“เฮ้อ แล้วจะให้ข้านำมันไปให้ใครกันล่ะ” เจย์เดนถอนหายใจอย่างยาวเหยียด พร้อมกับจ้องมองดอกกุหลาบที่อยูในฝาแก้วครอบ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเอ่ยว่า คู่ครองหาเมื่อไหร่ก็เหมือนกันหมด แต่เขาก็หวังอยากจะหาให้ได้ในเร็ววันนั่นแหละ...บอกตามตรง แวมไพร์เช่นเขาก็เหงาเป็นเหมือนกันนะ
ผู้ติดตามคนสนิทที่ยืนฟังอยู่จึงเสนอความคิดขึ้นว่า “เช่นนั้น ท่านชายลองนำไปให้คนที่ท่านหมายปองดูก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่มีผู้ใดที่ข้าหมายปองเป็นพิเศษหรอก”
“คุณหนูเฟย์อย่างไรขอรับ” ผู้ติดตามอย่างเขาเห็นว่าท่านชายสนิทสนมกับเธอเป็นพิเศษ จึงคิดว่าบางทีพวกเขาอาจมีบางสิ่งที่เข้ากันได้
“นี่เจ้าต้องล้อข้าเล่นแน่เลย นางเป็นเพียงสหายของข้า”
คุณหนูเฟย์ คือลูกสาวตระกูลแวมไพร์ที่ตระกูลแบรดฟอร์ดของเขาร่วมค้าธุรกิจด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่เขาและเธอสนิทกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่หากมองลึกลงไปในความสัมพันธ์นั้น ไม่มีความพิสวาทเลยแม้แต่น้อย
“หรือจะเป็นคุณหนูอลิเซียเล่าขอรับ” ชาร์ลยังคงเสนอรายชื่อหญิงสาวที่ดูเหมาะสมกับเจ้านายของตนอย่างไม่หยุดยั้ง
“เจ้าอย่าพูดชื่อคนที่น่ากลัวเช่นนั้นออกมาเชียว”
สาเหตุที่เจย์เดนกล่าวเช่นนั้น เป็นเพราะคุณหนูอลิเซียที่เขาพูดถึงกันอยู่นั้นคลั่งไคล้เขามากจนเข้ากระดูกดำเลยก็ว่าได้
ยอมรับว่าในตอนแรกเขาแอบสนใจเพราะเธอช่างงดงามเกินบรรยาย แต่เมื่อได้รู้จักนิสัยแล้ว เขากลับค้นพบว่าเธอค่อนข้างจิตไปหน่อย ซ้ำยังเป็นคุณหนูจอมเอาแต่ใจอีกต่างหาก จนบางทีเขาเองก็แอบหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
‘หากเจ้าเป็นของข้าแล้ว ข้าจะตอกฝาโลงไม่ให้เจ้าได้พบหน้าหญิงสาวคนไหนอีก...’ ประโยคนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเจย์เดนราวกับฝันร้าย นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็พยายามตีตัวออกห่างจากเธอโดยเด็ดขาด! ถึงแม้เธอจะยังโผล่มาหาเขาเป็นบางช่วงบางตอนก็ตาม
“ข้าจะลองไปปรึกษาเฟย์ดูแล้วกัน ว่านางมีสหายพอจะแนะนำให้ข้าได้หรือไม่” นั่งสุมหัวคิดกันอยู่ไม่นาน เจย์เดนก็ตัดสินใจเช่นนั้นขึ้น
และหากเป็นสหายของคุณหนูเฟย์ คงหนีไม่พ้นพวกสาว ๆ จากตระกูลชนชั้นสูงอย่างแน่นอน หากได้แต่งกับคนประเภทนั้น ธุรกิจของตระกูลคงก้าวหน้าขึ้นอีกหลายเท่าตัวเป็นแน่ ถึงแม้จะไม่มีอะไรให้ขยายมากไปกว่านี้แล้วก็ตาม
เจย์เดนคิดเช่นนั้น เพราะในเมื่อโหยหาความรักบริสุทธิ์จากใจจริงกับใครไม่ได้สักคน อีกทั้งบนโลกใบนี้ก็มีแต่พวกหวังผลประโยชน์อยู่แล้ว หากเขาจะมีคู่ครองที่ได้ผลประโยชน์ไปด้วยก็ไม่เสียหายนี่นา
“ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะนัดหมายคุณหนูเฟย์ให้นะขอรับ”
จากนั้นแวมไพร์หนุ่มก็เริ่มออกทำภารกิจตามหารักของตน แต่จนแล้วจนรอด หญิงสาวที่ คุณหนูเฟย์ สหายของตนเสนอชื่อขึ้นมาให้นั้นกลับไม่ถูกใจเขาเลยสักนิด
“ที่ข้ารู้จักก็มีเท่านี้แหละเจย์เดน เจ้าต้องเลือกสักคน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีตัวเลือกให้เจ้าแล้ว...” สาวสวยนั่งกอดอกมองคนตรงหน้า ก่อนจะเริ่มส่ายศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คงต้องรอไปอีกสักพักแล้วค่อยหา...หรือเจ้าจะรับมันไว้เองเล่า” เจย์เดนเพียงเย้าแหย่เท่านั้น รู้ดีว่าอย่างไรเธอก็ไม่ยอมรับกุหลาบจากเขาอยู่แล้ว
เฟย์ได้ยินแบบนั้นก็แค่นหัวเราะออกมา รู้ว่าคนตรงหน้าพูดเล่น แต่ก็อดจะย้ำถึงความสัมพันธืของตัวเองกับแวมไพร์หนุ่มซึ่งเป็นสหายคนสนิทของเขาอีกคนไม่ได้
“เจ้าอยากมีปัญหากับไนเจลหรือไง”
ไนเจลและเฟย์เป็นสหายสนิทของเจย์เดนมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เรียกได้ว่าทั้งสามคนเป็นเพื่อนวิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก บอกตามตรง เมื่อเจย์เดนทราบว่าทั้งสองมีใจให้กันในตอนแรกเขาก็แอบเหลือเชื่อนิดหน่อย
“ก็ต้องรอ...” เจย์เดนยักไหล่ แต่ถึงอย่างนั้นมือหนก็ยังพยายามควานหากุหลาบดอกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มันควรจะอยู่ในกระเป๋าที่เขานำติดตัวมาด้วยสิ!
เมื่อควานหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เจย์เดนจึงรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยความแตกตื่น
“อะไร?” เฟย์รีบยืนขึ้นตามด้วยท่าทางตกใจไม่แพ้กัน
“มันหายไป...กุหลาบดอกนั้น...”
“ของสำคัญเจ้ายังกล้าทำหายอีกเหรอเจย์เดน”
“มันใช่เวลามาบ่นข้าหรือ เจ้าช่วยข้าหาก่อนเถอะ”
กล่าวจบ แวมไพร์ทั้งสามตน เจย์เดน เฟย์ รวมถึงผู้ติดตามคนสนิทอย่าง ชาร์ล ก็ช่วยกันออกตามหากุหลาบดอกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่ด้วยความที่มันเป็นกุหลาบซึ่งบรรจุพลังของเขา จึงไม่ได้ยากต่อการตามหามากนัก เจย์เดนพินิจถึงกุหลาบดอกนั้นก่อนจะตามรอยพลังของมันไป และอีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็จะคว้ามันกลับมาได้แล้วแท้ ๆ แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเข้าถึงกุหลาบดอกนั้นก่อนตัวเอง
เมื่อเห็นดังนั้น เจย์เดนจึงรีบหลบไปยืนมองการกระทำของเธออยู่ ณ มุมหนึ่งของตรอกซอกซอยนั้นโดยปราศจากการรู้ตัวจากหญิงสาวผู้นั้น
“ท่านชาย คุณหนูเฟย์บอกว่าหาไม่เจอขอรับ”
“บอกนางว่าข้าเจอแล้ว...และดูเหมือนจะเจอว่าที่ชายาของข้าแล้วด้วย...”
.
.
.
"ใครเอาแกมาทิ้งกันนะ..." ลินินพึมพำเสียงแผ่ว ขณะที่หยิบจับกุหลาบดอกนั้นขึ้นมาพิจารณา และไม่ลังเลที่จะนำมันเก็บใส่กระเป๋าเพื่อนำกลับไปที่บ้าน
“กุหลาบนั่นเลือกนางอย่างนั้นหรือ? เหตุใดนางจึงนำมันไปได้ง่ายเช่นนั้น” เจย์เดนขมวดคิ้วก่อนจะแอบตามเธอต่อไปพร้อมกับผู้ติดตามของตน "ข้าไม่ได้เลือกนางสักหน่อย" คำพูดดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่สายตาก็จับจ้องเธออย่างไม่วางตา
"นางถือครองเป็นที่เรียบร้อย ท่านชายอาจต้องรอดูปฏิกิริยาของกุหลาบขอรับ ว่าส่งพลังงานถึงนางหรือเปล่า" ชาร์ลแนะนำ
ภายในห้องนอน ลินินวางกุหลาบลงบนโต๊ะก่อนจะเดินไปหยิบแจกันที่ว่างเปล่าในห้องนั่งเล่นมารินน้ำพร้อมนำกุหลาบดอกนั้นใส่ลงไปอย่างปราณีต เพื่อให้มันได้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง สายตาของเธอฉายแววความสงสัยขณะที่จ้องมองมันก่อนจะเผยรอยยิ้มสุขใจออกมานิดหน่อย “แกคงเป็นของหายากสินะ ฉันได้เจอแกคืนนี้คงนำโชคมาให้ใช่หรือเปล่า?”
"นางชื่ออะไร?" เจย์เดนเอ่ยถามผู้ติดตามที่ยืนอยู่เคียงข้าง ขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้นั้น ท่ามกลางความมืด เธอหยุดมองดอกกุหลาบสีดำบนพื้นอย่างชั่วครู่ ใบหน้าแสดงความสงสัยปนความสนใจ ราวกับว่าเธอมองเห็นความพิเศษบางอย่างในกุหลาบนั้น
"ลินินขอรับ..." ผู้ติดตามของเขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย เขามองตามสายตาของเจย์เดนที่กำลังจับจ้องไปยังลินินอย่างไม่วางตา
โดยปกติแล้วผู้หญิงจะชอบกุหลาบสีแดง เพิ่งเคยเห็นคนที่ประทับใจดอกกุหลาบสีดำเช่นนี้เป็นครั้งแรก บอกตามตรงว่าสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงดูด อาจเป็นเพราะความไม่เหมือนใครในตัวของเธอ
“ใช่นางจริง ๆใช่ไหม?” เป็นคำถามที่เจย์เดนไม่ต้องการคำตอบในตอนนี้ เพียงแค่ต้องรอให้ถึงเวลาเท่านั้น...
“ต้องรอดูต่อไปขอรับ..."
“น่าเสียดายนัก...ข้าคิดว่าจะเป็นผู้หญิงที่เร้าใจข้าได้มากกว่านี้ เหตุใดนางจึงดูจืดชืดยิ่งนัก”
“...ข้าว่างดงามมากนะขอรับ” ผู้ติดตามคนสนิทเอ่ยขึ้นหลังจากเหลือบมองหญิงสาวผู้เก็บดอกกุหลาบสำคัญของผู้เป็นนายอย่างพินิจ แล้วตอบกลับออกมาด้วยความซื่อตรง และหากท่านชายของเขาไม่ต้องการให้เธอผู้นี้เก็บกุหลาบดอกนั้นจริง ก็สามารถเข้าไปขวางก่อนที่เธอจะทันเก็บได้อยู่แล้ว แต่ท่านชายกลับยืนนิ่งและเลือกที่จะเดินหลบไปเอง
จากการพินิจของ ชาร์ล แล้ว เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้าช่างงดงามยิ่งนัก ถึงแม้การแต่งกายจะเรียบง่ายและแสนจืดชืดดั่งที่ท่านชายของเขาว่า...แต่ทั้งดวงหน้าที่ขาวผุดผ่องให้ความรู้สึกสวยหวานเป็นยิ่งนัก ทั้งริมฝีปากบางอมชมพูของนางยิ่งมองกลับยิ่งชวนเคลิ้ม
ยิ่งไปกว่านั้น เขาซึ่งเป็นถึงผู้ติดตามคนสนิทของท่านชาย มีหรือจะดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วท่านชายเพียงแค่ปากหนักไปเช่นนั้นแหละ อันที่จริงแล้วก็พอจะมองออกว่าเขาคงถูกใจเธออยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้น คงไม่มานั่งเฝ้าหญิงสาวผู้นี้ทุกวันสามเวลาหรอก
ใช่แล้ว...เขาเฝ้ามองดูเธอตั้งแต่วันแรกที่เก็บกุหลาบดอกนั้นไป จนกระทั่งตอนนี้ เวลาล่วงเลยมานับสัปดาห์ เขาก็ยังทำเช่นนั้นอย่างสม่ำเสมอ
หลายวันผ่านไป กุหลาบสีดำนั้นยังคงสวยงามเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะเหี่ยวเฉาลงเลยสักนิด ลินินรู้สึกประหลาดใจ ทว่าในใจลึก ๆ กลับหวังว่ากุหลาบดอกนี้อาจนำโชคมาให้เธอ
“ชีวิตฉันจะมีโชคหล่นทับกับเขาบ้างหรือเปล่านะ” ลินินพูดกับดอกกุหลาบที่ยังอยู่ในแจกัน ก่อนจะนึกย้อนไปถึงชีวิตอันแสนรันทดของตัวเอง
เดิมทีครอบครัวของเธอมีฐานะปานกลาง แต่ด้วยความที่พ่อของเธอติดหนี้สินมหาศาล ความเป็นอยู่ของครอบครัวจึงเริ่มถดถอยลง ต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัวที่นับวันเริ่มจะร้าวฉานมากยิ่งขึ้น
หลังจากพ่อของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนน เธอและแม่ต้องแบกรับภาระหนี้สินทั้งหมด ลินินจึงต้องเริ่มทำงานและส่งตัวเองเรียนหนังสือไปด้วย ถึงอย่างไรเธอก็อยากมีการศึกษาที่ดี เพื่อหวังจะได้งานดี ๆ ทำเช่นกัน
จนกระทั่งแม่ของเธอเริ่มป่วยหนักจากโรคที่ต้องการเงินรักษาอย่างมหาศาล ลินินจึงพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อจะหาเงินมารักษาแม่ให้ได้ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถรวบรวมเงินได้ทันเวลา ทำให้แม่ของเธอต้องจากไป
นับตั้งแต่นั้น เธอจึงกลายเป็นเด็กกำพร้า ไร้ที่พึ่งพิงและไม่มีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือ มีเพียงคุณยายเพื่อนบ้านที่คอยมาดูแลเธอเป็นระยะ นอกจากนี้ยังต้องคอยหลบหนีเจ้าหนี้ที่มาตามทวงเงินของพ่อไม่เว้นแต่ละวันอีกด้วย
ในช่วงแรกเธอก็หาเงินและจ่ายชำระคืนให้ครบรวมทั้งดอกและเงินต้น แต่แทนที่หนี้สินจะค่อย ๆ หมดลง กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน่าฉงน ตอนนี้ลินินจึงทำได้เพียงเลี่ยงการจ่ายไป
เพราะถึงแม้จะพยายามหาเงินมาจ่ายมากแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าชาตินี้จะไม่มีวันใช้หนี้ได้หมด
และวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวันที่เธอต้องมาทำงานหาเงินประทังชีพของตัวเอง อีกทั้ง ช่วงนี้ยังถือเป็นช่วงสำคัญของเธออีกต่างหาก เพราะเธอตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
ขณะเดียวกันบนหลังคาตึกสูงไม่ไกลนัก เจย์เดนยังคงยืนอยู่พร้อมกับผู้ติดตามของเขา ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเจย์เดนจะไม่ได้สนใจกุหลาบที่หญิงสาวเก็บไปแล้วล่ะ หากแต่สายตาของเขาทุกวันนี้กลับคอยจับจ้องเธอผู้นี้เพียงคนเดียว
แต่เมื่อเห็นสายตาของผู้ติดตามของตนกำลังจ้องมองอย่างจับผิด เขาก็รีบหาเรื่องบ่ายเบี่ยงทันที
"นี่ เจ้าดูสิ ข้าอยากได้คนนั้น...ที่เดินผ่านไปเมื่อครู่" เจย์เดนเอ่ยขึ้น ขณะชี้ไปที่หญิงสาวอีกคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น ซึ่งเดินข้ามถนนผ่านไปเมื่อครู่
ผู้ติดตามคนสนิทของเขาก็ได้แต่ปรายตามองด้วยความฉงนในความคิดของท่านชายตน ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างสุภาพ "ข้าว่าไม่เหมาะนำมาเป็นชายานะขอรับท่านชาย"
เมื่อได้ยินดังนั้น เจย์เดนจึงหัวเราะขึ้นก่อนจะเอ่ยปากแซวเล่นอย่างที่เคยเป็น "เจ้านี่... ถ้าหากเคร่งเช่นนั้น ทำไมไม่ไปคัดเลือกชายาข้าที่โรงแม่ชีกันเลยเล่า หากอยากได้คนแต่งตัวมิดชิดและเรียบร้อยราวผ้าพับไว้ขนาดนั้น" พูดไปเช่นนั้น อย่างไรเขาก็ทราบดีว่าไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว
ผู้ติดตามได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มขึ้นบาง ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยความใสซื่อ "พวกเราเข้าไม่ได้หนิขอรับท่านชาย"
“เฮ้อ...เอาเถอะ ข้าไม่ตำหนิที่เจ้าไม่เท่าทันมุกของข้าหรอก” ว่าพลางส่ายศีรษะหน่าย ๆ ก็ไม่แปลกที่ชาร์ลจะรับมุกไม่ค่อยทันนัก ก็ท่าทางใส่แว่นเนิร์ด ๆ ของเขามันก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาเป็นแวมไพร์ผู้คลั่งหลักการประหนึ่งหุ่นยนต์เดินได้ไม่มีผิด แต่หลังจากได้มาตามติดเจย์เดนก็ดูจะมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างเล็กน้อย…
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน