หรูหรงหาซื้อขมิ้นชันมาจากตลาดสมุนไพรในเมืองได้เป็นจำนวนมาก แม้นางจะสงสัยว่าคุณหนูของตนเองต้องการนำขมิ้นชันมาทำสิ่งใด แต่ก็มิกล้าเอ่ยถามออกไปด้วยเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องของตนที่ควรรู้
จางอวิ๋นซีรับห่อขมิ้นชันที่ยังเป็นแท่งมิได้หั่นออกเป็นแว่นหรือบดเป็นผงจากหรูหรง แม้ว่านางจะเป็นหมอสาวที่ใช้วิทยาการตะวันตกมาช่วยรักษาคน แต่เรื่องสมุนไพรนั้นเธอก็รู้มากอยู่มิใช่น้อย ทั้งสรรพคุณข้อดีและข้อเสียของสมุนไพรแต่ละชนิด นางล้วนศึกษามาอย่างละเอียดยิบจนจำได้ขึ้นใจ
สาเหตุที่นางให้หรูหรงหาซื้อขมิ้นชันมานี้ เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณช่วยบำรุงและรักษาเชื้อดื้อยาของผู้ที่เป็นวัณโรคปอดและวัณโรคร้ายแรงชนิดต่างๆ แต่ทว่าการใช้สมุนไพรในการแพทย์สมัยใหม่นั้นเป็นเพียงการบรรเทาอาการเท่านั้น หากจางฮูหยินได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โอกาสหายจากวัณโรคปอดนั้นย่อมมีมากนัก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าขมิ้นชันนี้ของดีนัก” จางอวิ๋นซีวางขมิ้นชันตรงหน้าหรูหรงพลางยิ้มกว้าง
หรูหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “อย่างไรหรือเจ้าคะ”
จางอวิ๋นซีเลี่ยงที่จะพูดถึงยุคปัจจุบันของนาง หญิงสาวกล่าวเพียงแค่สิ่งที่
กล่าวได้เท่านั้น
“ขมิ้นชันสามารถช่วยบรรเทาอาการดื้อยาของท่านแม่ได้”
หรูหรงนางไม่เข้าใจความหมายของคำว่าดื้อยานัก สังเกตได้จากคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมราวกับคนมีคำถามในใจ จางอวิ๋นซีจึงไขข้อข้องใจให้กับอีกฝ่าย
“อาการดื้อยาก็คือ การที่ยาตัวนั้นไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้วยังไงล่ะ ก็เลยจำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรตัวใหม่เพื่อลดอาการดื้อยา ซึ่งขมิ้นชันนี้ได้ผลดีนัก” จางอวิ๋นซียิ้ม
สีหน้าของหรูหรงราวกับร้อง ‘อ๋อ’ ทันที
“แล้วคุณหนูจะเอาให้ฮูหยินกินหรือเจ้าคะ”
จางอวิ๋นซียิ้มรับแทนการตอบหรูหรง “เดี๋ยวไปถึงบ้านแล้วเจ้าก็เอาขมิ้นชันนี้บดเป็นผงนะ ปั้นเป็นลูกกลอนให้ท่านแม่ข้า”
“แต่ว่าเหลือเพลาไม่มากแล้วนะเจ้าคะคุณหนู อีกไม่กี่ชั่วยามคุณหนูก็จะต้องไปร่วมงานล่องเรือชมบงกช ในวันพระราชสมภพของไทเฮา” หรูหรงเตือนขึ้นมา
“งานอะไรหรือ?” จางอวิ๋นซีนางไม่ยักจะจำได้ หรืออาจจะเป็นเพราะตอนที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ ความทรงจำเดิมก็หลุดหายไปกับเจ้าของร่างเดิมที่เธอสิงอยู่
หรูหรงอยากจะเอามือเขกศีรษะตนเองสักร้อยทีนัก
“เมื่อไม่กี่วันก่อนที่คุณหนูจะหายออกไปจากจวน ไทเฮาทรงส่งจดหมายมาเชิญคุณหนูและฮูหยินใหญ่กับทุกคนไปร่วมงานล่องเรือชมบงกชนะเจ้าคะ ข้าได้ยินข่าวลือหนาหูมาว่าฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกพระชายาให้กับองค์ชายแต่ละองค์ด้วยเจ้าค่ะ”
“คัดเลือกพระชายา?” จางอวิ๋นซีถาม
หรูหรงยิ้มน้อยๆ “คุณหนูเองก็ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายาเหมือนกันนะเจ้าคะ น่าจะเป็นท่านอ๋องไท่หยางแน่ๆ”
“เจ้าผู้ชายหน้าตายนั่นน่ะหรือ?!” จางอวิ๋นซีถามเสียงดัง นางเอามือกุมขมับ สุดท้ายแล้วเรื่องการคิดจับคลุมถุงชนก็ยังมีมาทุกยุคทุกสมัยจริงๆ
แต่ทว่าจางอวิ๋นซียังพอจะเข้าใจเรื่องขนบธรรมเนียมการแต่งงานกับบุตรสาวขุนนาง เพื่อรักษาฐานอำนาจและสืบทอดอำนาจทางราชวงศ์ให้มั่นคง แต่มีสิ่งเดียวที่นางไม่เข้าใจคือเหตุใดต้องเจาะจงถึงนางโดยเฉพาะ
หรูหรงมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย นางกลัวว่าจะมีคนของทางวังหลวงมาได้ยินและติฉินนินทาคุณหนูของนางได้ “คุณหนูอย่าเอ็ดดังไปสิเจ้าคะ หน้าต่างมีหูประตูมีช่องเจ้าค่ะ”
จางอวิ๋นซีปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ
“เจ้าอ๋องหน้าตายนั่นน่ะหรือที่เจ้าบอกว่าฮองเฮาหมายตาให้ข้า”
“ประมาณนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูเป็นที่โปรดปรานของไทเฮากับฮองเฮามาก และก็อาจเป็นอีกประเด็นที่ฮูหยินรองกับคุณหนูใหญ่ชอบรังแกคุณหนู” หรูหรงพูด
“เจ้านี่ก็รู้เยอะเหมือนกันเนอะ” หรูหรงยิ้มแหยๆ กับคำกล่าวกึ่ง
ประชดของผู้เป็นนาย
“ก็นิดหน่อยเจ้าค่ะ เมื่อก่อนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูบ่าวจะเป็นคนช่วยจัดการทั้งหมด แต่ตอนนี้คุณหนูฟื้นมาดูแลตัวเองได้ บ่าวก็ดีใจนักเจ้าค่ะ” หรูหรงยิ้มพลางจับมือของจางอวิ๋นซีอย่างออดอ้อน หลังจากนั้นพวกนางทั้งสองจึงออกจากโรงน้ำชากลับจวนสกุลจาง
ตำหนักคุนหนิง
หานไท่หยางเดินทางกลับมาถึงพระราชวังในยามบ่ายคล้อย เฉินหรงทำหน้าที่นำอาชาคู่ใจไปพักที่โรงม้าหลวง ส่วนตนเองนั้นเดินทางมาเข้าเฝ้าพระราชมารดาที่ตำหนักพระราชฐานฝ่ายใน ซึ่งมีตำหนักคุนหนิงเป็นตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในเขตวังหลัง
หลิวฮองเฮากำลังปักอาภรณ์ลายประณีตงดงาม พระนางทรงตั้งใจจะพระราชทานอาภรณ์นี้ให้เป็นของขวัญหากหานไท่หยางได้อภิเษกจางอวิ๋นซีมาเป็นพระชายาเอก
“เสด็จแม่...” หานไท่หยางกล่าวเรียกพระมารดาด้วยความดีใจ นานนับเกือบปีแล้วที่เขาไม่ได้พบพระมารดา มีเพียงแค่ผ้าเช็ดหน้าที่พระมารดาเย็บปักให้เท่านั้นที่เป็นสิ่งของแสดงแทนความคิดถึงและความห่วงใย ชายหนุ่มสวมกอดผู้เป็นมารดาแน่น ราวกับต้องการซึมซับไออุ่นจากอ้อมกอดพระมารดาที่เขาโหยหามานาน
เขาจากบ้านเมือง จากพระมารดาไปนานนับปี ความคิดถึงที่เฝ้าสั่งสมมาจึงถูกระบายพร้อมกับอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้
หลิวฮองเฮาคลายอ้อมกอดเบาๆ พระนางทรงมองพระโอรสองค์เดียวด้วยสายตาแห่งความคิดถึงห่วงหา
“อยู่ที่ซ่างจิ่ง เจ้าสบายดีหรือไม่”
น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาสั่นเครือยามได้สัมผัสบุตรชายอีกครั้ง ฝ่ามืออันสั่นเทาของพระนางลูบพระพักตร์ผู้เป็นโอรสอย่างรักใคร่ถนอม
“กระหม่อมสบายดีพะยะค่ะ แล้วเสด็จย่ากับเสด็จแม่เล่าพะยะค่ะ ทรงเป็นอย่างไรบ้าง” หานไท่หยางถามถึงไทเฮาผู้เป็นพระอัยยิกาแท้ๆ ของตน
หลิวฮองเฮาคลี่ยิ้ม “เสด็จย่าของเจ้าทรงสบายดี แล้วเจ้าเล่าได้เจอกับจางอวิ๋นซีแล้วหรือไม่”
หานไท่หยางยิ้มอ่อนๆ ตอบ หลิวฮองเฮาทรงรู้ดีว่าบุตรชายของพระนางนั้นยากแท้ที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชานี้ กลับมีสิ่งปกปิดที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้มากมาย แม้กระทั่งมารดาอย่างพระนางก็ไม่อาจเข้าถึงความคิดภายในใจของบุตรชายได้
“เอาล่ะ แม่จะไม่ถามเจ้า แต่เจ้านั้นทราบหรือยังจุดประสงค์การจัดงานล่องเรือชมบงกชครั้งนี้” หลิวฮองเฮาทรงถามหยั่งเชิง
อันที่จริงการจัดงานล่องเรือชมบงกชยามค่ำคืนนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการคัดเลือกพระชายาให้องค์ชายแต่ละองค์ของไทเฮาเท่านั้น พระนางทรงเลือกจัดงานนี้ตรงกับวันพระราชสมภพพอดี เพื่อประกาศข่าวดีนี้ให้กับเหล่าขุนนางและประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน อีกทั้งสกุลจางกับฮองเฮานั้นก็มีความสัมพันธ์อันดีฉันญาติมิตรกันมาเนิ่นนาน น้องสาวของพระนางเองก็แต่งงานเป็นฮูหยินเอกของจางเยี่ยน การที่บุตรของทั้งสองจะสมรสกันนั้นย่อมเป็นเรื่องที่สมควร
ฮองเฮากับจางฮูหยินนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทสนมกันพอสมควร เมื่อต่างฝ่ายต่างออกเรือนไป พระนางจึงทรงหมายมั่นพระทัยอยากให้ธิดาของจางฮูหยินเป็นพระชายาเอกของบุตรชาย และหากภายภาคหน้าบุตรชายได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท หลานสาวผู้นี้ก็จะมีศักดิ์เป็นฮองเฮา!
“เสด็จย่าคงหมายพระทัยคัดเลือกคู่ครองให้ลูกกับบรรดาพี่น้องทุกคน” หานไท่หยางตอบ
หลิวฮองเฮาเลียบๆ เคียงๆ ถาม “แล้วเจ้าคิดว่าจางอวิ๋นซีนั้นเป็นอย่างไร”
คำถามของพระมารดาพาลให้หานไท่หยางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในตลาดของพ่อค้าต่างชาติ ภาพที่จางอวิ๋นซีกำลังยืนโต้ตอบกับพ่อค้าชาวเปอร์เซียกลุ่มนั้น ทำให้หานไท่หยางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จางอวิ๋นซีปกติเป็นสตรีที่สงบปากสงบคำ พูดน้อยกิริยาวาจาสำรวม อีกทั้งใบหน้าที่ดูเศร้าหม่นตลอดเวลา แต่เพลานี้นางที่เขาเจอเป็นสตรีที่มีทุกอย่างตรงกันข้ามสิ้นเชิง
นางทั้งปากไว โต้เถียงกับพ่อค้าเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว!
ความเป็นกุลสตรีหาได้มีในตัวนางสักนิด!
พฤติกรรมที่นางแสดงออกมานั้นไม่เหมือนสตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรมเลยสักนิดเดียว หากเขาได้นางมาเป็นชายาคงมีเรื่องปวดหัวให้ไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่
หานไท่หยางเลี่ยงที่จะตอบมารดา
“ลูกขอตัวไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าก่อนพะยะค่ะ”
ชายหนุ่มไม่ต้องการจะอยู่สนทนาต่อ เนื่องด้วยตนเองกลัวว่าจะหลุดวาจากล่าวร้ายต่อสตรีที่พระมารดาทรงโปรดปราน เขาไปทำศึกรบที่ตำบลซ่างจิ่งทางแดนเหนือมาเกือบหนึ่งปี แต่ไม่คาดคิดนักว่าภายในเวลาหนึ่งปีนี้จางอวิ๋นซีจะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ นางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนที่เขาไม่คุ้นเคย
หลิวฮองเฮาทรงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ นานมากแล้วแต่หานไท่หยางก็ยังคงเมินเฉยต่อบิดาของตนเอง หวังกูกูจึงประคองร่างของพระนางลงบนเก้าอี้ลายหินอ่อนหน้าพระตำหนัก นางเป็นกูกูที่คอยถวายการรับใช้มานาน จึงย่อมเข้าใจ
ทุกความคิดของหลิวฮองเฮาดี
“หากองค์ชายทรงเมินเฉยต่อฝ่าบาทเช่นนี้ จะเป็นการดีหรือเพคะฮองเฮา หากอ๋องใหญ่โอรสหยางเต๋อเฟยได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แล้วท่านอ๋องไท่หยางเล่าเพคะ” สิ่งที่หวังกูกูกล่าวมาทั้งหมด หลิวฮองเฮาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกล่าวด้วยความเป็นห่วง หวังกูกูรับใช้ฮองเฮามานานนับตั้งแต่หลิวฮองเฮายังเป็นธิดาเจ้ากรมกลาโหมหลิวฉาง จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทและฮองเฮาตามลำดับ
ระหว่างทางที่หานไท่หยางกำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าหานไทเฮาผู้เป็นเสด็จย่านั้น อ๋องหนุ่มก็ต้องเจอกับบุคคลที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดในเพลานี้ถึงสองคน คืออ๋องใหญ่และฮ่องเต้ซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด ท่าทีสนิทสนมของทั้งสองพ่อลูกนั้น หานไท่หยางรู้สึกเจ็บแปลบในอกเป็นอย่างยิ่ง
หานอี้หรืออ๋องใหญ่เป็นโอรสพระองค์ใหญ่ของฮ่องเต้ที่ประสูติจากหยางเต๋อเฟย กำลังเดินประคองหานฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดากลับจากตำหนักของหานไทเฮา หานไท่หยางคาดเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองคงมาถวายพระพรล่วงหน้าก่อนเพลาจัดงานล่องเรือชมบงกช
“นั้นอาหยางพะยะค่ะเสด็จพ่อ” หานอี้เห็นไท่หยางคนแรกจึงกล่าวกับบิดาของตนเอง เขาส่งรอยยิ้มทักทายผู้เป็นน้องชายอย่างมีไมตรี แต่กลับได้รับสีหน้าเรียบเฉยราวกับคนหยิ่งยโสจากหานไท่หยางมาแทน
“ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเกษมสำราญดีหรือไม่” หานไท่หยางคำนับอีกฝ่ายตามธรรมเนียม เขาไม่สนิทใจนักที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จพ่อได้เต็มปากเหมือนกับหานอี้
ฮ่องเต้หานทรงตอบรับเล็กน้อย “ข้าสบายดี แล้ว...”
“กระหม่อมขอตัวก่อนพะยะค่ะ” หานไท่หยางไม่อยากเสียเวลาอยู่สนทนาต่อ อ๋องหนุ่มเดินไปยังตำหนักของหานไทเฮา หากเขาได้อยู่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับบิดาเกรงว่าเขาอาจจะอยากอาเจียนออกมาก็ได้
เรื่องราวแต่หนหลัง ความขัดแย้งระหว่างบิดากับบุตรจะมีผู้ใดเข้าใจ
ดีกว่าหานไท่หยางและฮ่องเต้หานผู้เป็นบิดา
“น้องรอง เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายกับเสด็จพ่อนัก เสด็จพ่อทรงรอเจ้ากลับมา แต่เจ้ากลับทำแบบนี้เช่นนั้นรึ?!” เป็นอ๋องอี้ที่ไม่พอใจกับท่าทีปฏิบัติต่อบิดาของหานไท่หยาง
หานไท่หยางหยุดเดิน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปตอบหานอี้ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา โดยมิได้หันมามองแววตาของผู้เป็นบิดาที่มีแต่ความเสียใจ
“เจ้าควรดีใจมากกว่า ที่ได้เป็นลูกชายคนโปรดของเขา” หานไท่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่เป็นน้ำเสียงประชดประชันที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจบิดายิ่งนัก
ใครจะรู้ว่าเขานั้นถูกบิดาทอดทิ้งตั้งแต่ยังเด็ก ทอดทิ้งให้อยู่ห่างจากอกมารดานานนับสิบปี ครั้นเมื่อได้กลับมาเมืองหลวงก็ยังหาเหตุไล่เขาออกไปอยู่แดนไกลเกือบหนึ่งปีเต็ม หากเขามิใช้ความรู้ความสามารถที่มีเอาตัวรอดมาได้ เกรงว่าทั้งกองทัพทั้งหมดก็คงต้องพ่ายแพ้ต่อศัตรูและไม่อาจกลับมาแผ่นดินบ้านเกิด ไม่อาจกลับมาพบเสด็จย่าและเสด็จแม่ของเขาได้อีก
เสด็จพ่อของเขารักมั่นต่อหยางเต๋อเฟยพระมารดาของอ๋องใหญ่มากนัก ความรักทั้งหมดถูกทุ่มเทที่หานอี้มากกว่าบุตรธิดาองค์อื่น หากเขาไม่โชคดีเกิดเป็นว่าที่โอรสสวรรค์ เขาคงถูกกำจัดตั้งแต่ยังเยาว์วัยก็ได้
ภายในแววตาของฮ่องเต้หานเพลานี้ ปรากฏแต่ความผิดหวังระคนเสียใจ เขาอยากอธิบายและขอโทษต่อบุตรชายสำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น หากยังสามารถแก้ไขและบุตรชายยอมรับฟังเขาสักนิด
“เสด็จพ่อ” หานอี้ประคองผู้เป็นบิดาที่เกือบทรุดลงกับพื้นหญ้า
“ไม่ต้อง” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ปรามหานอี้ ทรงประคองพระองค์เองให้ก้าวเดินกลับพระตำหนักใหญ่ ภายในใจมีเป็นล้านคำมากมายที่อยากอธิบายต่อหานไท่หยาง แต่สำหรับหานไท่หยางแล้ว เขามีทิฐิในใจสูงเป็นอย่างยิ่ง ความหยิ่งทะนงในตนเองทำให้อีกฝ่ายยากที่จะเปิดใจรับฟังผู้ใด ความขัดแย้งนี้จึงสั่งสมมาเนิ่นนานจนยากจะหาทางแก้
“น้องรองเพิ่งกลับมาจากศึกที่ชายแดน ขอเสด็จพ่อทรงให้เวลาเขาสัก
หน่อยเถิดพะยะค่ะ” หานอี้พยายามปลอบใจผู้เป็นบิดาให้คลายความเศร้าระหว่างทางพากลับตำหนักใหญ่
“ข้าเกรงว่า หากอาหยางแต่งพระชายา ชีวิตจะไม่ยืนยาวนัก
หากยังถือทิฐิในใจตนเช่นนี้” เมื่อได้ยินฮ่องเต้ผู้เป็นบิดากล่าวเช่นนี้ ในใจของหานอี้ยิ่งรู้สึกผิดต่อตนเองและหานไท่หยางนัก
“ข้าเชื่อว่าอาหยางมีเหตุผลมากพอ สักวันเขาจะต้องเข้าใจเสด็จพ่อพะยะค่ะ” หานอี้ตอบ สายตาของอ๋องใหญ่ผู้เป็นโอรสองค์โตนั้นหันกลับไปมองทิศทางที่หานไท่หยางเดินไป
เมื่อใดกันหนอที่ความขัดแย้งภายในครอบครัวนี้จะสิ้นสุดเสียที
“ลูกงดงามหรือยังเจ้าคะท่านแม่...” จางเซียวหรูหมุนตัวให้มารดาชื่นชม หลังจากที่นางได้ซื้อเสื้อตัวใหม่จากร้านตัดเสื้อที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
“งดงามมาก ลูกแม่จะต้องงดงามกว่าใคร ให้เป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องทุกองค์” หลี่ฮูหยินลูบศีรษะบุตรสาวอย่างอ่อนโยน นางหมายมั่นจะให้บุตรสาวงดงามที่สุดในงานวันพระราชสมภพของไทเฮา ที่มีการจัดดอกบัวเรืองแสงงดงามในสระหลวงของวัง เป็นงานชมบงกชยามค่ำคืนที่เป็นประเพณีประจำปีของแคว้นหาน ในทุกๆ วันพระราชสมภพของหานไทเฮา
“แต่ว่าก็ไม่อาจงดงามสู้ชุดพระราชทานของไทเฮาที่มอบให้จางอวิ๋นซีได้” จางเซียวหรูกระแทกตนนั่งบนตั่งด้วยความริษยา ชุดที่จางอวิ๋นซีสวมใส่ในวันนี้ เป็นถึงชุดพระราชทานจากไทเฮาถูกตัดเย็บโดยช่วงหลวงฝีมือประณีตของวังหลวง ทุกอณูเนื้อผ้านั้นล้วนทำจากผ้าไหมอย่างดีของพ่อค้าชาวอินเดียผู้เลื่องชื่อ
“เมื่อกลางวันแม่ได้ยินมาล่ะ ว่านางน่ะก่อวีรกรรมโต้เถียงกับพวกฝรั่งแขนลายที่ตลาดต่างชาติ ต่อให้นางจะใส่ชุดงดงามของไทเฮา แต่ถ้าหากเทียบกับกิริยาอันงดงามแล้ว นางเทียบลูกแม่ไม่ได้เลยสักนิด” หลี่ฮูหยินกล่าวชื่นชมบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ
“นั่นสิเจ้าคะ...” จางเซียวหรูกระหยิ่มยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นางมั่นใจนักว่านางจะต้องงดงามสะดุดตาท่านอ๋องใหญ่หานอี้อย่างแน่นอน
หานอี้เป็นโอรสที่เกิดจากสนมเอกก็จริงอยู่ แต่ทว่าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากนัก มากกว่าหานไท่หยางผู้เป็นโอรสที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาเสียอีก หากนางสามารถชนะใจหานอี้และอีกฝ่ายได้รับตำแหน่งรัชทายาท นางก็จะกลายเป็นพระชายาเอกองค์รัชทายาท และหากหานอี้ได้เป็นฮ่องเต้ นางก็จะกลายเป็นฮองเฮาแคว้นหาน!
สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