กริ๊ง...กริ๊ง...
ใบหม่อนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนจะกล่าว
“อาหวง เอาเป็นว่า แกก็ลองไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านในบทสุดท้ายดูแล้วกันนะ เพราะพี่เองก็คิดเห็นไม่ต่างไปจากนักอ่านส่วนใหญ่ของแกเลย แค่นี้ก่อนนะ ถึงเวลาที่พี่ต้องเข้าไปตรวจดูอาการของคนไข้แล้วน่ะ”
(ได้ แต่พี่หม่อน...ถ้าว่างพี่ก็เข้ามาหาแม่บ้างนะ)
“อืม”
(อย่างนั้นผมไม่กวนละ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่)
หลังจากวางสาย ใบหม่อนก็เลื่อนปิดหน้าอ่านนิยายที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แล้วนำโทรศัพท์มือถือไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบสมุดกับปากกา จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง เพื่อไปตรวจดูอาการของคนไข้ที่ยังคงนอนไม่ได้สติมาเกือบสามเดือนแล้ว ซึ่งเธอได้รับหน้าที่มาเป็นพยาบาลพิเศษให้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากคนไข้ที่เธอต้องเข้ามาดูแลก็คือ หลานชายคนโตของท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียง
โดยท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงเป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง แล้วยังเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโรงงานผลิตอาหารไทยแช่แข็ง ซึ่งโรงงานดังกล่าวเป็นของคุณยายใบบัว ยายแท้ ๆ ของใบหม่อน แล้วที่สำคัญท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงยังเป็นเพื่อนสนิทกับคุณยายใบบัวด้วย
ใบหม่อนจึงยินดีรับงานนี้ในระหว่างที่เธอยังไม่สามารถออกเดินทางไปกับหน่วยแพทย์อาสาได้ เนื่องจากคุณยายใบบัวยังคงวิตกกังวลเรื่องโรคระบาดในช่วงที่ผ่านมา ท่านจึงยังไม่อยากให้เธอออกเดินทางในช่วงเวลานี้
แล้วก็คงจะด้วยเพราะคฤหาสน์ของท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงกับบ้านของใบหม่อนอยู่ห่างกันไม่มากนัก ในช่วงเวลาพักหรือในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอจึงยังสามารถแวะกลับไปดูแลผู้เป็นยายได้อย่างสะดวก และที่สำคัญก็คงจะด้วยเพราะความรู้สึกสงสาร หลังจากที่ใบหม่อนได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนไข้...
ใบหม่อนเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องนอนของคนไข้ เธอกลับไม่เห็นบอดี้การ์ดที่ท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงส่งมาคอยดูแลความปลอดภัยให้กับผู้เป็นหลาน ซึ่งโดยปกติแล้วบอดี้การ์ดทั้งสามมักจะผลัดกันมายืนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องนี้ทุกคืน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้หาคำตอบ ใบหม่อนก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแปลก ๆ ดังออกมาจากภายในห้องนอน เธอจึงตัดสินใจรีบเปิดประตูเข้าไปดู...
