เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงนิยายที่เคยอ่าน ซีรีส์จีนที่เคยดู รวมไปถึงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่นางเคยได้ยินมา...
ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ ส่วนใหญ่หากเกิดในราชวงศ์ หรือเกิดมามีสายเลือดของผู้ที่ปกครองแว่นแคว้น ชีวิตในวังของโอรสหรือธิดาบางคนก็หาได้สวยหรู หรือได้อยู่อย่างสุขสงบอย่างที่ผู้คนภายนอกคิดไม่
“หมิงจิว เจ้าอาจจะรู้สึกอิจฉาบรรดาผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับอำนาจ วาสนา หรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ข้าขอบอกเจ้าว่า บ้างครั้งผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น อาจจะกำลังรู้สึกอิจฉาเจ้าอยู่ก็ได้นะ”
“อิจฉาข้า!”
“ใช่”
เมิ่งเจียวซินเมื่อได้เห็นสีหน้า รวมไปถึงท่าทางของหมิงจิวที่คล้ายกับกำลังรู้สึกตกใจ และไม่เชื่อถือในสิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ นางจึงอธิบายต่อว่า
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
หลี่อวิ้นกุยนั่งปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาสั่งการ ทว่าผู้ที่เข้ามารับคำสั่งหาได้มีเพียงแค่จิ่นสือ แต่ยังมีจิ่นตั้งที่เข้ามาพร้อมกับผู้เป็นน้องชายด้วย หลังจากสอบถามหลี่อวิ้นกุยก็ได้รู้ว่า จิ่นสือส่งสารไปบอกจิ่นตั้งเรื่องที่เขาสั่งย้ายเจ้าตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้กับเมิ่งเจียวซิน จิ่นตั้งจึงรีบออกเดินทางมาเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาแทนผู้เป็นน้องชายต่อทันที ซึ่งจิ่นตั้งเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังหาจังหวะเข้ามารายงานตัวกับเขาอยู่ แล้วเมื่อได้รับสัญญาณเรียก...จิ่นตั้งเลยตามผู้เป็นน้องชายเข้ามาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มรายงานเรื่องที่เขาสั่งให้ไปทำ... เรื่องการแก้แค้น...หลี่อวิ้นกุยได้เลือกทำตามที่เมิ่งเจียวซินเคยขอ โดยเริ่มจากการส่งคนไปสืบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อน จากนั้นเขาก็เลือกลงมือเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมกับการวางยาพิษเขาครั้งล่าสุดจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งยามนี้จิ่นตั
เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “อาซุนเจ้าไปไหนมา?” “ข้า... คือ ข้าไป...” แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา “พอดี
เมิ่งเจียวซินจ้องหน้าหลี่อวิ้นกุย คำพูดของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย ยามนี้เมิ่งเจียวซินไม่รู้แล้วว่า ระหว่างฝีปาก ความเจ้าเล่ห์ หรือความไร้ยางอาย สิ่งไหนบุรุษตรงหน้ามีมากกว่ากัน แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเห็นดวงตาคู่คมที่ฉาบไปด้วยความปรารถนา มันกำลังหลอกล่อ และเชิญชวนนางให้รีบเข้าหา ไม่ผิดเลยกับคำพูดที่เขาบอกต่อกันมาว่า ‘ปีศาจมักล่อลวงมนุษย์!’ แต่ทว่าบุรุษตรงหน้าเป็นมนุษย์ครึ่งมาร แล้วครึ่งมารคนนี้ก็กำลังใช้รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใบหน้ารูปงาม ดวงตาคู่คมที่เปล่งประกาย แต่ทว่ากลับดูลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด แล้วไหนจะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ไม่ว่าจะจับ หรือจะมองส่วนไหน มันก็ช่าง...ช่างน่าหลงใหลไปเสียหมดทุกส่วน สรุปโดยรวมเลยก็คือ หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้ร่างกายของตัวเองหลอกล่อนาง ไม่สิ! คืนนี้นางต้องเป็นฝ่ายหลอกล่อ ไม่ใช่! คืนนี้นางจะต้องเป็นฝ่ายศึกษาร่างก
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก