ท่าทางของบุตรสาวทำให้อินทิรานึกสงสัย “งานที่ว่ามันแย่อย่างนั้นเลยหรือไง งานอะไรของแกวะ ไอ้ลิน”
อรนลินก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับลุกไปนั่งพับถุงกระดาษต่อโดยไม่ยอมพูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าคำตอบของเธอจะสร้างความผิดหวังให้มารดา เหมือนที่เธอกำลังผิดหวังกับตัวเองอยู่ในเวลานี้
ขณะที่ก้มหน้าก้มตาทำงานซึ่งเป็นอาชีพเสริมเพียงอย่างเดียวของครอบครัวอยู่นั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งซึ่งหญิงสาวเกลียดขี้หน้าพอๆ กับบิดาของตัวเองก็โผล่ขึ้นมาจากรั้วสังกะสีหน้าบ้าน
“ตายแล้ว อีพร!!... เร้ว มึงมาดูนี่เร็วๆ เข้า!!...” สมใจ หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมเก้งก้างที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง ส่งเสียงโหวกเหวก กวักมือเรียกสมพร บุตรสาวที่เดินตามหลังอยู่ไม่ไกลให้รีบเข้ามาหา
“ไหนแม่ ไหน... จะให้ฉันดูอะไร!...” เสียงตะโกนถามพร้อมๆ กับเสียงฝีเท้าวิ่งตุบตับๆ ตามมา ก่อนที่หญิงสาววัยไม่ห่างจากอรนลินมากนัก จะแกล้งตีหน้าสนอกสนใจ ชะโงกเข้ามามองเธอและมารดาด้วยอีกคน
“ก็ดูอีบัณฑิตบ้านนี้น่ะสิ... เห็นแม่มันคุยนักคุยหนาว่าจบปริญญาได้เหรียญทอง ทำไมยังเสือกมานั่งพับถุงอยู่อีก”
“โอ๊ย แม่!!!... อีลินมันพับถุงที่ไหนกัน นั่นมันกำลังรวบรวมข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เอาไปสอบด็อกเตอร์ต่างหากล่ะ” พูดพลางหันมองตาสมใจ แล้วทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
อรนลินและอินทิราหันไปมองตามด้วยความระอา ผู้เป็นแม่ส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่คิดจะสนใจถ้อยคำเยาะเย้ยถากถางของสองแม่ลูก มือก็หยิบถุงกระดาษมานับซ้อนกันต่ออย่างใจเย็น
ตรงกันข้ามกับบุตรสาว อรนลินชักสีหน้าไม่พอใจ ส่งสายตาขุ่นเคืองจ้องกลับไป ครั้นทำท่าจะลุกขึ้นยืนอินทิราก็ร้องห้ามเอาไว้
“ไม่เอานะลิน...”
“แต่...” ใบหน้าหญิงสาวบูดบึ้ง หันไปมองมารดาด้วยความอึดอัด หากก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ได้แต่ยอมทนเก็บอารมณ์อยู่เงียบๆ
“นี่ล่ะน้า อีพร... มึงดูเอาไว้ การศึกษามันไม่ช่วยให้สวะกลายเป็นทองไปได้หรอก... ถ้ามึงโง่ไปนั่งเรียนหนังสืออย่างมัน ป่านนี้จะหาผัวฝรั่งมาซื้อทองหยองให้กูใส่ได้เหรอวะ” ว่าแล้วก็ดึงสร้อยคอทองคำเส้นเท่าหนวดกุ้งที่สวมอยู่ขึ้นมาชูอวด
“อุ๊ย... เอาสร้อยที่ไอ้จอห์นนีมันซื้อให้ไปอวดอย่างนั้น เดี๋ยวก็ขายขี้หน้าป้าอินเขาเปล่าๆ...” ไฝเม็ดโตเหนือริมฝีปากของสมพรขยับขึ้นลงตามเสียงหัวเราะเหยียดหยัน “แม่จะไปรู้อะไร... เหรียญทองของอีลินอาจจะขายได้เป็นแสนก็ได้...”
“กูว่ามันคงเอาไปแลกกระดาษมาพับถุงขายหมดแล้วล่ะโว้ย... จริงไหมวะอิน...” ไฝฝาแฝดของสมใจก็พยักพเยิดในจังหวะไม่ต่างจากบุตรสาว นับเป็นมรดกทางพันธุกรรมที่แม่ค้าวัยกลางคนผู้นี้สืบทอดให้แก่ทายาทของเธอได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของมัน ขนาดและรูปทรง หรือแม้แต่คุณสมบัติทางเมตตามหานิยม
“น้าสมใจ!... ทำไมถึงต้องพูดอย่างนี้ด้วย!...” อรนลินอดทนต่อไปอีกไม่ไหว ลุกพรวดจากพื้น ดวงตาแข็งกร้าวบ่งบอกว่าพร้อมจะเอาเรื่อง... แต่คำว่า ‘เอาเรื่อง’ ของเธอนั้น อย่างดีก็คงทำได้แค่ไล่สองแม่ลูกตัวแสบให้เดินพ้นไปจากหน้าบ้านเท่านั้น... และยังไม่ทันที่หญิงสาวจะก้าวลงจากชานเรือน อินทิราก็เอ่ยห้ามเอาไว้อีกครั้ง
“ลิน เชื่อแม่... อย่าไปยุ่งกับเขา”
“โธ่... แม่...” หญิงสาวครวญด้วยความคับแค้น
“ไปๆ อีพร ไปกันดีกว่า!... เดี๋ยวกูจะต้องกลับไปทอดปลาเค็มให้ผัวมึงอีก... โอ๊ย!! วันนี้ล่ะสะใจกูนัก... ได้เห็นงานอันทรงเกียรติของอีบัณฑิตเต็มสองตา... กูจะดูซิว่า คราวหลังอีตัวแม่มันยังจะกล้าเอาเรื่องลูกไปคุยฟุ้งทั้งตลาดอีกหรือเปล่า...” พูดจบสมใจก็จูงมือสมพร เดินหัวเราะจากไปโดยไม่ต้องรอให้อรนลินออกปากไล่
การที่สองแม่ลูกมหาประลัยคู่นี้คอยตั้งตัวเป็นศัตรูกับอินทิราและบุตรสาวมานานหลายปีแล้ว นั่นก็เพราะผู้เป็นแม่ต่างมีอาชีพขายข้าวแกงอยู่ในตลาดเหมือนๆ กัน...
ในขณะที่สมพรท้องตั้งแต่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยม แต่อรนลินกลับสอบเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้ มิหนำซ้ำยังเป็นนักเรียนทุนทุกปี เป็นที่ภาคภูมิใจจนอินทิรานำไปคุยกับลูกค้าบ่อยๆ สมใจและสมพรจึงรู้สึกว่าถูกเปรียบเทียบให้อับอายอยู่เสมอ...
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็ยังไม่กล้ามาพูดจาหาเรื่องเธอกับมารดาสักเท่าไร แต่หลังจากที่สมพรไปได้คนรักใหม่เป็นช่างสักชาวอังกฤษ ทั้งแม่ทั้งลูกก็พากันชูคอราวกับอีกัวน่าฝาแฝดได้ทอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สมใจกับสมพรก็คอยแต่จะหาโอกาสกระแนะกระแหนอรนลินกับอินทิราอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“แม่ไม่น่าห้ามลินเลย... ที่ตลาดก็เหมือนกัน แม่ทนให้น้าสมใจมาว่าอยู่ได้ยังไงทุกวัน ทำไมไม่ปล่อยให้ลินพูดกับเขาให้รู้เรื่อง...” หญิงสาวตัดพ้อ ลำพังด่าเธอคนเดียวเธอไม่ว่า แต่อรนลินทนไม่ได้ที่ผู้เป็นแม่ต้องพลอยถูกพูดจาแดกดันอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ
“แม่ไม่เห็นรู้สึกอะไรนี่นา” หญิงกลางคนยิ้มให้บุตรสาว
“เขาว่าถึงขนาดนี้แม่ไม่โกรธบ้างหรือไงจ๊ะ” ใบหน้ายังบึ้งตึงอยู่
“ชีวิตเราที่เป็นอยู่ตอนนี้ อยู่บ้านเช่าเก่าๆ ขายกับข้าว พับถุงกระดาษขายอย่างนี้ แม่ถามว่าแกมีความสุขบ้างไหม...”
“ทำไมแม่ถามอย่างนั้นล่ะจ๊ะ...” อรนลินย่นคิ้ว มองหน้ามารดาด้วยความไม่เข้าใจ “ลินก็ต้องมีความสุขสิ... ขอแค่ได้อยู่กับแม่ ต่อให้อยู่ที่ไหน ทำอะไร ลินก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ...”
“แล้วเทียบกับชีวิตของสมพรที่มันท้องไม่มีพ่อ เรียนไม่จบ จนมาได้ผัวฝรั่งคนนี้ล่ะ... แกรู้สึกอิจฉามันบ้างไหม”
“ไม่จ้ะแม่...”
“แล้วไอ้ที่ว่าเราเรียนจบปริญญามานั่งพับถุงขายน่ะ มันก็จริงของเขาไม่ใช่เหรอ...” อรนลินจำใจพยักหน้า นั่งฟังมารดาพูดต่อไป
“แม่ไม่ได้อยากจะเปรียบเทียบหรอกว่าชีวิตของแกหรือชีวิตสมพรใครมันจะดีกว่ากัน เพราะความสุขของคนแค่ละคนมันเอามาวัดกันไม่ได้... ในเมื่อเราก็มีความสุขกับการพับถุงของเรา... เขาก็มีความสุขกับผัวฝรั่งของเขา... แม่กับแกก็ไม่ได้ไปอิจฉาชีวิตของสมใจกับสมพร แล้วจะมีเหตุผลอะไรให้เราต้องไปโกรธไปเกลียดสองคนนั่นล่ะ...”
“แต่... ลินก็ไม่ชอบให้พวกนั้นมาด่ามาว่าเรานี่จ๊ะ” หญิงสาวยังอิดออด ดูเธอยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่มารดาต้องการบอก อินทิราจึงถอนหายใจยิ้มๆ
มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากจะสอนให้คนหนุ่มสาวในวัยนี้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
“ก้อนหินน่ะ ถ้าเราไปหยิบมันขึ้นมาบีบ มันก็เจ็บมือเราเอง... แต่ถ้าเราปล่อยให้มันวางทิ้งอยู่กับพื้นเฉยๆ ไม่ไปหยิบมันขึ้นมา มือเราจะเจ็บไหมล่ะหา ไอ้ลิน”
“ไม่จ้ะแม่”
“คำด่าทอ คำติฉินนินทา มันก็เหมือนก้อนหินบนพื้นนั่นแหละ ถ้าเราไม่ฟังเสียอย่าง ถ้าเราไม่เก็บเอามาใส่ใจ มันก็ทำร้ายเราไม่ได้... แกเข้าใจที่แม่บอกแล้วหรือยัง”
“เข้าใจจ้ะ” ถึงจะตอบอย่างนั้น ถึงเข้าใจอย่างนั้น แต่ชั่วชีวิตนี้อรนลินก็คงทำตัวเป็นพระอิฐพระปูนตามที่แม่สอนไม่ได้หรอก
หญิงสาวตัดสินใจแล้ว... ไม่ว่างานอะไรเธอก็จะทำ ขอให้เธอมีรายได้โดยเร็วที่สุด แล้วทันทีที่เธอมีเงินเก็บมากพอจะขยับขยายได้แล้ว เธอจะพาผู้เป็นแม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น... ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีเพื่อนบ้านเป็นคนประเภทเดียวกับสมใจและสมพรอีก...
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงก่อนเวลาเลิก องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี บิน ฮามัด อัล อลาวี ก็ถือโอกาสขึ้นไปเป็นประธานบนเวที เรียกเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไปปรากฏตัวพร้อมกันต่อหน้าแขกในงาน“เราในฐานะของคนเป็นพ่อต้องขอขอบใจสหายและผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายเรา วันนี้นับว่าโฮร์มุซได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาตระหนักถึงความสำคัญและหน้าที่ของตัวเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว พร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบคนในครอบครัวต่อไปภายหน้า...” องค์สุลต่านหันไปมองบุตรชาย“ประเทศชาติก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจาเบลุซนั้น ต้องอาศัยความรับผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง... ซึ่งในเวลานี้เรามั่นใจแล้วว่าโฮร์มุซพร้อมที่จะทำหน้าที่แทนเรา ดังนั้นเราจึงถือโอกาสอันดีในคืนนี้ประกาศคืนตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ให้แก่ เจ้าชายโฮร์มุซ อัล อลาวี และมอบหมายให้ เจ้าชายมาตราห์ อาลี เป็นผู้ช่วยเหลือลูกของเราดูแลประเทศชาติต่อไปในอนาคต...”สิ้นคำประกาศขององค์สุลต่าน ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี ไม่เว้นแม้ชาวไทยที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยงในฐานะแขกและส
พิธีมงคลสมรสตามประเพณีของจาเบลุซไม่แตกต่างอะไรจากประเทศอื่นๆ ในดินแดนอาหรับมากนัก... นั่นคือ... ประกอบไปด้วยพิธีการทั้งสิ้นจำนวนเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่พิธีสู่ขอในวันแรกตามหลักศาสนาแล้ว ก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะมีความสัมพันธ์กันไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ได้รับการยินยอมจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะต้องนำครอบครัวไปพูดคุยสู่ขอกับครอบครัวของฝ่ายหญิงที่บ้าน แต่เนื่องจากอรนลินและมารดาไม่ใช่ชาวจาเบลุซ งานสู่ขอจึงถูกจัดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการภายในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก นั่นเอง โดยมี องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี และองค์สุลตาน่าโซเฟีย เป็นผู้ดำเนินพิธีสู่ขอกับอินทิราท่ามกลางเชื้อพระวงศ์จำนวนหนึ่งวันที่สองเป็นพิธีดูตัว ซึ่งตามปกติจะเป็นโอกาสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงทำเพียงพอเป็นพิธี ส่วนวันที่สามซึ่งเป็นวันหมั้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะทำการแลกแหวนหมั้นของแต่ละฝ่าย โดยสวมใส่มิชลาห์และอบายาสีที่เข้าคู่กัน เพื่อเป็นนิมิตมงคลบอกถึงความเหมาะสมกันวันที่สี่ พิธีให้สัตย์ปฏิญาณ หรือพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปจะจัดในมัสยิด หากเจ้าบ่าวเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ผู้แทนศาสนาจึงถ
กำหนดการพิธีแต่งงานระหว่างซินเดอเรลลาสาวจากประเทศไทยกับเจ้าชายนักธุรกิจใหญ่แห่งอาหรับกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วทั้งโลก และก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจากทุกแขนงจะพากันตามมารบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนรัก โฮร์มุซก็ตัดสินใจพาเธอกับผู้เป็นแม่บินกลับไปเตรียมการที่ประเทศของเขาล่วงหน้าเกือบสองสัปดาห์แม้ว่าอินทิราจะค่อนข้างประหม่าและอึดอัดใจกับชีวิตในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก พอสมควร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอต้องตื่นตาตื่นใจไปกับทุกๆ สิ่งที่ได้สัมผัส รวมถึงอดที่จะกังวลไม่ได้กับขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เธอเองมีส่วนผลักดันให้ลูกสาวเป็นคนเลือกในช่วงแรกๆ ที่ได้กลับมาพำนักในปราสาทหินทรายสีชมพู อรนลินรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เมื่อต้องถูกคนครึ่งประเทศจับจ้องด้วยสายตาคับข้องใจและไม่เห็นด้วย ว่าเหตุใดเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัฐสุลต่าน บาห์ลา จาเบลุซ จึงเลือกผู้หญิงต่างชาตินอกศาสนามาเป็นคู่ชีวิต แต่ด้วยกำลังใจจากผู้ชายที่เธอรักรวมถึงท่าทีของสุลต่านและสุลตาน่าที่วางตนเป็นผู้สนับสนุนอยู่ห่างๆ แล้ว ไม่นานหญิงสาวก็ทำใจได้อรนลินต้องเข้าพิธีกับยัลซูผู้เผยแผ่ เปลี่ยนมาถือศาสนาอิสลาม เปลี่ยนลำดับความรักและความเคารพบ
