เมิ่งเจียวซินล้มตัวลงไปนอน โดยมีลูกกระรอกน้อยนอนซบอยู่บนบ่าข้างขวาของนาง ซึ่งนางก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ‘ยามนี้เท่ากับว่า...ข้าสามารถคลายข้อสงสัยเรื่องที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นผู้ฆ่าบิดาของตนเองจริงหรือไม่ออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังมีเพียงข้าที่เลิกสงสัยในตัวหลี่อวิ้นกุยแล้ว เช่นนั้นจะถือว่าข้าทำภารกิจที่ห้าสำเร็จหรือไม่นะ?’ ‘แต่...ภารกิจทุกข้อที่ได้รับมา ล้วนมุ่งเน้นให้ข้าทำเพื่อหลี่อวิ้นกุยทั้งสิ้นเช่นนั้นสิ่งที่ระบบต้องการก็คงไม่ใช่เพียงแค่ข้าที่คลายความสงสัย แต่คงจะหมายถึงคนอื่น ๆ ในโลกใบนี้ด้วยเป็นแน่’ยามนี้แม้ว่าเมิ่งเจียวซินจะหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเองได้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะเจอเข้ากับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ‘แล้วข้าควรจะทำอย่างไร...ให้คืนนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่เข้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาดีล่ะ?’
ซึ่งหลังจากจัดเตรียมสำรับในห้องพักเสร็จ เจ้าลูกกระรอกก็เดินออกมาจากฉากกั้นด้วยร่างมนุษย์พอดี เมิ่งเจียวซินกับเด็กหนุ่มจึงนั่งรับสำรับเช้าร่วมกัน โดยเมิ่งเจียวซินได้บอกให้เด็กหนุ่มรับอาหารให้มากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากในช่วงเที่ยงเจ้าตัวจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อเข้าร่วมรับสำรับกับพวกนางได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็อาจจะได้กินเพียงขนมกับผลไม้เท่านั้น แล้วหลังจากรับสำรับเช้าเสร็จ คนทั้งสองก็นั่งอ่านตำราด้วยกันที่โต๊ะกลมกลางห้อง จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงเรียกนามของเมิ่งเจียวซินดังขึ้นมาจากด้านหน้าเรือน เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ซึ่งยามนี้เจ้าตัวก็ได้ลุกแล้วเดินออกไปนั่งเปลี่ยนร่างที่เตียงนอน เพียงไม่นานลูกกระรอกตัวน้อยก็มุดออกมาจากชุดคลุมบุรุษ เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงลุกออกจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงไปนั่งยอง ๆ กับพื้น ก่อนจะยื่นมือไปให้เจ้าตัวเล็กไต่ขึ้นมาเกาะอยู่บนไหล่ข
เมิ่งเจียวซินแม้จะยังสลัดเรื่องที่พูดคุยกับเจ้าลูกกระรอกออกจากความคิดของตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเห็นหมิงจิวเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าและท่าทางแปลก ๆ มันก็ทำให้นางเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา หรือว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทันได้ยินเสียงพูดคุยของเจ้าตัวเล็กเมื่อครู่ “เจียวซิน ในเมื่อยามนี้เราสองคนเป็นสหายกันแล้ว ข้าขอพูดอะไรกับเจ้าตรง ๆ ได้หรือไม่?” “อืม...