ตอนที่ 2
“หนูแอนนี่ เพื่อนของลียาใช่ไหม” คนมาใหม่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ท่าทางดูรีบร้อนเหมือนกลัวใครจะตามมา
“เอ่อ...ค่ะ ใช่ค่ะ” มธุราขานรับอย่างงงๆ
“ถ้างั้นผมฝากซองนี่ให้ลียาด้วย” บอกกล่าวแล้วก็เปิดเสื้อสูทหยิบซองออกมาเลื่อนส่งให้หญิงสาวคราวลูก ในขณะที่มธุรายังคงตกอยู่ในอาการงงงวย แต่ก็พยักหน้ารับฟังคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย
กระทั่งชายคนนั้นลุกจากไป เธอก็มองจนแผ่นหลังกว้างนั่นลับตา จึงหันสายตาไปมองหาพี่สาวคนสนิทว่ากลับมาหรือยัง แล้วเธอจะได้บอกว่าแฟนของพี่มาแล้ว แล้วก็ไปแล้ว เพราะต้องเดินทางไปร่วมพิธีฝังศพภรรยา
‘หมายความว่าไง หรือพี่ลียาเป็น...’ มธุราหยุดความคิดของตัวเอง แล้วมองหาพี่สาวคนสนิทด้วยความเป็นห่วง หลังจากอีกฝ่ายหายไปนาน จนคิดจะลุกไปตาม
แต่ทว่า...
“คุณผู้หญิงครับ เพื่อนของคุณเชิญออกไปพบที่ซุ้มดอกไม้ด้านข้างโรงแรมครับ” สิ้นเสียงของพนักงานหนุ่มรูปร่างสูง มธุราก็ยิ่งเป็นห่วงพี่สาวคนสนิทระคนงงๆ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้ซักถามอะไรจากพนักงาน นอกจากเรียกให้เก็บค่าอาหาร แต่มีคนจ่ายให้แล้ว เธอจึงรีบเดินออกไปยังจุดนัดพบ รออยู่สักพักก็ไม่เห็นแม้เงาของพี่สาวคนสนิท
‘พี่ลียาอยู่ไหนล่ะ หรือพนักงานคนนั้นจะหลอกออกมา แต่เขาจะมาหลอกทำไม เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ซะหน่อย’ พึมพำจบแล้วก็ก็ชะเง้อมองหาพี่สาวคนสนิทแต่ก็ยังไม่เห็น เธอจึงตัดสินใจจะกลับเข้าไปรอด้านในแต่เพียงแค่ขยับเท้าเธอก็ต้องถอยหลบด้วยความตกใจ
“เฮ้ย!” ร้องเสียงหลงเมื่อมีรถยนต์หรูสีดำเงาวับขับเข้ามาจอดเทียบจนแทบจะเหยียบเท้าของเธอ
“พวกบ้า! ขับประสาอะไร ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนยืน...กรี๊ด!!” พูดไม่ทันจบประโยคดีก็ร้องออกมาสุดเสียงเมื่อเท้าของเธอลอยจากพื้น วินาทีต่อมาตัวก็กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างที่ก็นุ่มอยู่หรอก แต่ด้วยแรงเหวี่ยงมหาศาลทำให้เธอทั้งเจ็บทั้งจุกจนพูดไม่ออกไปหลายวินาที
“ออกรถ!” เสียงห้าวห้วนดังขึ้น ทำให้คนที่ถูกจับยัดเข้ามาในรถ รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาจ้องมองคนในรถ และสาบานเลยว่าเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
‘คนพวกนี้เป็นใคร แล้วมาจับเธอทำไม’ มธุราชั่งใจอยู่นานว่าควรถามดีหรือไม่ ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ หวาดกลัวไปสารพัด กลัวว่าถามไปแล้วจะทำให้ตัวเองต้องมีภัยเร็วขึ้น
“เอ่อ…”
เสียงเอ่อที่ดังออกมานั่นทำให้ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเหลียวมอง ทำเอามธุราต้องกลับมาคิดทบทวนอีกรอบว่าควรจะถามดีหรือไม่ แต่หากไม่ถาม แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าคนพวกนี้จับเธอมาทำไม
“คุณ...คุณเป็นใคร” หญิงสาวถามออกไปในที่สุดแล้วรีบขยับเบียดกับประตูรถ “เธอไม่จำเป็นต้องรู้จักฉัน” เจ้าของเสียงห้าวห้วนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจกับท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาว ขณะที่คนถูกลักพาตัวก็นั่งหน้าซีดตัวสั่น ยิ่งรถแล่นเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของเธอก็แทบจะหยุดเต้น
‘นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย’ สิ้นเสียงพึมพำสติของเธอไม่รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอีกเลย
******
แสงไฟที่สาดส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียง ยกมือขึ้นป้องตา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาทีนิดเพื่อปรับให้ชินกับแสงสว่าง กระทั่งชินกับลำแสงที่สาดส่องเข้ามาแล้วก็สอดส่ายสายตามองรอบห้องที่ไม่คุ้นเคย
‘ที่ไหนเนี่ย’ ได้แต่พึมพำถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ก่อนจะขยับย้ายตัวเองลงจากเตียง เดินไปเปิดม่าน มองผ่านกระจกหน้าต่างลงไปเบื้องล่าง
‘นี่มันโรงแรมที่เรากับพี่ลียามากินอาหารกันนี่น่า อะไรกันเนี่ย?’ มธุราจัดการปิดม่านแล้วเดินมาที่ประตู จัดการผลักเต็มแรงเปิดไม่ออก
ปัง! ปัง!
“นี่! มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง เปิดประตูให้ฉันหน่อยสิ เฮ้! มีใครอยู่ไหม เปิดประตูให้ฉันที” มธุราทั้งทุบประตูทั้งส่งเสียงราวสิบนาที แต่สิ่งได้รับกลับมาคือความเงียบ สองเท้าเล็กจึงเดินย้อนกลับมาที่หน้าต่าง พยายามหาข้าวของมาทุบกระจกบานใหญ่แต่ก็หาอะไรมาทุบไม่ได้เลยนอกจากสองมือตัวเอง ที่ทุบลงไปคงจะได้เลือดกลับมา
‘ไอ้หน้าโหดคนนั้นเป็นใครกัน แล้วมาจับฉันขังข้อหาอะไรเนี่ย โอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย’ เมื่อทำอะไรกระจกไม่ได้คนถูกลักพาตัวจึงเปลี่ยนมาเดินวนรอบห้องและถามตัวเองด้วยประโยคเดิมๆ อยู่อย่างนั้น เพราะตั้งแต่มาเหยียบลาสเวกัส เธอก็ไม่เคยไปมีเรื่องมีราวกับใคร แล้วทำไมถึงได้โดนคนแปลกหน้าจับตัวมากักขัง
‘กระเป๋า!’ คิดได้ดังนั้นก็รีบมองหากระเป๋าแบรนด์เนมใบโปรดที่พี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ทว่าหาจนทั่วห้องแล้วก็ไม่พบจึงเลิกหาแล้วกลับมานั่งจมปุกอยู่บนเตียง คิดถึงมารดา คิดถึงพี่ชาย ก่อนจะเอาแต่โทษตัวเองที่ดื้อรั้นจะมาให้ได้ ทั้งที่คนในครอบครัวก็ห้ามแล้วว่าไม่ต้องดั้นด้นมาหางานทำไกลถึงอเมริกา แต่เป็นเพราะเธออยากหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อจะได้เอาเงินมาลงทุนทำธุรกิจที่ตัวเองชอบนั่นก็คือสปา แต่ความฝันกลับพังทลายลงเพราะใครไอ้หน้าโหดคนเดียว
‘คุณแม่ พี่มาร์ช มาช่วยแอนนี่หน่อยด้วย แอนนี่อยากกลับบ้าน’ เพราะหมดหนทางจะช่วยเหลือตัวเอง มธุราจึงทำได้แค่พึมพำถึงคนในครอบครัวในสภาพน้ำตาคลอ
บทส่งท้าย สองปีต่อมา... คุณพ่อลูกหนึ่งเดินออกจากห้องพักไปยังห้องของลูกชาย ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ที่กำลังกล่อมลูกชายเข้านอน ที่วันนี้เจ้าตัวแสบไม่ยอมนอนเสียทีทั้งที่ตอนนี้ก็ห้าทุ่มเข้าไปแล้ว เจ้าของร่างสูงยืนพิงประตูเฝ้ามองภรรยาและลูกน้อยด้วยความรักนานเป็นสิบนาที ก่อนจะเดินเข้าไปทิ้งสะโพกนั่งบนเตียงข้างภรรยาคนสวยที่กำลังค่อยๆ วางลูกน้อยบนที่นอน “พออุ้มกล่อมเข้าหน่อยก็หลับปุ๋ยเชียวนะตัวแสบ ลูกรักของแม่” มธุราพึมพำเบาๆ แล้วโน้มหน้าลงหอมแก้มของลูกชาย ที่ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนพ่อ “หอมลูกแล้วก็หอมพ่อบ้างสิทูนหัว” เคลย์ริกโน้มเข้าไปกระซิบ “แก้มคุณฉันหอมจนเบื่อแล้ว อีกอย่างแก้มคุ
อวสาน หลังจบอาหารค่ำ ที่วันนี้ครอบครัวแม็คแคลตันก็เดินทางมารับประทานอาหารค่ำที่บ้านศิริโชคธนาอีกครั้งเพื่อสร้างความสนิทสนิมแก่สองครอบครัวที่กำลังจะเกี่ยวดองกัน เคลย์ริกก็เดินกุมมือคนตัวเล็กออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้หน้าบ้าน ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ประหนึ่งว่ากำลังเป็นสักขีพยานในความรักของสองหนุ่มสาว ที่โชคชะตานำพาให้มาพบกันด้วยเรื่องเข้าใจผิด “ส่ายหน้าทำไมยาหยี” เคลย์ริกเอ่ยถามเมื่อคนตัวเล็กยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “ไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าเราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ฉันจำได้ว่าวันแรกที่เราพบกัน คุณกับฉันแทบจะฆ่ากันตาย” มธุราเงยหน้าขึ้นตอบคนตัวโต ส่วนคนที่ทำให้คนหน้าโหดเข้าใจผิด ตอนนี้เธอและครอบครัวของฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว แต่ก็รู้มาว่าพี่สาวคนสนิทกำลังจะแต่งงานกับนับธุรกิจชาวสิงค์โปร “ก็
ตอนที่ 52หลังกลับจากเยี่ยมผู้อาวุโสและอยู่รับประทานอาหารค่ำกันแล้ว เคลย์ริกก็พามธุราเดินทางกลับบ้านพัก ที่ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมผู้อาวุโส ที่ตอนนี้รักษาตัวจนหายป่วยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลได้เกือบสองสัปดาห์ และทุกครั้งที่ไปเยี่ยม ท่านก็ถามเรื่องแต่งงานระหว่างเธอกับคนหน้าโหดทุกครั้ง ‘ผมจะแต่งงานเร็วๆ นี้ครับ คุณตาตัดชุดรอเลยนะครับ’ นั่นคือคำตอบขอบคนหน้าโหดที่ให้คำตอบกับผู้อาวุโสก่อนจะเดินทางกลับที่พัก เธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้อาวุโสดูมีความสุขมากที่ได้รู้ว่าหลานชายจะมีครอบครัว ส่วนเธอก็ยอมรับแหละว่าที่ผ่านมาเธอเปิดรับให้คนหน้าโหดเข้ามาจองพื้นที่ในหัวใจไปแล้ว ส่วนเรื่องแต่งงาน เธอยังไม่ได้บอกครอบครัว‘บอกพี่มาร์ชก่อน แล้วค่อยบอกคุณแม่ดีกว่า’ คิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ จะกดโทรออกอยู่สองสามรอบก็เปลี่ยนใจ ก่อนจะตัดสินใจโทรหาพี่ชายในที่สุด “แ
ตอนที่ 51 ก๊อกๆ “เจ้านายครับ” เสียงเคาะประตูและเสียงของจีโอดังขัดจังหวะการสนทนา ก่อนที่เคลย์ริกจะส่งเสียงบอกให้เข้ามา “มีอะไร” “คนที่บ้านคุณเนอร์แมนเพิ่งโทรมาแจ้งว่าคุณเคอร์ตินกลับมาที่บ้านครับ” เคลย์ริกฟังแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาหันมาบอกให้มธุรารออยู่ที่นี่ ส่วนเขาและจีโอก็รีบเดินทางไปบ้านพักของผู้เป็นตา ที่เวลานี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนักเมื่อเคอร์ตินย้อนกลับมาหวังจะเอาทรัพย์สินไปใช้เพื่อการหลบหนี แต่คนเป็นพ่อบอกให้มอบตัวและยังหวังให้ลูกชายกลับเนื้อกลับตัว “ไม่! ผมไม่อยากติดคุก” “เคอร์ติน พ่อขอร้อง แกวางปืนลงเถอะ แ
ตอนที่ 50 “ดีขึ้นไหมคะ” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขากอดอยู่พักใหญ่ ด้านเคลย์ริกก็คลายมือออกแล้วมาจับคางมน “ผมขอโทษนะที่ต้องพาคุณมาเจอเรื่องร้ายๆ แต่ผมสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นอีก คุณจะอยู่กับผมใช่ไหม ยาหยี” มธุราฟังแล้วก็ยิ้มอย่างเดียว “ว่าไงยาหยี หรือคุณคิดจะไปจากผม” “ฉัน…เอ่อ…” “ผมผิดเองที่ทำให้การพบเจอกันของเราไม่ค่อยดี แล้วผมก็โง่เองที่ไม่สืบให้ดีๆ จนไปจับตัวคุณมา แต่ผมก็ดีใจที่จับมาผิดคน เพราะถ้าจับถูกคน ผมคงไม่ได้เจอกับคุณ” เคลย์ริกบอกเมื่อคนตัวเล็กเอาแต่อ้ำอึ้ง ส่วนผู้หญิงที่ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าเป็นสาเหตุทำให้มารดาตรอมใจจนล้มป่วยและจากไปนั้น หากมีโอกาสได้เจอกันเขาจะ
ตอนที่ 49 วันต่อมา… เหตุการณ์ร้ายเมื่อคืนกลายเป็นข่าวดังและผู้คนก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีการประโคมข่าวว่ามีคนในตระกูลแม็คแคลตันมีส่วนในเรื่องนี้ ก๊อกๆ “เข้ามา” เมื่อได้รับอนุญาตจีโอก็เปิดประตูเข้ามารายงานความคืบหน้าถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ที่พอเกิดเรื่องทั้งผู้เป็นตา บิดา และน้องชายฝาแฝด ต่างโทรมาถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดและเมื่อทุกคนรู้ว่าเคลย์ริกปลอดภัยก็โล่งใจไปตามๆ กัน “ได้เรื่องอะไรบ้าง” เคลย์ริกเอ่ยถามลูกน้องเสียงเรียบ ด้าน จีโอก็รายงานความคืบหน้าให้กับเจ้านายฟังอย่างไม่รีรอ ที่ตอนนี้ทางตำรวจแจ้งมาว่าฮาร์วี่ย์เริ่มซักทอ