“ต๊าย... ทีอย่างนี้ล่ะทำหวง คนอะไร้...”“ที่จริงลินเองก็ไม่สะดวกหรอกค่ะ พี่ปุ๊กกี้ก็รู้ว่าตอนนี้ลิน...” ก้มลงมองหน้าท้องที่แทบจะยังไม่ขยายตัวให้เห็น มือของเธอก็ลูบคลำเบาๆ ไปด้วยอย่างรักใคร่ “ลินคงไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้คุณชายพิษณุไม่ได้หรอกค่ะ อายเขาตายเลย...”“เออ จริงสิ... ตั้งแต่มีข่าวเรื่องน้องสาวฆ่าตัวตาย คุณชายพิษณุก็หายเงียบไปเลยนะ... เดี๋ยวนี้ไม่เห็นออกงานสังคมที่ไหนบ้างเลย...”“จริงด้วย แล้วคุณหญิงรัตน์ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้ข่าวอีกเลยเหมือนกัน...” ใครคนหนึ่งถามขึ้น“เห็นพี่ชัยรัตน์บอกอยู่เหมือนกันว่าหนีไปรักษาสภาพจิตใจที่เมืองนอกนะ อยู่เมืองไทยก็คงอายคนนั่นแหละ...” หัวหน้าฝ่ายคอสตูมเป็นคนตอบ “แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิท คุณชายพิษณุต้องไปด้วยแน่ๆ อาจจะได้เจอคุณหญิงรัตน์ในงานด้วย ใครจะไปรู้...”“จะว่าไปที่ผ่านมาคุณชายพิษณุก็ไม่เคยมีข่าวคาวกับผู้หญิงซักคนนะ ดีไม่ดีจะเป็นเก้งเอาหรือเปล่ายะ” ปกรณ์ยกมือทาบอกกระดกปลายนิ้วก้อย รำพึงรำพันกับตัวเองในลำคอ “ผู้ชายอะไรหน้าว้านหวาน ถูกสเปกอีปุ๊กกี้สุดฤทธิ์... สาธุ... ไม่ใช่เก้งก็เป็นกวางทีเถอะ งานนี้แม่จะได้ลุ้นลับตับแตกกับเ
สามเดือนต่อมา... หลังจากบรรดาผู้คนในวงการนางแบบต่างพากันช็อกกับข่าวอุบัติเหตุรถคว่ำของกัทลี... ชื่อของ เกรซ กัทลี อดีตนางแบบชื่อดังระดับประเทศก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครจดจำได้อีก...นับว่าโชคดีที่ครั้งนั้นหญิงสาวไม่ถึงกับเสียชีวิต เนื่องจากคนของโฮร์มุซช่วยนำเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ทว่าใบหน้าของอดีตนางแบบสาวก็ถูกแรงกระแทกทำให้เป็นบาดแผลฉกรรจ์จนถึงกับเสียโฉม ที่หนักที่สุดก็คือขาซึ่งหักทั้งสองข้าง แม้จะรักษาจนหายขาดแล้ว ก็ยังต้องเดินกะโผลกกะเผลกอย่างคนพิการไปตลอดชีวิตสภาพที่ต้องนอนมีผ้าพันแผลและเข้าเฝือกแทบทั้งตัวเป็นเวลานานนับเดือน ทำให้อรนลินและมารดารู้สึกเสียใจกับเธอ และตกลงใจที่จะอโหสิกรรมให้ ไม่ดำเนินคดีความหรือเอาเรื่องใดๆ อีกกลาร์มัวร์ ไดมอนด์ จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนไหม่ ถึงจะยังไม่ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างกับกัทลีตั้งแต่ตอนที่วางตัวเธอเอาไว้ แต่หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ ก็ได้มอบเงินชดเชยจำนวนหนึ่งให้กับเธอเพื่อเป็นกีแสดงความเห็นใจ หากเงินหลักล้านและเงินเก็บอีกหลายแสนที่มีในบัญชีของหญิงสาว หลังจากการรักษาตัวแล้ว ก็มีอันต้องอันตรธานไปอย่างร
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษก็เปิดออก เนื่องจากปกรณ์และอินทิราที่ได้ยินเสียงโต้เถียงกันแว่วออกไปถึงด้านนอก รู้ว่าผู้ป่วยได้สติแล้วก็รีบเข้ามาขัดตาทัพเสียก่อน“ไอ้ลิน... ฟื้นแล้วหรือลูก...”“ยัยลิน... เจ๊กำลังเป็นห่วงเลยเชียว...”มองเห็นสีหน้าและน้ำตาของลูกสาว คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าก็พอจะคาดเดาเรื่องระหว่างหนุ่มสาวสองคนนี้ได้หลายส่วน เธอจึงกระซิบให้ปกรณ์ทำหน้าที่ล่าม เชิญเจ้าชายหนุ่มออกไปสงบสติอารมณ์หน้าห้องก่อน ส่วนเธอเองก็เห็นทีจะต้องทำตัวเป็นท้าวมาลีวราชว่าความให้ทั้งคู่เสียแล้วมองลูกเขยโดยพฤตินัยเดินหงุดหงิดออกไปพร้อมกับรุ่นพี่ใจแหววของลูกสาวก็นึกเวทนา ความจริงอินทิราไม่อยากให้อรนลินไปพัวพันกับคนระดับนั้นหรอก แต่สายตาของเธอยังไม่ถึงกับฝ้าฟาง... ถ้าหากจะมีใครสักคนที่ดวงตามืดบอด ก็คงไม่แคล้วเป็นลูกสาวของเธอนั่นแหละ...“มีเรื่องอะไรกัน แกเล่าให้แม่ฟังซิ ไอ้ลิน...”“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่...” หญิงสาวไม่กล้าสู้สายตา“แกทำให้แม่เสียใจมากนะลิน... จนป่านนี้แล้วยังคิดจะปิดแม่อีกหรือไง... แกได้เสียกับเขาแล้ว แล้วตอนนี้แกก็ท้องลูกของเขาอยู่ใช่ไหม...” เสียง