ภายในห้อง...ใบหม่อนเห็นบอดี้การ์ดทั้งสามคนกำลังต่อสู้อยู่กับชายฉกรรจ์สองคน ซึ่งถ้าหากเธอจำไม่ผิดชายฉกรรจ์สองคนนี้ก็คือ คนสวนที่ท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงเพิ่งจะรับเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ แล้วถึงแม้ว่าบอดี้การ์ดทั้งสามคนจะเป็นผู้ที่มีฝีมือด้านการต่อสู้ แต่ก็ดูเหมือนว่าคนร้ายสองคนนี้จะมีฝีมือที่ดีกว่า
เมื่อเห็นดังนั้นใบหม่อนจึงคิดจะออกไปตามคนมาช่วย แต่ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าถอยออกไปจากห้อง เธอก็เห็นคนร้ายหนึ่งในสองปลิดชีพบอดี้การ์ดคนหนึ่งด้วยปืนเก็บเสียง จากนั้นอีกฝ่ายก็เล็งปืนกระบอกนั้นไปทางคนไข้ของเธอ ใบหม่อนจึงตัดสินใจรีบขว้างสมุดกับปากกาไปที่มือของคนร้าย ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวเข้าไปกระโดดถีบคนร้ายคนนั้นพร้อมกับร้องตะโกนเรียกคนอื่น ๆ ที่อยู่ในคฤหาสน์ให้รีบออกมาช่วยอย่างสุดเสียง เพราะถึงแม้ว่าใบหม่อนจะพอมีวิชาสำหรับใช้ต่อสู้ป้องกันตัวอยู่บ้าง แต่เนื่องจากสภาพร่างกายของเธอกับคนร้าย อย่างไรเธอก็ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้อยู่ดี
พอใบหม่อนเห็นว่าคนร้ายคนนั้นล้มลงแล้ว เธอจึงมองไปทางประตูห้องนอนด้วยความหวังที่ว่า จะมีคนได้ยินเสียงเธอ แล้วรีบตามเข้ามาช่วย... แต่ในระหว่างนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นคนร้ายอีกคนลงมือจัดการกับบอดี้การ์ดสองคนที่เหลือเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังขึ้นลำปืน จากนั้นเจ้าตัวก็เล็งปืนกระบอกนั้นมาทางคนไข้ของเธอ!
ใบหม่อนจึงรีบพุ่งเข้าไปโอบกอดคนไข้ที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ก่อนจะพลิกตัวแล้วดึงร่างของอีกฝ่ายให้ลงมานอนกองที่พื้นด้วยกัน
อึก!
จากนั้นใบหม่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าห้าคนวิ่งเข้ามาภายในห้องนอน แล้วหลังจากนั้นก็เกิดเสียงการต่อสู้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
‘ตอนนี้ก็น่าจะปลอดภัยแล้วสินะ’ ใบหม่อนคิดในใจ ก่อนจะก้มลงไปมองชายหนุ่มในอ้อมแขน จากนั้นเธอก็เห็นที่ไหล่ข้างซ้ายของเจ้าตัวมีเลือดไหลเลือดซึมออกมา แต่ดูแล้ว...กระสุนก็น่าจะแค่เฉียดเท่านั้นเอง หลังจากนั้นใบหม่อนก็เห็นเลือดที่กำลังทะลักออกมาจากบ่าข้างขวาของเธอ
‘ปืนรุ่นไหนเนี่ย ยิงครั้งเดียว...’ คิดได้เพียงเท่านั้น ทุกอย่างที่ใบหม่อนมองเห็นก็ดับวูบไปจากสายตาทันที
‘ที่นี่ที่ไหน?’
ใบหม่อนถามตัวเองในใจ หลังจากลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสาในห้องนอนที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง แล้วเมื่อใบหม่อนขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง เธอก็ได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นมาจากภายในหัว...
(สวัสดีค่ะโฮสต์)
‘อย่าบอกนะว่า...’
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
เมิ่งเจียวซินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมสติเพ่งมองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เธอเห็นหลี่อวิ้นกุยควบม้าตะบึงนำเหล่าองครักษ์ออกจากเขตวังราชาปีศาจ จากที่เธอสังเกตราวกับว่า...มีกล้องวีดีโอคอยตามถ่ายความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นกุย แล้วส่งเรื่องราวเหล่านั้นมาให้เธอดู เมิ่งเจียวซินเห็นหลี่อวิ้นกุยนำเหล่าองครักษ์เข้าต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำที่กำลังโจมตีขบวนรถม้า... หากวัดจากจำนวนคน...ฝ่ายของหลี่อวิ้นกุยน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเท่าตัว แต่ทว่าหากวัดจากฝีมือการต่อสู้ และพลังที่ปล่อยออกมา ฝ่ายของบุรุษที่เธอรักดูเหนือกว่ามาก ในขณะที่หลี่อวิ้นกุยต้องรับมือกับเหล่าศัตรูถึงห้าคนพร้อมกัน เจ้าตัวเกิดพลาดถูกดาบของหนึ่งในห้าฟันเข้าที่ต้นแขนข้างขวา แล้วแทนที่เลือดจะไหลซึมออกมาเป็นสีแดง แต่ทว่ามันกลับเป็นสีดำ!
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติของตัวเองกลับมา จากนั้นก็ก้มลงไปหยิบปากกา เธอยื่นมันกลับไปให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า ระหว่างนั้นคุณหมอนพชัยก็เชิญเธอลงมานั่งพูดคุยด้วย แต่ทว่า... “ผมเซ็นยินยอมเข้าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก ตอนนี้คุณหมอนพชัยควรเก็บเอกสารส่วนตัวของผมทั้งหมดกลับเข้าไปในแฟ้ม แล้วผมจำได้...เมื่อครู่คุณหมอนพชัยบอกว่า ช่วงสายมีเคสผ่าตัดไม่ใช่หรือครับ?” “ครับ...จริงด้วยครับ อย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” เมิ่งเจียวซินขยับลงไปนั่งที่เก้าอี้ เธอจ้องมองบุรุษหนุ่มบนรถเข็น แม้แต่สีหน้า และท่าทีเวลาข่มขู่ผู้อื่น บุรุษหนุ่มก็ยังเหมือนกับคนในความทรงจำของเธอ เมื่อคุณหมอนพชัยเดินห่างออกไปพอสมควรแล้ว เมิ่งเจียวซินก็เห็นคุณใหญ่หันกลับมา แล้วเตรียมอ้าปากเหมือนจะพูด เธอจึงชิงถามออกไปก่อนว่า
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติ ปรับลมหายใจ อาจเพราะเธอรู้ชื่อจริงของคุณใหญ่จึงได้รู้สึกหวั่นไหวเช่นนี้ พอรวบรวมสติของตัวเองกลับมาได้ เมิ่งเจียวซินจึงรับรู้ว่า พ่อบ้านเจิ้งกำลังเล่าเรื่องอะไรบางอย่างให้เธอฟัง แล้วด้วยความที่ไม่ได้ฟังมาตั้งแต่แรก เธอจึงหันไปทำทีพยักหน้า พร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เริ่มฟังว่า บุรุษสูงวัยกำลังเล่าเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าก็คือ เรื่องเดียวกับที่คุณยายใบบัวเพิ่งจะเล่าให้เธอฟัง แล้วในขณะที่เมิ่งเจียวซินหันไปให้ความสนใจกับพ่อบ้านเจิ้ง เธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองมา แต่พอเธอหันไปทางนั้น...ผู้ที่แอบมองกลับรีบก้มหน้าหลบตา เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินจึงลอบสังเกตฝ่ายตรงข้าม คุณใหญ่หลี่อวิ้นกุยมีอายุน้อยกว่าเธอสองปี แล้วเกือบสามเดือนที่ผ่านมา...เจ้าตัวนอนหลับอยู่บ
ระหว่างนั้นพยาบาลได้เข็นรถอาหารเข้ามาในห้องพัก จากนั้นพยาบาลคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาปรับเตียง พร้อมกับจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทานอาหารให้กับเมิ่งเจียวซินจนเรียบร้อย ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง เมิ่งเจียวซินยื่นมือออกไปเตรียมจะหยิบช้อน แต่ทว่าคุณยายใบบัวก็ชิงหยิบช้อนตัดหน้า จากนั้นอีกฝ่ายก็ตักข้าวต้มกุ้ง แล้วยื่นมาชิดที่ริมฝีปากของเธอ “บาดแผลที่บ่าเพิ่งจะสมานกัน คุณหมอสั่งว่า ช่วงนี้ใบหม่อนควรเคลื่อนไหวแขนข้างขวาให้น้อยนะลูก” เมิ่งเจียวซินพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง เพราะรู้ดีว่า ช่วงที่เธอนอนไม่ได้สติเกือบเก้าวันคงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงมาก เวลานี้คุณยายใบบัวอยากทำอะไร เธอก็จะยอมตามใจทุกอย่าง เธอส่งยิ้มปลอบโยนให้ผู้เป็นยาย ก่อนจะอ้าปาก แล้วในขณะนั้นภาพของใครอีกคนที่เมิ่งเจียวซินยอมให้ป้อนอาหารใส่ปากก็ทับซ้อนกับสตรีส
เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพดานห้องที่ดูเหมือนจะทั้งคุ้น และไม่คุ้นตา ยามนี้นางรู้สึกมึน และรู้สึกปวดศีรษะมาก นางจึงหลับตาลง แล้วลองลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้า ๆ จากนั้นจึงก้มลงไปมองสำรวจร่างกายของตัวเอง... ‘ผ้าห่มโรงพยาบาล ผ้าก๊อซ สายน้ำกลือ?’ เมิ่งเจียวซินละสายตาจากสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่บนมือข้างซ้าย จากนั้นก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง นางเห็นคุณยายใบบัวกำลังนั่งพูดคุยอะไรบางอย่างกับหมอ และพยาบาลอยู่ที่โซฟา แล้วเมื่อคนทั้งสามหันมาสบตากับนาง “ใบหม่อน! หนูฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างลูก? เจ็บตรงไหนบ้าง?” เมิ่งเจียวซินมองคุณยายใบบัว หมอ และพยาบาลที่เดินเข้ามาสอบถาม แล้วไล่ตรวจดูร่างกายของนาง โดยในระหว่างนั้นเมิ่งเจียวซินสังเกตเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงจากผู้เป็นยาย รวมไปถึงน้ำตาที่ไ
หลังจากนั่งพูดคุยวางแผนทั้งตั้งรับ และสู้กลับเกือบสองชั่วยาม หลี่อวิ้นกุยก็รีบขอตัวกลับไปป้อนยาเมิ่งเจียวซินที่ตำหนัก ก่อนออกมาเขาได้ฝากจิ่นโซวกับโจวหลิวอิงดูแลความปลอดภัยของผู้เป็นบิดา เพราะถึงพวกเขาจะสั่งปิดเส้นทางลับใต้ดินไปแล้ว และยังส่งเหล่าทหารไปเฝ้าหน้าปากทางเข้าออก แต่ทว่าจะประมาทคนมากเล่ห์เจ้าแผนการอย่างหลี่อวิ้นหยางไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อกลับมาถึงตำหนัก หลี่อวิ้นกุยก็ได้รับรายงานว่า ยามนี้ขบวนรถม้าของเมิ่งเจียวฉือเข้ามาในเขตของเผ่ามารแล้ว เขาจึงตัดสินใจให้องครักษ์รีบไปดูที่ประตูพระราชวังทางทิศตะวันออก หากปลอดภัยก็ให้ผู้นำขบวนรถม้าพาเมิ่งเจียวฉือเข้ามาทางประตูนั้นได้เลย แต่ถ้าหากดูแล้วน่าจะไม่ปลอดภัย หรือน่าจะเกิดปัญหาในขณะเคลื่อนขบวนรถม้าเข้ามา ก็ให้รีบไปแจ้งผู้นำขบวนถอยขบวนรถม้าไปพักที่จวนตระกูลโจวก่อน เมื่อสั่งการเสร็จ หลี่อวิ้นกุยก็รีบปรับลมหายใจ รวบรวมสติ พอสงบใจลงได้ เขาจึงเดินไปเปิดประตูห้องพักของเมิ่งเจียวซิน&n