จางอวิ๋นซีเดินเที่ยวตลาดในเมืองหลวงแคว้นหานอย่างสบายใจ หลังจากที่ได้สั่งสอนจางเซียวหรูกับคนที่เคยทำร้ายเจ้าของร่างนี้ในอดีต
“เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ มีแค่ตลาดของชาวเมืองแค่นั้นหรือ” จางอวิ๋นซีถาม ตามประวัติศาสตร์จีนโบราณนั้นแต่ละแคว้นเริ่มมีการติดต่อกับชาติตะวันตก และวิทยาการการแพทย์แบบตะวันตกน่าจะเริ่มเข้ามาอย่างแพร่หลายบ้างแล้ว “อยู่นอกตลาดนี้ออกไป เป็นท่าเรือและตลาดสินค้าใหญ่จากพ่อค้าชาวตะวันตกและพ่อค้าชาวต่างชาติเจ้าค่ะคุณหนู ฝ่าบาททรงมีนโยบายการค้าแบบเสรีกับต่างชาติไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจ้าค่ะ” หรูหรงอธิบาย จางอวิ๋นซีครุ่นคิดสักครู่หนึ่งแล้วถาม “แสดงว่าการแพทย์ของพวกฝรั่งก็เริ่มเข้ามาแล้วน่ะสิ” หรูหรงยิ้ม “เจ้าค่ะ แต่ว่าก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับแบบแพร่หลายมากนัก” “ทำไมล่ะ” จางอวิ๋นซีถามด้วยความสงสัย “เนื่องจากพวกเราคุ้นเคยกับการรักษาแบบปัจจุบันมากกว่าเจ้าค่ะ อีกทั้งพวกฝรั่งเหล่านี้มียามากมายที่พวกเราไม่คุ้นเคยกัน” หรูหรง กล่าวเท่าที่นางรู้เพียงเท่านั้น “แบบนี้ถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา ก็รักษาด้วยสมุนไพรประคับประคองตามอาการเท่านั้นน่ะสิ แย่จัง” จางอวิ๋นซีบ่นอย่างแสนเสียดาย วิทยาการแบบตะวันตกมีการรักษาที่ก้าวหน้ามากมาย การรักษาย่อมเห็นผลข้างเคียงน้อยกว่าและให้ผลการตอบสนองหลังการรักษาที่ดีกว่ามาก เห็นทีมายุคนี้ นางมีอะไรสนุกๆ ให้ทำอีกแล้วล่ะ “ข้าอยากไปตลาดของพวกฝรั่งต่างชาติ เราไปกันเถิด” จางอวิ๋นซีจูงมือหรูหรงแล้วลากพาอีกฝ่ายไปตลาดค้าขายของพวกฝรั่ง ซึ่งก็มีพวกสตรีและขุนนางชั้นสูงมาเดินจับจ่ายซื้อของที่นี่เช่นกันหานไท่หยางหรือ ‘อ๋องไท่หยาง’ พระราชโอรสองค์รองในฮ่องเต้และพระราชโอรสองค์ใหญ่ในหลิวฮองเฮา ซึ่งบัดนี้กลับมาจากศึกปราบกบฏที่ชายแดนเหนือตำบลซ่างจิ่ง กำลังควบม้าเล่นในตลาดของแคว้นหานหลังจากกรำศึกมาเนิ่นนาน
เนื่องด้วยวันพรุ่งนี้คือวันพระราชสมภพของไทเฮาผู้เป็นเสด็จย่า เขาจำเป็นต้องรีบกลับมาร่วมงานถวายพระพรให้ทัน “ไม่กี่เดือน บ้านเมืองเราครึกครื้นขนาดนี้เชียวรึ” ไท่หยางกล่าวกับองครักษ์ข้างกายซึ่งควบม้ามาคู่กัน ‘เฉินหรง’ องครักษ์คนสนิทที่รับใช้ข้างพระวรกายหานไท่หยางมาตั้งแต่เมื่อครั้งศึกที่แคว้นเยว่กล่าวขานรับ “พะยะค่ะ ฝ่าบาททรงปรารถนาส่งเสริมการค้ากับพวกพ่อค้าตะวันตกและชาวเปอร์เซีย จึงทรงมีนโยบายเปิดการค้าอย่างเสรีกับพวกเขา รวมถึงการแพทย์แบบตะวันตกที่เริ่มเข้ามาแล้วพะยะค่ะ” “แต่น่าเสียดายนักที่ไม่ค่อยได้รับการส่งเสริมมากเท่าใด ข้าเห็นว่าวิทยาการแบบพวกตะวันตกนั้นมีความก้าวหน้ากว่าชาวเรานัก จะมีประโยชน์ยิ่งต่อบ้านเมืองเรา” ไท่หยางกล่าวขณะกำลังควบม้าไปเรื่อยๆ “ท่านอ๋อง นั่นใช่คุณหนูจางหรือไม่พะยะค่ะ” เฉินหรงกล่าวหานไท่หยางหันหน้ามองหญิงสาวที่เฉินหรงกล่าวถึง นางคือจางอวิ๋นซี สตรีที่พระมารดากับ เสด็จย่าทรงโปรดปรานนัก นานมากแล้วที่เขากับนางไม่ได้พบกัน... ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า หาใช่จางอวิ๋นซีผู้ชอบทำสีหน้าราวกับคนอมทุกข์ แต่เป็นสตรีที่กำลังเดินยิ้มระรื่นจับจ่ายซื้อของจากพวกชาวต่างชาติกับสาวใช้ของนาง ภาพรอยยิ้มอันงดงามที่หานไท่หยางไม่เคยได้เห็นจากนาง วันนี้กลับปรากฏอย่างชัดเจนนัก เป็นรอยยิ้มที่งดงามประทับใจคราแรกนัก “ปกตินางไม่ค่อยยิ้มเท่าใด ทุกครั้งที่กระหม่อมเคยเจอนาง เมื่อครั้งมาเมืองหลวง นางมักจะมีสีหน้าราวกับคนอมทุกข์ แต่วันนี้นางมาแปลกยิ่งนักพะยะค่ะ” เฉินหรงเอ่ย แล้วหันมามองผู้เป็นนายที่ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าอันหล่อเหลา เง็กเซียนทรงโปรด! ท่านอ๋องของเขายิ้มเป็นหรือ?! หานไท่หยางเป็นอ๋องที่ขึ้นชื่อว่าเสือยิ้มยากนัก ทั้งชีวิตทรงตรากตรำกับการศึกสงครามมานับไม่ถ้วน ด้วยฐานะโอรสของฮองเฮาจึงจำเป็นต้องแบกรับภาระและความหวังเอาไว้มากมาย รวมถึงต้องแก่งแย่งคอยระวังเหล่าบรรดาองค์ชาย ซึ่งเป็นโอรสที่ประสูติจากพระสนมแห่งวังหลังหลายองค์ที่ต่างแย่งชิงความโปรดปรานจากฮ่องเต้ผู้เป็นบิดา เพื่อตำแหน่งรัชทายาทที่ว่างเว้นมานาน แต่หากนับตามธรรมเนียมแล้ว หากฮองเฮาทรงให้ประสูติพระโอรสนั้น พระโอรสที่ถือกำเนิดจากฮองเฮามีสิทธิ์เป็นรัชทายาทเท่านั้น ยกเว้นเสียแต่จักรพรรดิจะทรงโปรดโอรสองค์ใดมากเป็นพิเศษ หานไท่หยางมองจางอวิ๋นซีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด นางอารมณ์ดีอย่างคาดไม่ถึง รอยยิ้มของนางที่เขาเห็นแบบมีความสุขนี้ทำให้อ๋องหนุ่มพระทัยเต้นระรัวยิ่งนัก อ๋องหนุ่มผู้เย็นชาต่อสตรี ผู้ได้รับฉายาว่าเป็นจอมอำมหิต แต่ขณะนี้กำลังมองสตรีตัวน้อยอย่างไม่วางตา เฉินหรงมองความเปลี่ยนแปลงของผู้เป็นนาย จึงได้แต่กลั้นยิ้มในใจ “เราไปกันต่อเถิด” หานไท่หยางไม่อยากใส่ใจนัก เขายังควบม้าต่อไปจางอวิ๋นซีเลือกซื้อเครื่องประดับและสมุนไพรร้านนั้นร้านนี้อย่างสนใจ เนื่องจากหรูหรงกล่าวว่าจางฮูหยินนั้นป่วยเรื้อรังมานานแล้ว แม้ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาจะส่งหมอหลวงกี่สำนักมารักษา ก็ไม่อาจรักษาให้หายป่วยได้ นางจึงเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ เสมอมา
“คุณหนูจะไม่ถามเรื่องเทียบยากับเจ้าของร้านหรือท่านหมอฝรั่งหน่อยหรือเจ้าคะ” หรูหรงถาม นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับเทียบยามากมายที่อีกฝ่ายเลือกหยิบมา ฉันนี่ล่ะเป็นหมอ และเป็นหมอที่เก่งมากด้วย...จางอวิ๋นซีคิดในใจ “เอาเถิดน่า ข้ารักษาแม่ข้าได้แล้วกัน เจ้าแค่นำเทียบยาพวกนี้กลับไปที่จวนก็พอ” จางอวิ๋นซีสั่งหรูหรง เพล้ง!!! เสียงราวกับของตกกระทบกันบริเวณหน้าร้านขายยา จางอวิ๋นซีกับหรูหรงกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ภายนอก กำลังเห็นบุรุษสองถึงสามคนสวมผ้าโพกหัวเหมือนกับชาวอินเดียหรือชาวเปอร์เซีย ซึ่งตอนนี้ผลักหญิงชราผู้หนึ่งที่แต่งตัวคล้ายกันล้มลงนอนกับพื้น นางกับหรูหรงช่วยเข้าไปพยุงหญิงชราผู้นั้นขึ้นมา จางอวิ๋นซีถามอีกฝ่ายด้วยภาษาอังกฤษ “ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะท่านป้า” จางอวิ๋นซีถามอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ ขณะที่นางกับหรูหรงกำลังช่วยพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา แม้หรูหรงจะไม่เข้าใจกับท่าทีอันเปลี่ยนไปของเจ้านายตน แต่นางกลับมิได้คิดใส่ใจมาก การที่เจ้านายของนางแข็งแกร่งขึ้น เก่งมากขึ้นย่อมสามารถปกป้องตนเองจากการกลั่นแกล้งของสองแม่ลูกนั่นได้ “นางเกะกะขวางทางเดินของพวกข้า!” หนึ่งในชาวต่างชาติตะโกนเสียงดัง ทางด้านหานไท่หยางกับเฉินหรงที่ได้ยินเสียงตะโกนราวกับคนโมโห จึงควบม้าแอบมาดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เมื่อเห็นจางอวิ๋นซีกำลังยืนประจันหน้ากับชายกลุ่มนั้นอย่างไม่กลัวเกรง จางอวิ๋นซีเปลี่ยนแปลงไปเยอะจนน่าสนใจจริงๆ หรูหรงกับจางอวิ๋นซีช่วยกันพยุงร่างท้วมของหญิงชราขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนจะพานางไปนั่งพักที่แคร่ไม้ใหญ่ “พวกเจ้าเป็นต่างชาติต่างเมือง มาอาศัยค้าขายบนแผ่นดินผู้อื่น เหตุใดจึงทำกันเช่นนี้!” จางอวิ๋นซีถามด้วยความโกรธเป็นภาษาอังกฤษ แววตาของนางแข็งกร้าว “สตรีนางนี้ เจ้าน่าสนใจดีเหลือเกิน พูดภาษาของพวกข้าเป็นด้วย ฮ่าๆ” หนึ่งในกลุ่มพ่อค้าจากเปอร์เซียเอ่ยอย่างชอบใจ เขาเดินเข้ามาประชิดตัวจางอวิ๋นซี ขณะที่อีกฝ่ายกำลังกระถดถอยหนี “ต่างชาติเช่นพวกเจ้ามาอาศัยแผ่นดินผู้อื่นอยู่ ไม่คิดละอายหรือยำเกรงบ้างเลยรึ ที่ทำพฤติกรรมน่ารังเกียจแบบนี้!” จางอวิ๋นซีถามขณะพยายามสงบสติอารมณ์ร้อนที่กำลังพุ่งพล่านในใจ ฝ่ามือหยาบหนาของพ่อค้าชาวเปอร์เซียนั้นหมายจะสัมผัสใบหน้างดงามของจางอวิ๋นซี แต่นางกลับเบี่ยงตัวหลบได้ทัน “ขอโทษนางเดี๋ยวนี้!” จางอวิ๋นซีสั่งเสียงแข็ง นางกำหมัดแน่นข่มกลั้นโทสะเอาไว้ “เจ้า!” พ่อค้าชาวเปอร์เซียผู้นั้นหมดความอดทนกับจางอวิ๋นซีแล้ว หรูหรงร้องห้ามแต่อีกฝ่ายไม่สนใจเลยสักนิด “ท่านอ๋อง เราเข้าไปห้ามดีหรือไม่พะยะค่ะ” เฉินหรงถามด้วยความกังวล จางอวิ๋นซีเป็นเพียงสตรี ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนนางก็ไม่อาจต่อสู้บุรุษพวกนั้นได้อยู่ดี แต่แทนที่หานไท่หยางจะเห็นด้วย เขากลับยกมือห้ามรอหยั่งเชิงก่อน “หยั่งเชิงก่อนเถิด” หานไท่หยางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย“เจ้ารังแกนาง แต่เจ้ากลับมิคิดขอโทษนางกระนั้นรึ?” จาง อวิ๋นซีเอ่ยเสียงดังด้วยความโกรธ
พ่อค้าชาวเปอร์เซียพร้อมด้วยพรรคพวกอีกสามคนล้อมนางเป็นวงกลมเอาไว้ ชายชาวเปอร์เซียที่กำลังต่อล้อต่อเถียงกับนางเดินเข้ามาเงื้อมือหมายจะตบสั่งสอนนาง แต่หรูหรงเข้ามากางแขนกั้นเอาไว้ “อย่านะ!” หรูหรงยืนกางแขนปกป้องเจ้านายตนเองเอาไว้ แต่จางอวิ๋นซีพาตัวเองกับหรูหรงหลบฝ่ามือที่กำลังฟาดลงมาที่พวกนาง พวกนางจึงรอดอย่าง หวุดหวิด “คุณหนูข้าเป็นบุตรสาวใต้เท้าจางกับฮูหยินเอก หากพวกเจ้าแตะต้องนาง พวกเจ้าไม่ได้ค้าขายอย่างสงบสุขแน่!” หรูหรงตะโกนตอบโต้พวกชาวเปอร์เซียเหล่านั้น “เจ้า วันนี้ข้าต้องตบสั่งสอนความปากดีของเจ้า!” แต่ดูเหมือนว่าพ่อค้าชาวเปอร์เซียนายนั้นจะไม่ยอมรามือง่ายๆ หานไท่หยางเห็นสถานการณ์ที่เริ่มไม่ดีจึงควบม้าฝ่าเข้ามายืนขวางหน้าเอาไว้ กระบี่ของหานไท่หยางจ่อที่ลำคอของพ่อค้าผู้นั้นอย่างดุดัน “ท่านอ๋อง” เฉินหรงที่ควบม้าตามมาติดๆ เอ่ย “ที่นี่คือแคว้นหาน ฝ่าบาททรงเปิดนโยบายการค้าแบบเสรีกับพวกเจ้า แต่ก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะมีสิทธิ์มารังแกประชาชนข้าได้ตามอำเภอใจ อยู่ที่นี่พวกเจ้าต้องเคารพกฎบ้านเมืองข้า หาใช่ประพฤติตนเยี่ยงบ้านป่าเมืองเถื่อน!” หานไท่หยางกล่าวเสียงดัง “เจ้าเป็นผู้ใดกัน?!” พ่อค้าชาวเปอร์เซียผู้นั้นถามเสียงดังเป็นภาษาอังกฤษ แต่หานไท่หยางฟังไม่เข้าใจ จางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งอยู่จึงแปลภาษาให้ “ท่านมีนามว่ากระไร” นางถามบุรุษที่ขี่ม้า “ท่านผู้นี้คือหานอ๋องไท่หยาง พระโอรสในฮองเฮา” เฉินหรง กล่าวแนะนำเจ้านายของตนเองเสียงดัง พลันเสียงฮือฮาจากเหล่าชาวบ้านก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จางอวิ๋นซีจึงตอบชายพ่อค้าผู้นั้นเป็นภาษาอังกฤษไปว่า “เขาคือโอรสในฮ่องเต้กับฮองเฮา หานไท่หยาง” แค่เพียงได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด เหล่าชายพ่อค้าชาวเปอร์เซียผู้นั้นต่างรีบขออภัยต่อจางอวิ๋นซีและหญิงชราผู้นั้น ก่อนจะวิ่งหนีหายไป เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็รีบสลายตัวกันไปอย่างรวดเร็ว “คุณหนูผู้นี้คือท่านอ๋องไท่หยางเจ้าค่ะ...” หรูหรงกล่าว แววตาโหดร้ายและเย็นชาของอ๋องไท่หยาง จางอวิ๋นซีนางสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงประกายบางอย่างที่ส่งมาถึงนางผ่านแววตาเย็นชาคู่นั้น แม้เขาจะเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงโปร่งกำยำ แต่ทว่าแววตาเย็นชาคู่นั้น ชวนให้ นางขนลุกขนพองไปทั้งร่างนัก นี่น่ะหรือคืออ๋องที่เย็นชาและอำมหิต... ‘หานไท่หยาง’เรื่องราววุ่นวายในตลาดที่จางอวิ๋นซีต่อล้อต่อเถียงกับพวกพ่อค้าชาวเปอร์เซีย กลายเป็นที่โจษขานกันอย่างสนุกปากของเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย พวกนางต่างเล่าถึงความเก่งกาจของคุณหนูจางอวิ๋นซีแห่งสกุลจางผู้นี้ ว่ามีวาจาคมคายต่อปากต่อคำกับพวกฝรั่งต่างชาติได้เก่งกาจนัก แม้กระทั่งหานไท่หยางยังแอบมองนางด้วยสายตาชื่นชม
“เรื่องวันนี้จะต้องเป็นที่โจษขานกันยาวนานแน่เลยเจ้าค่ะคุณหนู” หรูหรงกล่าวนางยกนิ้วโป้งขึ้นที่หมายถึงยอดเยี่ยมต่อหน้าหญิง สาว จางอวิ๋นซีหยิบถั่วจากถุงกระดาษขึ้นมากินเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างอารมณ์ดี “ก็ดีน่ะสิ จางอวิ๋นซีที่เคยอ่อนแอคนเดิมนั้นไม่มีอีกแล้ว นับจากนี้จะเป็นคนใหม่ที่ไม่ยอมใครอีกต่อไป” จางอวิ๋นซีหันมายิ้มให้กับหรูหรง “ดีแล้วเจ้าค่ะที่คุณหนูลุกขึ้นมาสู้คนบ้าง มิเช่นนั้นคุณหนูใหญ่ลูกฮูหยินรองก็จะข่มเหงท่านเสมอไป คราก่อนที่ท่านตอกกลับนางไป นางถึงกับนิ่งเงียบไปเลยนะเจ้าคะ” จางอวิ๋นซียิ้มอย่างพอใจกับคำพูดเยินยอจากหรูหรง นางหันมาถามสาวใช้คนสนิทบางอย่างเมื่อนึกถึงเรื่องที่สำคัญขึ้นมาได้ “หรูหรง เมื่อก่อนท่านแม่ป่วยหนักมากเลยหรือ?” จางอวิ๋นซีถาม “เจ้าค่ะ แต่นายท่านก็ไม่เคยสนใจ ไทเฮากับฮองเฮาก็ส่งหมอหลวงมาตรวจ แต่ก็ไม่สามารถรักษาโรคที่นางเป็นอยู่ได้” หรูหรงเอ่ย ขณะกำลังเดินตามจางอวิ๋นซีเข้ามาในโรงน้ำชาใหญ่ของเมือง พวกนางทั้งสองนั่งลงบนชั้นสองของร้าน ซึ่งค่อนข้างสงบและมีความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง “แล้วท่านแม่เวลาป่วยมักมีอาการอย่างใดบ้าง” จางอวิ๋นซีถาม หลังจากที่เสี่ยวเอ้อร์ของร้านรินน้ำชาให้พวกนางเสร็จแล้วเดินออกไป หรูหรงทำท่านึกอยู่นาน ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ “นึกออกแล้วเจ้าค่ะ เวลาฮู หยินใหญ่ป่วยนางมักจะมีอาการไอเป็นเลือดอยู่บ่อยครั้ง หากวันไหนโดนนายท่านทำร้ายเพราะฮูหยินรอง นางจะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างมากเลยเจ้าค่ะ” จางอวิ๋นซีกำชายกระโปรงแน่นอย่างโกรธแค้น เธอไม่รู้เลยว่า จางอวิ๋นซีคนเก่ากับมารดาจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ มีฮูหยินรองกับพี่สาวที่ร้ายกาจก็ว่าแย่แล้ว แต่ยังมีบิดาที่ไม่ได้ความและลำเอียงอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ นางไม่แน่ใจนักว่าหากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยตนเองจะหักห้ามใจไหวที่จะไม่สั่งสอนครอบครัวนี้ได้หรือไม่ “หมอหลวงจากราชสำนักก็รักษาไม่ได้เลยหรือ?” จางอวิ๋นซีถาม หรูหรงส่ายหน้า “แม้แต่หมอหลวงเก่งๆ ยังไม่อาจหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ได้เลยเจ้าค่ะ” “งั้นถ้าเป็นเช่นนี้ อาการก็คงเหมือนกับวัณโรคปอด...” จางอวิ๋นซีเอ่ยขึ้นมา นางหันมาสั่งกับหรูหรง “หรูหรง เจ้าไปหาขมิ้นชันมาให้ข้าที...” หรูหรงรีบทำตามผู้เป็นนายสั่งอย่างตั้งใจ นางเดินออกจากร้านน้ำชาไปตลาดสมุนไพรให้ผู้เป็นนายสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