หลังจากดูแลร่างกายของตนเองเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินกลับเข้าไปตรวจดูอาการของเจ้าลูกกระรอกต่อ ซึ่งตอนนี้อุณหภูมิร่างกายของเด็กหนุ่มเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงรีบลงมือเช็ดตัวระบายความร้อน จากนั้นนางก็ประคองร่างของเด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เพราะนางต้องการจะให้อีกฝ่ายดื่มน้ำ
แต่ในระหว่างที่นางก้มลงไปจัดท่านั่งให้กับเจ้าลูกกระรอก เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวสาดรดลงมาที่บริเวณลำคอของนาง แล้วในขณะที่นางจะเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง...
เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันอุ่นร้อนและอ่อนนุ่มตรงบริเวณข้างแก้ม ก่อนที่สัมผัสนั้นจะค่อย ๆ เลื่อนแล้วลงมาหยุดที่บริเวณลำคอของนาง!
ในขณะที่เมิ่งเจียวซินยังทำอะไรต่อไม่ถูก นางก็รับรู้ได้ถึงการเกร็งตัวของเด็กหนุ่ม ก่อนที่ร่างกายของอีกฝ่ายจะทรุดฮวบลงมาพิงที่ตัวของนาง ด้วยความรู้สึกตกใจ เมิ่งเจียวซินจึงรีบรับร่างของอีกฝ่ายเ
เมิ่งเจียวซินพอจัดการงานในส่วนของช่วงเช้าเสร็จ นางก็เดินกลับเข้ามาป้อนข้าวและป้อนน้ำให้กับเจ้าลูกกระรอก หลังจากนั้นนางจึงถอยลงมาจัดการกับสำรับของตนเอง เมื่อจัดเก็บและทำทุกอย่างเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปที่เตียง จากนั้นนางจึงสั่งให้เจ้าลูกกระรอกหลับตา แล้วนางก็ลงมือถอดเสื้อคลุมและเสื้อตัวในของเด็กหนุ่มกับของตนเองออก ก่อนที่นางจะลงไปนอนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าลูกกระรอก ซึ่งในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่นางเข้าไปนอนในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ในขณะที่เจ้าตัวยังคงมีสติ ยังไม่หลับ และยังอยู่ในช่วงเวลากลางวันด้วย! เมิ่งเจียวซินพยายามกดข่มความรู้สึกอาย ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้กับตนเองและคนที่นอนอยู่ข้างกาย แล้วหลังจากนั้นนางจึงขยับไปดึงแขนข้างขวาของเด็กหนุ่มให้มาโอบกอดรอบแขนของตนเองเอาไว้ 
หลังจากวันนั้น ร่างกายของเจ้าลูกกระรอกก็มีแต่ทรงกับทรุด เมิ่งเจียวซินจึงตัดสินใจส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าตัวเพิ่มในช่วงเช้าอีกวันละครึ่งชั่วยาม เท่ากับในแต่ละวันนางจะต้องส่งมอบพลังหยินให้กับเด็กหนุ่มวันละสี่ครั้ง คือ ช่วงเช้ากับช่วงบ่ายครั้งละครึ่งชั่วยาม และช่วงกลางดึกตอนที่พิษในร่างกายของเด็กหนุ่มกำเริบกับตอนที่เจ้าตัวกำลังนอนพัก จึงส่งผลให้ร่างกายของนางเริ่มรู้สึกอ่อนล้าและอ่อนแรง จนทำให้ในทุกครั้งหลังจากที่นางส่งมอบพลังหยิน เมิ่งเจียวซินก็มักจะเผลอหลับไปในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มต่อไม่ต่ำกว่าครั้งละหนึ่งชั่วยาม จนเวลาผ่านล่วงเลยเข้าสู่วันที่สิบสองที่เจ้าลูกกระรอกจะต้องลงไปแช่ตัวในน้ำสมุนไพรล้างพิษ วันนี้สภาพร่างกายของเด็กหนุ่มถือว่าดีขึ้นมาก เพราะเจ้าตัวสามารถลุกขึ้นมานั่งพูดคุ
เมิ่งเจียวซินนอนแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกับเจ้าลูกกระรอกมาได้สักพัก คืนนี้นางก็รู้สึกว่า การดูดซับพลังหยินของเด็กหนุ่มมันดูเบาบาง นางจึงลองขยับแผ่นหลังของตนเองแนบชิดไปกับหน้าอกและกล้ามหน้าท้องของอีกฝ่ายให้มากขึ้น ทว่า...การดูดซับพลังหยินก็ยังคงบางเบาเหมือนเดิม แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงอาการของเด็กหนุ่มตั้งแต่ในช่วงเช้า หรือจะเป็นเพราะว่า...ยามนี้ยาพิษที่อยู่ในร่างกายของเจ้าตัวมันถูกถอนออกมาจนเกือบหมดแล้ว! แต่จะว่าไป...เจ้าลูกกระรอกของนางก็ถูกวางยาพิษตัวเดียวกับหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เด็กหนุ่มได้รับจากยาพิษ รวมไปถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากการถอนพิษออกจากร่างกายตลอดระยะเวลาสิบกว่าคืนที่ผ่านมา... ‘ขนาดปีศาจกระรอกยังผ่านมันมาอย่างสาหัส แล้วหลี่อวิ้นกุยที่เป็นคนของเผ่ามารล่ะ เจ้าตัวจะรู้สึกเจ็บปวดภายในร่างกายมากขนาดไหนกันนะ?
หลังจากการสูญเสียในครั้งนั้น หลี่อวิ้นกุยก็ได้ตัดสินใจเริ่มกระบวนการล้างแค้นของตนเองทันที โดยเขาเลือกการเอาคืนแบบเหมารวม ซึ่งเขาได้เริ่มต้นที่องค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่... หลี่อวิ้นกุยใช้เวลาวางแผนและลงมือตระเตรียมแผนการเกือบเจ็ดวัน โดยเขาเลือกใช้ประโยชน์จากสารที่เขาได้รับมาตั้งแต่เมื่อห้าเดือนก่อน นั่นก็คือ สารเกี่ยวกับเผ่าปีศาจมังกรน้ำเนื่องจากเผ่าดังกล่าวทำตัวไม่ต่างไปจากกลุ่มโจรที่คอยลอบดักปล้น ฉุดคร่า เหล่าขบวนนักเดินทางที่สัญจรผ่านเส้นทางน้ำใกล้บริเวณที่ตั้งเผ่า เมื่อเขาจัดการเรื่องพิธีศพของหมอท่านนั้นเสร็จ หลี่อวิ้นกุยจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา แล้วทูลขอกองกำลังทหารเพิ่มจากอีกฝ่าย เพื่อออกไปจัดการกับเผ่าปีศาจมังกรน้ำ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเผ่ามาร โดยหลี่อวิ้นกุยก็ไม่ลืมทูลขอองค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่พร้อมกับกองกำลังทหารในสังกัดของเจ้าตัว ให้ร่วมออกเดินทางไปกับเขาในครั้งนี้ด้วย&n
หลังจากหลี่อวิ้นกุยเดินทางกลับมาถึงเผ่ามารวันแรก เขาก็ได้รับรายงานมาว่า มีทหารมารในกองทัพสามตน นำเรื่องที่เขาสั่งห้าม...ไปเล่าให้กับคนในครอบครัวของเจ้าตัวฟัง จึงส่งผลให้เขาจำเป็นต้องทำตามที่ได้เคยประกาศเอาไว้ หลี่อวิ้นกุยสั่งลูกน้องของเขาไปลอบจับตัวทหารมารทั้งสามตนนั้น รวมไปถึงทุกคนในครอบครัว และญาติสนิทมิตรสหายของทหารมารทั้งสามตนนั้นมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาดูดกลืนจิตวิญญาณกับมารเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมกับออกคำสั่งให้เผ่าทำลายศพของมารเหล่านั้นทันที แล้วหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา หลี่อวิ้นกุยก็ไม่ได้รับรายงานว่า มีทหารในกองทัพเผ่ามารตนใดกล้านำเรื่องที่เกิดขึ้นในการต่อสู้ครั้งนั้นออกมาพูดคุยกันอีกเลย แต่ทว่า...ผ่านไปเพียงแค่สองวัน เขากลับได้รับรายงานมาว่า มีมารหลายกลุ่มได้กล่าวเยินยอเรื่องที่เขาสามารถโค่นล้มเผ่าปีศาจมังกรน้ำจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แล้วก็ยังมีมารบางกลุ่มได้เอ่ยสรรเสริญเรื่องที่เขาพาลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกไปช่วยตามหาองค์ช
ตอนที่เมิ่งเจียวซินอ่านบทบรรยายเกี่ยวกับการไล่ล้างแค้นศัตรูของหลี่อวิ้นกุย... เริ่มแรกแม้นางจะรู้สึกสงสารพระเอกของนิยายเรื่องนี้มาก แต่หลังจากที่เจ้าตัวก้าวขาเข้าไปในด้านมืด ความรู้สึกสงสารที่เมิ่งเจียวซินเคยมี มันก็เริ่มหล่นหายไปทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะในบทหลัง ๆ ของนิยาย...ที่หลี่อวิ้นกุยเริ่มเอาความแค้นของตนเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็เพราะการแก้แค้นแบบเหมารวมของเจ้าตัวนั้น ทำให้มีผู้บริสุทธิ์มากมายได้รับผลกระทบจากการแก้แค้นของหลี่อวิ้นกุยไปด้วย แล้วไหนจะการสังหารเพียงเพราะต้องการจะปิดปาก เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และการยอมรับจากผู้อื่นอีก แล้วในบางครั้งพระเอกของนิยายเรื่องนี้อย่างหลี่อวิ้นกุยก็ถึงกับไปหาเรื่องลงมือทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เพียงเพราะเจ้าตัวอยากจะเฝ้ามอง...สีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บปวดของคนผู้นั้น ในความคิดของเมิ่งเจียวซิ