ได้สิ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะคาดเดาได้ว่า เจ้าลูกกระรอกเป็นปีศาจ เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะรับเรื่องที่พวกปีศาจกับพวกมารแฝงตัวเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีมนุษย์ส่วนไม่น้อยเลยที่ยังคงแบ่งแยก และต่อต้านเรื่องนี้อยู่ “เจ้าปักปิ่นปีนี้ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเจียวซินถอนหายใจออกมาเบา ๆ หนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าหมิงจิวยังคงพยายามพูดโน้มน้าวใจของนางไม่หยุด นางจึงตัดสินใจกล่าวสิ่งที่คิดออกมาทันที “หมิงจิว ข้าขอพูดกับเจ้าตรง ๆ นะ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แล้วอย่างที่ข้าบอกกับเจ้าไปเมื่อครู่...ข้ากับพี่ชายหมิงพูดคุยกันยังไม่ถึงห้าครั้งเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็เหลืออีกเกือบสองเดือนข้าถึงจะปักปิ่น และหากปักปิ่นแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะต้องแต่งงานทันทีเลยมิใช่หรือ?” “ข้า...” “ข้าเข้าใจในความหวังดีของเจ้านะหมิงจิว แต่ข้าขอให้มันเป็นเรื่องของภายภาคหน้า ตอนนี้ข้ายังไม่อยากคิดเรื่องคู่ครอง” “อืม...ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจียวซินหากวันไหนเจ้าคิดเรื่องคู่ครอง เจ้าช่วยรับพี่ชายของข้าไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ได้หรือไม่?” เมื่อเห็นว่าตน
เมื่อหาข้อสรุปให้กับตนเองได้แล้ว เมิ่งเจียวซินจึงปรับน้ำเสียงของนางให้อ่อนโยนลง ก่อนจะกล่าว “กุยกุยฟังข้านะ ข้าไม่รู้และข้าก็ไม่เข้าใจด้วยว่า อะไรทำให้เจ้าคิดไปว่าการที่สตรีนางหนึ่งส่งยิ้มให้กับบุรุษเป็นการกระทำที่ไร้ยางอาย เพราะสำหรับข้ารอยยิ้มเป็นเพียงการแสดงความรู้สึก แล้วในบางครั้งข้าก็ใช้การส่งยิ้มแทนการสื่อสาร เพราะการที่ข้าส่งยิ้มให้กับผู้อื่น บางครั้งมันช่วยให้ข้าได้สิ่งในที่ตัวเองต้องการ แล้วในบางครั้งมันก็ยังช่วยให้ข้าสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย” “เจ้าใช้การส่งยิ้มแทนการสื่อสารเช่นนั้นหรือ?” “ใช่ เจ้าดูนี่นะ” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็ยิ้มแบบไม่ถึงดวงตาให้เด็กหนุ่มดู “ยิ้มแบบนี้ ข้าเรียกว่าเป็นการยิ้มผูกมิตร ข้ามักจะใช้ในยามที่ข้าพบเจอกับผู้อื่นเป็นครั้งแรก คล้ายกับการเปิดทางเพื่อให้ตัวข้าได้เข้าไปพูดคุย และทำความรู
“เจ้านี่ช่าง!” หลี่อวิ้นกุยยามนี้ทั้งรู้สึกโมโห ทั้งเสียหน้า และรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเป็นสตรีนางอื่นมาทำกับเขาแบบนี้ เขารับรองได้เลยว่า...สตรีนางนั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยืนหายใจต่อ แต่พอเป็น... “ซินซิน เจ้าห้ามยิ้มแบบเมื่อครู่ให้ผู้อื่นเห็นเด็ดขาด โดยเฉพาะกับบุรุษหน้าเหม็นพวกนั้น” หลี่อวิ้นกุยพยายามปรับลมหายใจของตัวเองขณะกล่าว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?” “ข้ารู้แล้ว ข้าก็เพิ่งจะเคยลองยิ้มแบบนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็ยิ้มให้กับเจ้าเป็นคนแรกด้วย แต่...ใบหน้ากับใบหูของเจ้ายังคงแดงอยู่เลยนะ” “ซินซิน...เจ้านี่ช่างน่าตายเสียจริง!” หลี่อวิ้นกุยมองสตรีที่ยังคงหัวเราะใส่เขาไม่หยุดอย่างอ่อนใจ
เมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เมิ่งเจียวซินก็ขอตัวออกไปจัดการดูแลตัวเองที่ห้องน้ำด้านหลังเรือน หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็กลับเข้ามาให้ห้องพร้อมกับเสื้อคลุมบุรุษตัวใหญ่หนึ่งตัว “กุยกุยหลังจากเจ้าจัดการดูแลตัวเองเสร็จแล้ว เจ้าก็ใส่เสื้อคลุมตัวนี้เพียงแค่ตัวเดียวนะ” หลี่อวิ้นกุยทำเพียงพยักหน้า จากนั้นเขาก็เข้าไปรับเสื้อคลุมจากมือของเมิ่งเจียวซิน ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องพักไป เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นว่าเจ้าลูกกระรอกถอยออกจากห้องไปแล้ว นางจึงเดินเข้าไปเตรียมผ้าซับน้ำ ผ้าห่มผืนบาง ชุดคลุม และชุดบุรุษไว้ให้กับเด็กหนุ่มอย่างละหนึ่งชุด เพื่อให้เจ้าตัวไว้ใช้เปลี่ยนหลังจากลงไปแช่สมุนไพรล้างพิษเสร็จ จากนั้นนางก็ยังแอบเตรียมกระบอกไม้ไผ่สำหรับใช้ถ่ายเบา กระโถน ผ้าซับน้ำ และผ้าห่มผืนบางเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งผืน เผื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน &n
เมิ่งเจียวซินมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเข้าใจ ที่ผ่านมาอีกฝ่ายพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับจากยาพิษ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยแม้แต่จะฟูมฟายหรือแสดงอาการสิ้นหวังออกมาให้นางได้เห็นเลยสักครั้ง เพียงเท่านี้นางก็แอบชื่นชมเด็กหนุ่มในใจมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรเจ้าลูกกระรอกในสายตาของเมิ่งเจียวซินก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มวัยสิบสี่หนาวเท่านั้นเอง แม้ในโลกใบนี้จะผลักดันให้เด็กหนุ่มและเด็กสาวเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เร็วกว่าโลกใบเดิมของนางมากแค่ไหน แต่การที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกวางยาพิษที่หมายจะทำลายชีวิตของเจ้าตัว ซึ่งนี่ก็ยังนับไม่รวมไปเรื่องที่ว่า...ผู้ใดเป็นผู้วางยาพิษเจ้าลูกกระรอกเลยนะ เนื่องจากในครั้งแรกที่เมิ่งเจียวซินได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มเกี่ยวกับเรื่องยาพิษในร่างกาย ยามนั้นนางสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากเจ้าตัว แล้วไหนจะสีหน้าและสายตาที่แสดงออกมาให้นางได้รู้ว่า อีกฝ่ายกำลังรู้สึกเจ็บปวดและเคียดแค้นผู้ที่วางยาพิษ
เมิ่งเจียวซินจ้องหน้าหลี่อวิ้นกุย คำพูดของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย ยามนี้เมิ่งเจียวซินไม่รู้แล้วว่า ระหว่างฝีปาก ความเจ้าเล่ห์ หรือความไร้ยางอาย สิ่งไหนบุรุษตรงหน้ามีมากกว่ากัน แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเห็นดวงตาคู่คมที่ฉาบไปด้วยความปรารถนา มันกำลังหลอกล่อ และเชิญชวนนางให้รีบเข้าหา ไม่ผิดเลยกับคำพูดที่เขาบอกต่อกันมาว่า ‘ปีศาจมักล่อลวงมนุษย์!’ แต่ทว่าบุรุษตรงหน้าเป็นมนุษย์ครึ่งมาร แล้วครึ่งมารคนนี้ก็กำลังใช้รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใบหน้ารูปงาม ดวงตาคู่คมที่เปล่งประกาย แต่ทว่ากลับดูลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด แล้วไหนจะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ไม่ว่าจะจับ หรือจะมองส่วนไหน มันก็ช่าง...ช่างน่าหลงใหลไปเสียหมดทุกส่วน สรุปโดยรวมเลยก็คือ หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้ร่างกายของตัวเองหลอกล่อนาง ไม่สิ! คืนนี้นางต้องเป็นฝ่ายหลอกล่อ ไม่ใช่! คืนนี้นางจะต้องเป็นฝ่ายศึกษาร่างก
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก