‘นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นจางอวิ๋นซีคนใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิมแน่นอน’ เซียวเหม่ยฉียิ้มขณะคิดในใจ
หรูหรงกล่าวกับไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าระคนตกใจกลัว
“ไท่ฮูหยิน ฮูหยินเอกเจ้าคะ คุณหนูจำไม่ได้แม้กระทั่งข้าน้อยเลยเจ้าค่ะ” หรูหรงกล่าวสีหน้าของนางรู้สึกหวาดกลัวระคนเสียใจ นางกลัวว่าคุณหนูของนางอาจจะได้รับผลกระทบจากพิษไข้จนเสียสติไปเลยก็ได้
“จริงหรือซีเอ๋อร์ แม่จะให้ท่านหมอมาตรวจอาการเจ้าดีหรือไม่?” จางฮูหยินถามอย่างร้อนใจ จางอวิ๋นซีจึงปัดมือกล่าวตอบ
“ไม่ๆ ไม่ต้องเจ้าค่ะท่านแม่ คือ...คือข้าสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร” เนื่องจากเธอเคยดูหนังจีนกำลังภายในและหนังแนวย้อนยุคมาเยอะยามว่างจากการเข้าเวรที่โรงพยาบาล เธอจึงพอจำบุคลิกของตัวละครหญิงที่ทะลุมิติมาได้บ้างว่าควรต้องทำอย่างไร แต่เธอเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะมาเกิดขึ้นกับเธอ
“หลานแน่ใจนะซีเอ๋อร์ ย่าไม่สบายใจเลยนับตั้งแต่หลานหายตัวไป” ไท่ฮูหยินกล่าวกับนางด้วยสีหน้ากังวล จางอวิ๋นซีเม้มปากเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะสวมบทบาทเป็นจางอวิ๋นซีคนใหม่
จางอวิ๋นซีจับมือของไท่ฮูหยินกับฮูหยินเอก พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้กับ
ทั้งสองอย่างสดใส “ท่านแม่ ท่านย่า อย่าห่วงไปเลยนะเจ้าคะ ข้าสบายดี ปลอดภัยหายห่วงค่า”
ท่าทีที่แปลกไปของจางอวิ๋นซีทำให้ไท่ฮูหยินกับจางฮูหยินเริ่มกังวลหนักกว่าเดิม เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นสตรีที่พูดน้อยคำ วาจาสงบเสงี่ยม กิริยาสำรวมนัก แต่ยามนี้จางอวิ๋นซีนั้นแปลกไปนับตั้งแต่หายตัวไปคราวนั้น นางก็ไม่เหมือนเดิมอีก
“ข้าว่าเราให้ท่านหมอมาตรวจคุณหนูอีกครั้งดีไหมเจ้าคะ” หรูหรงเสนอ ตอนนี้เจ้านายของนางแปลกไปจากเดิมมาก จากคุณหนูที่พูดน้อยแทบนับคำ กิริยาวาจาสำรวมอ่อนหวาน ใบหน้ามีแต่ความเศร้าหม่นปรากฏ แต่บัดนี้กลับเป็นราวคนละคน มีทั้งอารมณ์ดีและร่าเริง พูดเยอะกว่าเดิม อีกทั้งยังมีน้ำเสียงที่ประจบเอาใจมารดากับไท่ฮูหยินนัก หรูหรงอดคิดถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
“ฉันบอกว่าฉันไม่เป็นไรน่ะ” จางอวิ๋นซีคนใหม่ปฏิเสธพลางโบกมือไปมาเบาๆ
“แต่แม่ว่าให้หมอมาตรวจอาการเจ้าหน่อยก็ดีนะ แม่กับท่านย่าจะได้สบายใจ” จางฮูหยินมีสีหน้าและน้ำเสียงเป็นกังวลนัก
ก็ฉันนี่ล่ะที่เป็นหมอ...จางอวิ๋นซีคิด
“นั่นสิ ฟังแม่เจ้าหน่อยนะ ย่าจะได้สบายใจด้วย” ไท่ฮูหยินกล่าวเสริมอีกแรง จางอวิ๋นซีจึงยอมทำตาม จากนั้นจางฮูหยินจึงสั่งให้บ่าวของตนเองไปตามหมอประจำจวนมาตรวจดูอาการของจางอวิ๋นซีอีกครั้ง
หลี่ฮูหยินเดินทางมาเยี่ยมจางอวิ๋นซีที่เรือนพร้อมกับจางเซียวหรู พวกนางทั้งสองแม่ลูกยังคงแต่งกายงดงามชดช้อยมิได้สนใจสิ่งใด อีกทั้งใบหน้านั้นยังแสดงถึงความทะนงเย่อหยิ่งเช่นเดิม เมื่อพวกนางทั้งสองเดินเข้ามาถึงห้องนอนของจางอวิ๋นซี จากที่ควรดีใจที่อาการอีกฝ่ายดีขึ้น แต่กลับมีความตกใจเท่านั้น
หลี่ฮูหยินรีบเก็บซ่อนอารมณ์ทางสีหน้าอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับจาง
เซียวหรู
“เอ่อ ข้าได้ข่าวว่าน้องหญิงฟื้นแล้ว เลยชวนท่านแม่รองมาเยี่ยมนาง” จางเซียวหรูแสร้งกล่าวด้วยความห่วงใย จางอวิ๋นซีที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของสองแม่ลูกผู้มาใหม่ นางกระซิบถามหรูหรง แต่ทว่าไท่ฮูหยินกลับได้ยินที่พวกนางสนทนากัน
“หรูหรง พวกนางเป็นใครหรือ?”
หรูหรงกระซิบบอก “พวกนางคือสองแม่ลูกที่อิจฉาและรังแกคุณหนูมาตลอดเจ้าค่ะ นางผู้นั้นคือฮูหยินรอง ส่วนอีกคนเป็นพี่สาวท่านเจ้าค่ะ นางชื่อจางเซียวหรู”
‘ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ยัยสองคนนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการตายของเธอก็ได้นะ จางอวิ๋นซี’ เซียวเหม่ยฉีคิดในใจ สายตาของนางจับจ้องที่สองแม่ลูกไม่วางตา
“น้องหญิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จางเซียวหรูเดินเข้ามาหา นางนั่งแทรกตรงกลางเข้ามา จับมือของจางอวิ๋นซีขึ้นมากุมอย่างถือวิสาสะ หรูหรงที่ยืนอยู่ตรงนั้นแทบสะอิดสะเอียนกับท่าทีเช่นนี้ที่แสดงออกมา ส่วนจางอวิ๋นซีเองก็จ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางใจนัก นางรู้สึกได้กลิ่นตุๆ จากจางเซียวหรูผู้นี้เหลือเกิน
จางอวิ๋นซีชักมือกลับอย่างรวดเร็ว นางกล่าวอย่างสุภาพกับผู้มาเยือนใหม่
“ข้าเจ็บป่วยเช่นนี้ ลำบากพี่หญิงกับฮูหยินรองมาเยี่ยมแล้ว” หญิงสาวกรีดยิ้มอ่อนหวานอย่างไม่จริงใจนักให้อีกฝ่าย ซึ่งเป็นพี่สาวต่างมารดา
“ข้านึกว่าท่านจะดีใจที่คุณหนูหายไปเสียอีก” บ่าวรับใช้ของไท่ฮูหยินกล่าวขึ้นมาอย่างรังเกียจ จางเซียวหรูนั้นเป็นที่รู้นิสัยกันดีว่าเป็นเช่นไร แต่ทว่าจางเยี่ยนนั้นก็ยังปักใจรักแต่บุตรีกับภรรยารองผู้นี้จนลืมเลือนความถูกผิดไป อีกทั้งสองแม่ลูกผู้นี้ยังมีพฤติกรรมน่าระอายิ่งนัก
“แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เจ้าหายดี แม่รองมาเยี่ยมเจ้าก็เกรงว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีก” น้ำเสียงของฮูหยินรองนั้น จางอวิ๋นซีจับได้ว่าเป็นการประชดประชันในความผิดหวังของพวกนาง แค่มองตาก็พอรู้ว่าจาง อวิ๋นซีต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีเถอะนะจางอวิ๋นซี อย่าได้เกิดมาเจอคนพรรค์นี้อีกเลย ฉันจะแก้แค้นแทนเธอเอง ฉันสัญญา...
“เก็บความห่วงใยของท่านแม่รองไปเถิดเจ้าค่ะ ความห่วงใยที่มาจากความเสแสร้ง ข้าไม่อยากรับ” จางอวิ๋นซีประกาศออกไปตรงๆ เซียวเหม่ยฉีต้องการให้พวกนางทั้งสองแม่ลูกนั้นรับรู้ว่า จางอวิ๋นซีคนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคนใหม่ที่มาพร้อมกับความแค้นของคนเดิม และนับจากนี้ถ้าหากพวกนั้นกล้าหาเรื่องกลั่นแกล้งเธอ เธอสาบานได้เลยว่าจะเอาคืนให้สาสมกับบาปกรรมที่ก่อ บาปกรรมที่มีส่วนให้สตรีผู้
หนึ่งต้องตายอย่างน่าสงสาร!
หลี่ฮูหยินกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งเมื่อจางอวิ๋นซีตอบกลับมาเช่นนี้ ไท่ฮูหยินกับจางฮูหยินเองก็นิ่งไปอึกหนึ่งเช่นกัน แต่จากนั้นทั้งสองก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเลย
หมอที่บ่าวรับใช้ของจางฮูหยินไปตามมาเดินทางมาถึงแล้ว จางอวิ๋นซีมองหมอเฒ่าผู้มากประสบการณ์ กำลังเปิดกล่องเครื่องมือ เผยให้เห็นเข็มมากมายขนาดความยาวต่างกันวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตามหลักการแพทย์แผนจีนสมัยโบราณแล้ว การฝังเข็มเป็นการรักษาที่ดีและได้ประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นที่ยอมรับในการรักษาจากแพทย์แผนตะวันตกอีกด้วย
หมอเฒ่าผู้นั้นกำลังจะจับข้อมือของจางอวิ๋นซีตรวจชีพจร แต่นางชักมือกลับเสียก่อน
“ท่านใส่ถุงมือก่อนตรวจสิ” หมอผู้มาตรวจอาการงุนงงกับคำกล่าวของจางอวิ๋นซี สีหน้างงงวยปรากฏชัดเจน
“แม่นางหมายถึงสิ่งใดขอรับ” หมอผู้มาตรวจถาม
จางอวิ๋นซีขมวดคิ้ว นางไม่คาดคิดว่าการแพทย์ในยุคโบราณแบบนี้จะไม่รู้จักถุงมือตรวจโรค
“ถุงมือตรวจโรคไง ท่านไม่รู้จักรึ?” จางอวิ๋นซีถามขณะที่นางกำลังนั่งรอตรวจชีพจรอยู่บนเตียง หมอเฒ่าหันมากล่าวกับไท่ฮูหยินและจางฮูหยิน
“เอ่อ ตอนนางฟื้นมานางก็เป็นเช่นนี้แล้วหรือขอรับ”
จางฮูหยินและไท่ฮูหยินพยักหน้าน้อยๆ เชิงตอบ หมอเฒ่ามีสี
หน้าลำบากใจชัดเจน
“จะตรวจหรือไม่ตรวจ ถ้าไม่ตรวจฉันจะนอนแล้วนะ เหนื่อยมาก” จางอวิ๋นซีถามหมอเฒ่าเสียงแข็ง
“คุณหนูเจ้าคะ...” หรูหรงกระซิบเบาๆ “ฉันอะไรหรือเจ้าคะ”
จางอวิ๋นซีเอามืออุบปากอย่างลืมตัว ตอนนี้เธออยู่ในร่างของจางอวิ๋นซี ไม่ใช่เซียวเหม่ยฉีหมอมือฉมังจากโรงพยาบาลเอกชนอีกแล้ว ตอนนี้เธอควรทำตัวให้กลมกลืนกับโลกในยุคนี้ และเป็นจางอวิ๋นซีคนใหม่ดั่งที่ตั้งใจเอาไว้
“ข้าว่าท่านควรให้หมอหลวงมาตรวจนางเพิ่มเติม บางทีศีรษะของนางอาจได้รับการกระทบกระเทือนขอรับ” หมอเฒ่าบอกกับฮูหยินเอกและไท่ฮูหยิน จางฮูหยินเดินเข้ามาจับมือบุตรสาวคาดคั้นถาม
“ซีเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้เจ้าเจอกับอะไรมาบ้าง เจ้าบอกแม่มา” จางฮูหยินคาดคั้น
จางอวิ๋นซีหันมากล่าวกับหมอเฒ่า
“ท่านหมอเฒ่า การกระทบกระเทือนทางศีรษะที่ท่านกล่าวถึงน่ะจะต้องมีอาการเบื้องต้นคือศีรษะฟกช้ำและข้าก็จะอยากอาเจียนตลอดเวลา แต่นี่ข้าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเพราะตากน้ำฝน นอกนั้นข้าปกติหมด”
บ่าวรับใช้ของไท่ฮูหยินกระซิบกับฮูหยินอาวุโส
“ไท่ฮูหยิน ข้าว่าท่านควรแจ้งเรื่องนี้แก่ไทเฮาและฮองเฮานะเจ้าคะ ทั้งสองพระองค์จะได้ส่งหมอหลวงมาตรวจ”
“ช่างเถิด วันพรุ่งนี้จะถึงวันพระราชสมภพของไทเฮาแล้ว ข้าไม่อยากให้อาการป่วยของหลานข้าแพร่งพรายออกไป แล้วถ้าหากบ่าวไพร่คนใดแพร่งพรายออกไปเจ้ามารายงานข้าทันที” ไท่ฮูหยินสั่งกับบ่าวคนสนิท
“หรูหรง เจ้าไปส่งท่านหมอที” จางฮูหยินหันมาสั่งกับหรูหรง ซึ่งนางช่วยหมอเฒ่าเก็บอุปกรณ์และเดินออกไปส่งถึงหน้าจวน
เมื่อพ้นร่างของหมอเฒ่าไปแล้ว จางฮูหยินกล่าวกับบุตรสาวด้วยแววตา
เป็นห่วง นางเอามือลูบปอยผมที่หล่นปรกหน้าของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
“ซีเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหน”
จางอวิ๋นซีกุมมือมารดาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวาน
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าดูแลตัวเองได้”
และข้าคือจางอวิ๋นซีคนใหม่ ที่จะไม่ยอมให้ใครมากดหัวอีก!
ตั้งแต่ยามเช้าจนถึงยามสาย จางอวิ๋นซีต้องการออกไปเยี่ยมชมบ้านเมืองยุคโบราณ นางเคยอ่านนิยายแนวย้อนยุคมากมาย แต่ทว่าวันนี้นางกลับไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหนือจินตนาการนี้จะเกิดขึ้นกับตัวนางเอง
แม้ว่าหรูหรงจะพยายามห้ามเนื่องจากนางเพิ่งพักฟื้นร่างกาย แต่จางอวิ๋นซีนั้นไม่ยอมฟัง นางยังคงดื้อรั้นจะออกไปเที่ยวข้างนอกให้ได้ แต่นางยังไม่ลืมถามถึงบิดาของจางอวิ๋นซีคนเก่าจากหรูหรง
“แล้วท่านพ่อเล่า ตั้งแต่ข้าฟื้นมาข้ายังไม่เห็นท่านพ่อมาเยี่ยมข้าเลย” จางอวิ๋นซีถามขณะที่หรูหรงกำลังช่วยนางแต่งตัวด้วยชุดฮั่นฝูและประดับผมด้วยปิ่นหยกอันงดงาม ซึ่งปิ่นหยกนี้เป็นของพระราชทานจากไทเฮาให้นางสวมใส่ไปร่วมงานวันพรุ่งนี้
“นายท่านไปประชุมที่วังหลวงเจ้าค่ะ เห็นว่าวันนี้โอรสของฮ่องเต้จะเสด็จกลับมาจากต่างแคว้น รวมถึงท่านอ๋องไท่หยางที่ฮองเฮาหมายตาให้ท่านด้วยนะเจ้าคะ” หรูหรงตอบ
จางอวิ๋นซีตั้งใจฟัง ก่อนที่เซียวเหม่ยฉีจะถูกดูดเข้ามาอยู่ในร่างของจางอวิ๋นซี เธอต้องการรู้ยิ่งนักว่าก่อนที่จางอวิ๋นซีตายอีกฝ่ายโดนทรมานหรือโดนใครทำร้ายหรือไม่ นางจึงถามหรูหรง
“หรูหรง ก่อนที่ข้าจะความจำเสื่อม มีใครมาทำร้ายหรือมีเรื่องกับข้าก่อนหรือไม่ หรือก่อนหน้านั้นเคยมีใครกลั่นแกล้งข้าหรือไม่” จางอวิ๋นซีถาม
หรูหรงรีบตอบทันที “มีเจ้าค่ะ ก็พี่สาวและแม่รองของคุณหนูนั่นล่ะ ก่อนที่คุณหนูจะหายตัวไป พวกนางหาเรื่องใส่ร้ายคุณหนูว่าขโมยผ้าไหมพระราชทานจากหยางเต๋อเฟยไป เพราะพวกนางอิจฉาที่คุณหนูของบ่าวน่ะ เป็นหลานสาวฮองเฮา เป็นนางรับใช้ของไทเฮา คุณหนูของบ่าวได้รับการอบรมสั่งสอนจากในวังตั้งแต่ยังเล็กๆ พวกนางเลยอิจฉาเจ้าค่ะ”
จางอวิ๋นซีคิดตามแล้วถามต่อ “แล้วก่อนหน้านี้ข้าเจออะไรจากสองแม่ลูกนี้บ้าง...ฉันจะคิดบัญชีทีเดียว” ประโยคหลังจางอวิ๋นซีคิดในใจ
“พวกนางน่ะอิจฉาที่คุณหนูของบ่าวเป็นที่ชอบพอของท่านอ๋องใหญ่โอรสของหยางเต๋อเฟยเจ้าค่ะ ส่วนฮองเฮากับไทเฮาก็หมายตาให้คุณหนูเป็นพระชายารัชทายาท พวกนางยิ่งทวีความอิจฉามากขึ้นไปอีก”
แม้แต่ยุคนี้เรื่องอิจฉาริษยาแย่งผู้ชายกันก็ยังมี ยิ่งกว่าละครอีก จางอวิ๋นซีคิด
จางอวิ๋นซีคิดอะไรสนุกๆ ได้ นางหยิบกำไลหยกที่ฮองเฮาทรงพระราชทานให้ขึ้นมาสวมใส่ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก
ได้เวลาสั่งสอนคนแล้วสินะ
“ปกติพี่หญิงใหญ่นางมักจะไปที่ใดของจวน” จางอวิ๋นซีถามหรูหรง
“ปกตินางจะไปคอยต้อนรับนายท่านที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ คุณหนูมีอันใดหรือเจ้าคะ” หรูหรงถามด้วยความสนใจ
“ไปสั่งสอนคนกัน” จางอวิ๋นซียกยิ้มที่มุมปากอย่างมีแผนการ นางลุกขึ้นเดินไปที่เรือนใหญ่ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเดียวกับที่จางเยี่ยนเดินทางกลับจากวังหลวงพอดี อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนี้นะ
ทุกคนมารวมตัวต้อนรับการกลับเรือนของประมุขสกุลจาง จางเยี่ยนแม้จะทราบว่าบุตรสาวป่วยและพูดจาเลอะเลือนราวกับคนไร้สติ หลี่ฮูหยินแสดงท่าทีห่วงใยอย่างชัดเจน เพื่อหวังจะกลบเกลื่อนร่องรอยการกระทำของนางกับบุตรสาว
“ข้าเองก็ไปเยี่ยมนาง แต่นึกไม่ถึงว่านางจะไล่ข้ากับหรูเอ๋อร์ออกมาเจ้าค่ะท่านพี่” หลี่ฮูหยินแสร้งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
“ลูกคนนี้หนิ ปกติก็อ่อนแอจนเป็นนิสัย แต่คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจกล่าววาจาไร้น้ำใจต่อเจ้าและพี่สาวได้ถึงขนาดนี้” จางเยี่ยนถอนหายใจด้วยความระอา
“ใครไล่ใครกันหรือเจ้าคะท่านพ่อ” จางอวิ๋นซีเดินเข้ามาขณะประคองไท่ฮูหยินจางและมารดา แววตาของนางเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่จางอวิ๋นซีคนเดิมที่ใครจะมารังแกได้อีกต่อไป ต่อไปนี้ใครที่เคยทำ
ร้ายจางอวิ๋นซีและมารดาถึงคราวต้องชดใช้แล้ว
“นางมาแล้วเจ้าค่ะท่านพี่ ดูสิเจ้าคะ สายตานางราวกับจะสังหารพวกเราสองแม่ลูก” หลี่ฮูหยินไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดเท่าสายตาของจาง อวิ๋นซีมาก่อน นางกับจางเซียวหรูเดินมาหลบหลังของจางเยี่ยนพร้อมกับสีหน้าน่าสงสาร
“เจ้านี่นะ หายไปทั้งวันทั้งคืนให้ทุกคนวุ่นวาย พอแม่เล็กของเจ้าไปเยี่ยมเจ้ากลับพูดจาทำร้ายจิตใจนาง มารดาของเจ้าไม่อบรมสั่งสอนมาดีหรืออย่างไร!” จางเยี่ยนตวาดใส่บุตรสาวอย่างไม่พอใจ
จางฮูหยินกล่าว นางประสานมือขออภัยต่อสามีเพื่อบรรเทาโทษ
บุตรสาว แต่ทว่าจางอวิ๋นซีกลับดึงแขนของมารดาเบาๆ แล้วเดินเข้าไปยืนตรงหน้าจางเยี่ยนอย่างไม่เกรงกลัว
แววตาแข็งกร้าวของจางอวิ๋นซีทำให้จางเยี่ยนกับฮูหยินรองชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
“จะตบข้าหรือเจ้าคะ หรือจะให้ข้าคุกเข่าโขกศีรษะดีล่ะ” นางยิ้มท้าทาย แววตาและใบหน้าไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“แม่ใหญ่ ท่านหัดสั่งสอนนางบ้างสิเจ้าคะ มิใช่ให้นางมาทำตนข่มบิดากับแม่รองเช่นนี้” จางเซียวหรูกล่าว ใบหน้าของนางสั่นเทาเล็กน้อยเนื่องจากแววตาของจางอวิ๋นซีนั้นเปลี่ยนไปมาก
จางอวิ๋นซีเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าจางเซียวหรูผู้เป็นพี่สาว นางลูบข้อมือของตนเองเผยให้เห็นกำไลหยกพระราชทานจากฮองเฮาและปิ่นหยกพระราชทานจากไทเฮา นางจงใจเผยให้จางเซียวหรูเห็นของล้ำค่าสองสิ่งอย่างชัดเจน ซึ่งได้ผลอีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาริษยา
“ท่านแม่สอนข้ามาดีเจ้าค่ะ แต่ก็สงสัยเช่นกัน แม่รองสอนพี่หญิงใหญ่มาดี แต่เหตุใดถึงได้ทำตนเยี่ยงนางร้ายตลาดล่างเช่นนี้!” จางอวิ๋นซีกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ คนสมัยโบราณแบบนี้ไม่มีทางรู้จักคำว่าตลาดล่างหรอก
“เจ้า!” จางเซียวหรูกัดฟันกล่าว
จางเยี่ยนตวาดใส่บุตรสาวคนรอง “เจ้า เหตุใดมารดาเจ้าจึงสั่งสอนให้มีกิริยาต่ำเช่นนี้!”
จางฮูหยินปรามบุตรสาว “ซีเอ๋อร์ ขออภัยต่อท่านพ่อเจ้าเถิด”
“ไม่เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าไม่ใช่คนเดิมที่จะยอมอ่อนให้คนพวกนี้ คนพวกนี้เคยทำร้ายเราเอาไว้อย่างไร เหตุใดข้าต้องอดทนอีก” จางอวิ๋นซีสะบัดมือออกจากมารดา
ส่วนจางเยี่ยนนั้นหากไม่เห็นว่านางคือคนโปรดของไทเฮาเขาคงตบสั่งสอนนางไปแล้ว เนื่องด้วยงานวันพระราชสมภพของไทเฮาพระนางทรงเชิญจางอวิ๋นซีอย่างตั้งใจ หากนางมีบาดแผลที่ใบหน้าไทเฮาอาจสืบทราบและเขาจะเดือดร้อนได้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” จางอวิ๋นซีย่อกายคำนับก่อนจะเดินออกจากเรือนใหญ่ไปด้วยรอยยิ้มสะใจ รวมถึงไท่ฮูหยินและบ่าวรับใช้ที่ลอบยิ้มสะใจตามๆ กัน
จางเซียวหรูเดินตามจางอวิ๋นซีออกไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิทของนาง นางไม่ยอมเด็ดขาดที่จะให้จางอวิ๋นซีมาข่มนางได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” จางเซียวหรูตะโกนเสียงแหลมตามหลังจางอวิ๋นซี หลังจากที่พวกนางทั้งสองเดินออกมาห่างจากเรือนใหญ่พอสมควร จางอวิ๋นซีหยุดเดินพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจหันไปเผชิญหน้ากับพี่สาวต่างมารดา
หรูหรงได้ทีรีบฟ้อง “นางชอบรังแกท่านบ่อยๆ เจ้าค่ะคุณหนู”
จางเซียวหรูเดินเข้ามา นางมองปิ่นพระราชทานจากไทเฮาด้วยความริษยา
“เจ้าได้ปิ่นนี้มาได้อย่างไร? ไทเฮาทรงพระราชทานให้เจ้ารึ?” จางเซียวหรูถามด้วยความริษยา
จางอวิ๋นซีตอบกลับอย่างนุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนว่า “ผู้มีวาสนามักจะได้ของที่คู่ควร”
จางเซียวหรูยืนโกรธตัวสั่นเทิ้ม นางมองจางอวิ๋นซีที่เดินจากไปอย่างเจ็บใจ
สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