หลี่อวิ้นกุยรู้สึกสะท้านในอก เมื่อนึกไปว่าจะมีผู้ใดส่งนักฆ่ามาลอบสังหารสตรีตรงหน้า แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง...ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นผู้ใด! เขาขอสัญญาเลยว่า...เขาจะตามไปลากคอพวกมันมา จากนั้นก็จะสั่งคนของเขาแล่เนื้อเถือหนังของพวกมันออกมาให้ได้อย่างต่ำสามพันชิ้น แล้วในระหว่างนั้นเขาก็จะให้คนมาคอยสาดน้ำเกลือ และคอยฝังเข็มด้านชา แม้ว่าพวกมันอยากจะตาย เขาก็จะไม่มีวันให้พวกมันได้ตายสมใจ จนกว่าร่างกายของพวกมันจะแหลกคาตาของเขา แล้วทุกคนในครอบครัวของพวกมันก็อย่าหวังว่าจะรอด เพราะเขาจะให้คนไปลากทุกคนในครอบครัวของพวกมันมา จากนั้นก็จะให้คนของเขาจับทุกคนในครอบครัวของพวกมันมานั่งถ่างตา...คอยเฝ้าดูทุกครั้งที่เขามีคำสั่งให้ลงใบมีดเฉือน! แต่ทว่า...เมื่อหลี่อวิ้นกุยคิดตามที่เมิ่งเจียวซินถาม หากยามนี้เขาไม่ได้รู้จักกับนาง แล้วสามคนนั้นมาทำเช่นนั้นกับเขา ตัวเขาก็อาจจะ... เมิ่งเจียวซ
“ส่วนคำว่า ‘คู่ครอง’ สำหรับข้าคือ คนที่ข้าจะครองคู่อยู่ร่วมกับคนผู้นั้นไปตลอดชีวิต คอยแบ่งปันทั้งความทุกข์และความสุข ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของกันได้ แล้วที่สำคัญจะต้องมีข้าเป็นคู่ครองเพียงหนึ่งเดียว เพราะข้าไม่คิดจะใช้สามีร่วมกับสตรีนางใด” พูดมาถึงตรงนี้ เมิ่งเจียวซินก็นึกได้ว่า...ในโลกใบนี้หาได้มีความเท่าเทียมระหว่างบุรุษกับสตรีดั่งโลกใบเดิมที่นางจากมา นางจึงกล่าวต่อว่า “เจ้าฟังเมื่อครู่ เจ้าอาจจะมองว่าข้าเป็นสตรีที่ใจแคบ ซึ่งใช่! ข้าเป็นสตรีที่ใจแคบมากในเรื่องพวกนี้ และข้าก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า หากหาคนรักที่จะมาเป็นคู่ครองในแบบที่ข้าต้องการไม่ได้ ตัวข้าก็ไม่คิดที่จะแต่งงาน” แล้วนี่ก็คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ชีวิตในโลกใบเดิมของเมิ่งเจียวซินยังไม่มีแม้แต่คำว่า ‘แฟน’ เพราะถึงแม้ว่าชีวิตในโลกใบเดิมของนางจะมีบุรุษแวะเวียนเข้ามาทักทายอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีผู้ใดทำให้เมิ่งเจี
เมิ่งเจียวซินจ้องหน้าหลี่อวิ้นกุย คำพูดของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย ยามนี้เมิ่งเจียวซินไม่รู้แล้วว่า ระหว่างฝีปาก ความเจ้าเล่ห์ หรือความไร้ยางอาย สิ่งไหนบุรุษตรงหน้ามีมากกว่ากัน แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเห็นดวงตาคู่คมที่ฉาบไปด้วยความปรารถนา มันกำลังหลอกล่อ และเชิญชวนนางให้รีบเข้าหา ไม่ผิดเลยกับคำพูดที่เขาบอกต่อกันมาว่า ‘ปีศาจมักล่อลวงมนุษย์!’ แต่ทว่าบุรุษตรงหน้าเป็นมนุษย์ครึ่งมาร แล้วครึ่งมารคนนี้ก็กำลังใช้รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใบหน้ารูปงาม ดวงตาคู่คมที่เปล่งประกาย แต่ทว่ากลับดูลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด แล้วไหนจะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ไม่ว่าจะจับ หรือจะมองส่วนไหน มันก็ช่าง...ช่างน่าหลงใหลไปเสียหมดทุกส่วน สรุปโดยรวมเลยก็คือ หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้ร่างกายของตัวเองหลอกล่อนาง ไม่สิ! คืนนี้นางต้องเป็นฝ่ายหลอกล่อ ไม่ใช่! คืนนี้นางจะต้องเป็นฝ่ายศึกษาร่างก
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก