“มาแล้วเหรอจ๊ะ คนสวยของเจ๊...” เสียงใหญ่ๆ ที่ถูกบีบให้เล็กแหลมจนฟังแปร่งหูร้องทักทายแต่ไกลเมื่อเห็นอรนลินยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากรุ่นน้องผู้เป็นน้องรหัสสมัยเรียนมหาวิทยาลัยแจ้งว่าเดินทางถึงหน้าบริษัทแล้ว ชายหนุ่มที่กิริยาไม่ค่อยจะหนุ่มสักเท่าไรจึงรีบลงลิฟต์มารอรับเธอที่ชั้นล่าง
หญิงสาวเองก็รีบยกมือไหว้รุ่นพี่เจ้าของสำเนียงประหลาดอย่างนอบน้อมขณะที่เขาเดินปรี่เข้ามาหาเธอ
“สวัสดีค่ะพี่ปกรณ์”
“ว้าย ยัยลิน!! บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเรียกชื่อนี้ เดี๋ยวเจ๊ตีตายเลยนี่!!” มือก็เงื้อง่าทำท่าขู่ไปด้วย พร้อมๆ กับกวาดสายตามองไปรอบๆ ราวกับกลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยินคำต้องห้ามคำนี้เข้า โชคดีที่ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ นอกจากพนักงานสาวที่นั่งปิดปากหัวเราะอยู่เพียงคนเดียวในเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ทั้งโถงห้องรับแขกจึงโล่งปราศจากผู้คน
“เอ่อ... ค่ะ พี่ปุ๊กกี้” อรนลินตอบพลางยิ้มแหยๆ
“แม่ศจีจ๊ะ คนนี้เป็นเด็กที่เจ๊พามาสมัครงาน เจ๊พาขึ้นไปที่ฝ่ายบุคคลเลยนะ” ปกรณ์หันไปบอกศจีประภาผู้เป็นพนักงานต้อนรับพอเป็นพิธี
“สวัสดีค่ะ คุณศจี” พอได้ยินรุ่นพี่แนะนำตัวเองกับพนักงานต้อนรับสาว เธอจึงยกมือไหว้ศจีประภาท่าทางเก้อเขิน ทำให้หญิงสาวอีกคนต้องยิ้มและยกมือไหว้รับด้วยสีหน้าลังเลไม่แพ้กัน
ปกรณ์เห็นแล้วพลอยถลึงตามอง แต่ไม่รู้ว่าจะตำหนิมารยาทอันเกินกว่าเหตุของเธออย่างไร ได้แต่คว้าแขนรุ่นน้อง จูงให้เดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไปอย่างรวดเร็ว
“หล่อนจะไหว้ทำไมยะ แม่นั่นก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหล่อน”
“ลินไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เธอหน้าแดง
“แล้วนี่ตกลงจะทำงานนี้แน่เหรอ ยัยลิน... ตอนโทรมาถามเรื่องงาน เจ๊ก็แค่พูดไปเล่นๆ เท่านั้นเองนะ ไม่ได้คิดว่าหนูจะบ้าจี้มาทำจริงๆ...” เมื่อเจ้าของร่างสูงใหญ่กว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรพาหญิงสาวมาถึงหน้าลิฟต์ เขาก็เอ่ยปากถามอย่างอดใจไม่อยู่
“ก็จริงน่ะสิคะ” อรนลินก้มหน้า เหลือบตามองรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกละอายเล็กๆ
“บัณฑิตเกียรตินิยมอย่างหนูน่ะ จะเลือกงานดีๆ ที่ไหนก็ได้... แล้วทำอีท่าไหนถึงคิดจะมาสมัครเป็นสตาฟออร์แกไนเซอร์อย่างนี้ล่ะ หือ...” นิ้วมือกดรัวๆ บนปุ่มเรียกลิฟต์ ทั้งรู้สึกฉงน ทั้งรู้สึกไม่เห็นด้วย
“เงินเดือนที่นี่ก็ไม่เลวนี่คะ อีกอย่างพี่ปะ... เอ่อ... พี่ปุ๊กกี้เองก็บอกว่าสวัสดิการดี...” หญิงสาวพยายามยิ้มตอบ
“มันก็ใช่จ้ะ แต่ถ้าหนูไปทำงานอื่นมันจะไม่สบายกว่าเหรอ งานเจเนรัลสตาฟน่ะ มันเป็นงานหนักนะ”
“ลินไม่ใช่คนดูถูกงานหรอกค่ะพี่... พูดตามตรงว่าลินอยากทำงานหาเงินช่วยแม่เร็วๆ ตอนนี้บริษัทที่ลินสมัครงานทิ้งเอาไว้ก็ไม่มีที่ไหนทำท่าว่าจะเรียกตัวไปสัมภาษณ์เสียที ลินไม่อยากรออยู่กับบ้านเฉยๆ น่ะค่ะ...” เธอสารภาพ ปกรณ์เห็นสีหน้าซึมๆ ของรุ่นน้องแล้วก็ไม่อยากจะซักไซ้ต่อ
“เอาเถอะนะ... ไว้รอมีตำแหน่งดีๆ ว่าง พี่จะช่วยพูดแนะนำลินกับทางฝ่ายบุคคลก็แล้วกัน” ปกรณ์ถอนใจเบาๆ ยกมือขึ้นยีศีรษะหญิงสาวอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ... แค่ช่วยฝากลินทำงานที่นี่ลินก็เกรงใจจะแย่แล้วล่ะค่ะ ลินกราบขอบพระคุณพี่ปกรณ์มากนะคะ” ว่าแล้วสองมือก็ยกไหว้อีกครั้งด้วยความรู้สึกซาบซึ้งจากใจจริง
รุ่นพี่หนุ่มผู้มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาจนน่าเสียดาย ค่อยๆ ลูบมือข้างเดิมไปตามเรือนผมดำขลับเรียบลื่นของอรนลิน ในใจนึกเสียดายความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนของรุ่นน้อง... เขาพอรู้มาบ้างว่าฐานะทางบ้านเธอไม่สู้จะดีนัก แต่ก็จนปัญญาที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องอื่นๆ...
ในเมื่ออรนลินไม่เคยเอ่ยปากถึงปัญหาของเธอ... เขาที่เป็นแค่รุ่นพี่ก็ไม่ควรก้าวก่ายหรือแตะต้องศักดิ์ศรีของเธอเช่นกัน...
ขณะที่กำลังยืนเหม่อ คิดถึงโอกาสดีๆ ที่อรนลินควรได้รับมากกว่านี้ ปกรณ์ก็สะดุดกึกเมื่อนึกทบทวนคำพูดประโยคสุดท้ายของหญิงสาว สีหน้าเวทนาเปลี่ยนไปกะทันหัน
“ว้าย!!” จู่ๆ เขาก็กรีดร้องดังลั่นจนร่างเล็กๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้างสะดุ้งเฮือก หันมามองรุ่นพี่ของเธอด้วยความสงสัย ปกรณ์จึงถลึงตาพลางกระทืบเท้าใส่อย่างขัดเคืองใจ “ยัยลิน! เจ๊บอกกี่ครั้งแล้วว่าเจ๊เกลียดชื่อนี้ ถ้าคราวหน้าหล่อนยังขืนเรียกเจ๊ด้วยชื่อเสนียดจัญไรนี่อีก เจ๊จะไม่คุยกับหล่อนแล้วจริงๆ นะยะ!”
“ขะ...ขอโทษค่ะ พี่ปุ๊กกี้” อรนลินยิ้มหน้าเจื่อน เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มร่างใหญ่แต่ใจสาวก็ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด ดึงข้อมือสตาฟคนใหม่ของบริษัทให้ก้าวตามเข้าไปในลิฟต์อย่างเสียไม่ได้
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงก่อนเวลาเลิก องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี บิน ฮามัด อัล อลาวี ก็ถือโอกาสขึ้นไปเป็นประธานบนเวที เรียกเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไปปรากฏตัวพร้อมกันต่อหน้าแขกในงาน“เราในฐานะของคนเป็นพ่อต้องขอขอบใจสหายและผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายเรา วันนี้นับว่าโฮร์มุซได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาตระหนักถึงความสำคัญและหน้าที่ของตัวเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว พร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบคนในครอบครัวต่อไปภายหน้า...” องค์สุลต่านหันไปมองบุตรชาย“ประเทศชาติก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจาเบลุซนั้น ต้องอาศัยความรับผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง... ซึ่งในเวลานี้เรามั่นใจแล้วว่าโฮร์มุซพร้อมที่จะทำหน้าที่แทนเรา ดังนั้นเราจึงถือโอกาสอันดีในคืนนี้ประกาศคืนตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ให้แก่ เจ้าชายโฮร์มุซ อัล อลาวี และมอบหมายให้ เจ้าชายมาตราห์ อาลี เป็นผู้ช่วยเหลือลูกของเราดูแลประเทศชาติต่อไปในอนาคต...”สิ้นคำประกาศขององค์สุลต่าน ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี ไม่เว้นแม้ชาวไทยที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยงในฐานะแขกและส
พิธีมงคลสมรสตามประเพณีของจาเบลุซไม่แตกต่างอะไรจากประเทศอื่นๆ ในดินแดนอาหรับมากนัก... นั่นคือ... ประกอบไปด้วยพิธีการทั้งสิ้นจำนวนเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่พิธีสู่ขอในวันแรกตามหลักศาสนาแล้ว ก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะมีความสัมพันธ์กันไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ได้รับการยินยอมจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะต้องนำครอบครัวไปพูดคุยสู่ขอกับครอบครัวของฝ่ายหญิงที่บ้าน แต่เนื่องจากอรนลินและมารดาไม่ใช่ชาวจาเบลุซ งานสู่ขอจึงถูกจัดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการภายในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก นั่นเอง โดยมี องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี และองค์สุลตาน่าโซเฟีย เป็นผู้ดำเนินพิธีสู่ขอกับอินทิราท่ามกลางเชื้อพระวงศ์จำนวนหนึ่งวันที่สองเป็นพิธีดูตัว ซึ่งตามปกติจะเป็นโอกาสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงทำเพียงพอเป็นพิธี ส่วนวันที่สามซึ่งเป็นวันหมั้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะทำการแลกแหวนหมั้นของแต่ละฝ่าย โดยสวมใส่มิชลาห์และอบายาสีที่เข้าคู่กัน เพื่อเป็นนิมิตมงคลบอกถึงความเหมาะสมกันวันที่สี่ พิธีให้สัตย์ปฏิญาณ หรือพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปจะจัดในมัสยิด หากเจ้าบ่าวเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ผู้แทนศาสนาจึงถ
กำหนดการพิธีแต่งงานระหว่างซินเดอเรลลาสาวจากประเทศไทยกับเจ้าชายนักธุรกิจใหญ่แห่งอาหรับกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วทั้งโลก และก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจากทุกแขนงจะพากันตามมารบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนรัก โฮร์มุซก็ตัดสินใจพาเธอกับผู้เป็นแม่บินกลับไปเตรียมการที่ประเทศของเขาล่วงหน้าเกือบสองสัปดาห์แม้ว่าอินทิราจะค่อนข้างประหม่าและอึดอัดใจกับชีวิตในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก พอสมควร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอต้องตื่นตาตื่นใจไปกับทุกๆ สิ่งที่ได้สัมผัส รวมถึงอดที่จะกังวลไม่ได้กับขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เธอเองมีส่วนผลักดันให้ลูกสาวเป็นคนเลือกในช่วงแรกๆ ที่ได้กลับมาพำนักในปราสาทหินทรายสีชมพู อรนลินรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เมื่อต้องถูกคนครึ่งประเทศจับจ้องด้วยสายตาคับข้องใจและไม่เห็นด้วย ว่าเหตุใดเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัฐสุลต่าน บาห์ลา จาเบลุซ จึงเลือกผู้หญิงต่างชาตินอกศาสนามาเป็นคู่ชีวิต แต่ด้วยกำลังใจจากผู้ชายที่เธอรักรวมถึงท่าทีของสุลต่านและสุลตาน่าที่วางตนเป็นผู้สนับสนุนอยู่ห่างๆ แล้ว ไม่นานหญิงสาวก็ทำใจได้อรนลินต้องเข้าพิธีกับยัลซูผู้เผยแผ่ เปลี่ยนมาถือศาสนาอิสลาม เปลี่ยนลำดับความรักและความเคารพบ
“ต๊าย... ทีอย่างนี้ล่ะทำหวง คนอะไร้...”“ที่จริงลินเองก็ไม่สะดวกหรอกค่ะ พี่ปุ๊กกี้ก็รู้ว่าตอนนี้ลิน...” ก้มลงมองหน้าท้องที่แทบจะยังไม่ขยายตัวให้เห็น มือของเธอก็ลูบคลำเบาๆ ไปด้วยอย่างรักใคร่ “ลินคงไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้คุณชายพิษณุไม่ได้หรอกค่ะ อายเขาตายเลย...”“เออ จริงสิ... ตั้งแต่มีข่าวเรื่องน้องสาวฆ่าตัวตาย คุณชายพิษณุก็หายเงียบไปเลยนะ... เดี๋ยวนี้ไม่เห็นออกงานสังคมที่ไหนบ้างเลย...”“จริงด้วย แล้วคุณหญิงรัตน์ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้ข่าวอีกเลยเหมือนกัน...” ใครคนหนึ่งถามขึ้น“เห็นพี่ชัยรัตน์บอกอยู่เหมือนกันว่าหนีไปรักษาสภาพจิตใจที่เมืองนอกนะ อยู่เมืองไทยก็คงอายคนนั่นแหละ...” หัวหน้าฝ่ายคอสตูมเป็นคนตอบ “แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิท คุณชายพิษณุต้องไปด้วยแน่ๆ อาจจะได้เจอคุณหญิงรัตน์ในงานด้วย ใครจะไปรู้...”“จะว่าไปที่ผ่านมาคุณชายพิษณุก็ไม่เคยมีข่าวคาวกับผู้หญิงซักคนนะ ดีไม่ดีจะเป็นเก้งเอาหรือเปล่ายะ” ปกรณ์ยกมือทาบอกกระดกปลายนิ้วก้อย รำพึงรำพันกับตัวเองในลำคอ “ผู้ชายอะไรหน้าว้านหวาน ถูกสเปกอีปุ๊กกี้สุดฤทธิ์... สาธุ... ไม่ใช่เก้งก็เป็นกวางทีเถอะ งานนี้แม่จะได้ลุ้นลับตับแตกกับเ
สามเดือนต่อมา... หลังจากบรรดาผู้คนในวงการนางแบบต่างพากันช็อกกับข่าวอุบัติเหตุรถคว่ำของกัทลี... ชื่อของ เกรซ กัทลี อดีตนางแบบชื่อดังระดับประเทศก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครจดจำได้อีก...นับว่าโชคดีที่ครั้งนั้นหญิงสาวไม่ถึงกับเสียชีวิต เนื่องจากคนของโฮร์มุซช่วยนำเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ทว่าใบหน้าของอดีตนางแบบสาวก็ถูกแรงกระแทกทำให้เป็นบาดแผลฉกรรจ์จนถึงกับเสียโฉม ที่หนักที่สุดก็คือขาซึ่งหักทั้งสองข้าง แม้จะรักษาจนหายขาดแล้ว ก็ยังต้องเดินกะโผลกกะเผลกอย่างคนพิการไปตลอดชีวิตสภาพที่ต้องนอนมีผ้าพันแผลและเข้าเฝือกแทบทั้งตัวเป็นเวลานานนับเดือน ทำให้อรนลินและมารดารู้สึกเสียใจกับเธอ และตกลงใจที่จะอโหสิกรรมให้ ไม่ดำเนินคดีความหรือเอาเรื่องใดๆ อีกกลาร์มัวร์ ไดมอนด์ จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนไหม่ ถึงจะยังไม่ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างกับกัทลีตั้งแต่ตอนที่วางตัวเธอเอาไว้ แต่หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ ก็ได้มอบเงินชดเชยจำนวนหนึ่งให้กับเธอเพื่อเป็นกีแสดงความเห็นใจ หากเงินหลักล้านและเงินเก็บอีกหลายแสนที่มีในบัญชีของหญิงสาว หลังจากการรักษาตัวแล้ว ก็มีอันต้องอันตรธานไปอย่างร
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษก็เปิดออก เนื่องจากปกรณ์และอินทิราที่ได้ยินเสียงโต้เถียงกันแว่วออกไปถึงด้านนอก รู้ว่าผู้ป่วยได้สติแล้วก็รีบเข้ามาขัดตาทัพเสียก่อน“ไอ้ลิน... ฟื้นแล้วหรือลูก...”“ยัยลิน... เจ๊กำลังเป็นห่วงเลยเชียว...”มองเห็นสีหน้าและน้ำตาของลูกสาว คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าก็พอจะคาดเดาเรื่องระหว่างหนุ่มสาวสองคนนี้ได้หลายส่วน เธอจึงกระซิบให้ปกรณ์ทำหน้าที่ล่าม เชิญเจ้าชายหนุ่มออกไปสงบสติอารมณ์หน้าห้องก่อน ส่วนเธอเองก็เห็นทีจะต้องทำตัวเป็นท้าวมาลีวราชว่าความให้ทั้งคู่เสียแล้วมองลูกเขยโดยพฤตินัยเดินหงุดหงิดออกไปพร้อมกับรุ่นพี่ใจแหววของลูกสาวก็นึกเวทนา ความจริงอินทิราไม่อยากให้อรนลินไปพัวพันกับคนระดับนั้นหรอก แต่สายตาของเธอยังไม่ถึงกับฝ้าฟาง... ถ้าหากจะมีใครสักคนที่ดวงตามืดบอด ก็คงไม่แคล้วเป็นลูกสาวของเธอนั่นแหละ...“มีเรื่องอะไรกัน แกเล่าให้แม่ฟังซิ ไอ้ลิน...”“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่...” หญิงสาวไม่กล้าสู้สายตา“แกทำให้แม่เสียใจมากนะลิน... จนป่านนี้แล้วยังคิดจะปิดแม่อีกหรือไง... แกได้เสียกับเขาแล้ว แล้วตอนนี้แกก็ท้องลูกของเขาอยู่ใช่ไหม...” เสียง