีเดินทางออกจากลกเอี๋ยงในราวๆ สองวันต่อมา เจ้าลาทั้งสองที่เทียมรถที่พวกเขานั่งยังคงแข็งแรง ไม่บาดเจ็บหรือป่วย พวกม้าและล่อที่เทียมเกวียนขนของอื่นๆ ก็เช่นกัน ทุกคนในคณะเดินทางก็ยังมีอัตภาพแห่
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
บทที่ 10 เริ่มเห็นภยันตรายและความกันดารอยู่รำไร
“พวกเราก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้มันยุคเสื่อม ขโมยขโจรชุกชุมนักแหละ”“ใช่ๆ นายท่านกับบุตรสาวและบริวารควรเกาะกลุ่มกันให้ดีนะ”“เส้นทางยิ่งไกล ยิ่งอันตรายและห่างไกลความเจริญ ไหนจะโจร ไหนจะสัตว์ร้าย แถมภัยธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้อีก”เสียงของผู้คนมากหน้าหลายตาเตือนเหล่าคณะเดินทางของท่านโฮปินที่กำลังทยอยขนของขึ้นเกวียนหลังจากพักอยู่ที่เมืองนี้เพียงแค่สามวัน ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดกันหมด เห็นจะมีแต่อาแชที่แม้จะมีพี่เลี้ยงคอยเฝ้าแหนอย่างรัดกุมกว่าแต่เก่าด้วยกลัวจะถูกโจรลักไปอีก…กลับทำหน้าระรื่นชื่นบานเพียงคนเดียวทำไมน่ะรึ?ก็เพราะสายตาของนาง…มองพี่กวนที่ไปช่วยขนของตรงโน้นไงล่ะ!สาวงามจากต้าหยวน: “กรี๊ดดดดดดดด!!!”นางระบำ (ดัดเสียงสุดฤทธิ์) : “ต๊าย ตาย พี่กวนหล่อมากกกกก ไม่ล่ำไป ไม่ผอมแห้งไป โอ๊ยตายๆๆๆๆๆๆ! ข้าจะตายแล้ววววว!”เอิ่ม… ข้าจะไม่ออกความเห็นเรื่องร่างกายของท่านกวนหรอกนะ เดี๋ยวใครๆ จะหาว่าข้าเป็นนางแมวไม่รู้จักละอาย แต่ถ้าให้เลือกระหว่างม้าเหล็กของแคว้นซ่งหนูกับแผงอกของเขาแล้วล่ะก็…ข้าก็คงต้องขอซบแผงอกก่อนแล้วค่อยขี่ม้าทีหลังละกัน เมี้ยว~ (ณ ขณะนี้สาวๆ มองบนกันในทำนอง “เหรอออออออออ”)และแล้
last updateLast Updated : 2025-08-25
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status