“วันนี้นางขายดอกไม้ได้เยอะนัก” เจย์เดนนั่งมองเธอที่กำลังทำงานพาร์ทไทม์อยู่อย่างขะมักขะเม้น “แต่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น” ว่าพลางขมวดคิ้วไปด้วย
“เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงอย่างไรขอรับ” ผู้ติดตามให้เหตุผล ก่อนที่ท่านชายของเขาจะขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ เพราะมันคงไม่เป็นผลดีต่อพวกมนุษย์เพศชายพวกนั้นแน่
“แต่ผู้ชายพวกนี้เขาซื้อดอกไม้ให้แฟนสาวหรือภรรยากันทุกวันเลยอย่างนั้นเหรอ?” เขาจับสังเกตและจำใบหน้าของลูกค้าประจำทุกคนได้ บางคนก็เข้ามาอุดหนุนทุกวัน บ้างก็วันเว้นวันจนน่าประหลาด
“เอ่อ...ก็คงรักภรรยามากน่ะขอรับ” ชาร์ลรีบแก้ต่าง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันถือเป็นการสอพลอเพื่อมิให้ท่านชายของเขาฉุนเฉียวจนเกินงาม
“เหอะ รักคนจัดช่อดอกไม้สิไม่ว่า...” เจย์เดนแค่นหัวเราะอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ก่อนจะหันไปเอ่ยสั่งชาร์ลเสียงเด็ดขาด “ข้าอยากให้เจ้าไปเหมาดอกไม้ร้านนั้นมา ก่อนที่มนุษย์พวกนั้นจะเข้ามาอีก”
ว่าที่ชายาของเขา มิควรได้มีชายใดมาเชยชมอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้สิ มันทำให้เขาหงุดหงิดอย่างไรไม่รู้
“เอ่อ...แต่...ดอกไม้เยอะมากเลยนะขอรับ ท่านชายจะเอาไปทำอะไรกัน”
“ข้าบอกให้ไปซื้อก็ไปซื้อมาเถอะ” เจย์เดนเหลือบมองชาร์ลเหมือนไม่ค่อยได้ดั่งใจนัก อีกฝ่ายก็ยืนงุนงงก่อนจะพยายามกลั่นกรอง
“อ๋อออออ...ได้เลยขอรับ” และแล้วในที่สุดผู้ติดตามของเขาที่เพิ่งเข้าใจความหมายของเจ้านายตัวเองก็รีบยกยิ้มแล้วไปจัดการตามคำสั่งในทันที
“เฮ้อ...เหนื่อยใจจริง ๆ” เจย์เดนบ่นตามหลังของชาร์ลที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ร้านดอกไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดสังเกตการณ์นัก
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ”
เสียงหวานเสียด้วย หากท่านชายได้มาเจอกับตัวมีหวังใจสั่นแน่ ชาร์ลแอบคิดในใจก่อนจะเริ่มหันมองดอกไม้นานาชนิดโดยรอบ
“ไม่ทราบว่าอยากได้ดอกไม้แบบไหนคะ”
“เอ่อ...” ชาร์ลทำท่าครุ่นคิด
“เอาไปใช้เนื่องในโอกาสอะไรคะ” ลินินยังคงเอ่ยถามต่อ “ฉันช่วยแนะนำได้ค่ะ”
“เอ่อ...” เขาไม่ได้เตรียมบทสนทนาที่ดูเหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้มาเสียด้วยสิ จะบอกว่าเนื่องในโอกาสที่แวมไพร์ตนหนึ่งเกิดหึงหวงเธอเกินหน้าเกินตาก็ใช่เรื่อง “เหมาหมดเลยครับ”
“เอ๊ะ?” ลินินทำสีหน้าตกใจ แต่อนที่จะทันได้เอ่ยถามอะไร ชาร์ลก็เอ่ยขึ้นด้วยไหวพริบ “พอดีที่บ้านผมจัดงานเลี้ยงฉลองครับ ขอเหมาหมดเลย”
“ให้จัดเป็นช่อด้วยไหมคะ หรืออยากได้แบบไหนแจ้งได้เลยค่ะ” ลินินยื่นแบบช่อดอไม้มาให้ชาร์ลพิจารณา ในตอนนั้นเองเจ้าตัวก็เริ่มมองหาความช่วยเหลือจากบนหลังคาอีกฟากฝั่ง เมื่อเห็นแบบนั้นลินินก็มองตามสายตาของเขาไปทันที
“บนนั้นมีอะไรเหรอคะ?” เธอชะโงกหน้าออกมามองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำเอาชาร์ลที่กำลังส่งสายตาหาเจ้านายตัวเองถึงกับสะดุ้งโหยง
“ไม่มีอะไรครับ เอาแบบนี้แล้วกัน!” เขาเอ่ยอย่างร้อนรนด้วยกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าพวกเขานั้นไม่ใช่มนุษย์ เพราะกฎของแวมไพร์อย่างพวกเขา คือการห้ามเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนเกินไปต่อหน้ามนุษย์ มิฉะนั้นอาจสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ได้
“จัดเป็นช่อนะคะ แล้วช่อนึงอยากให้มีดอกไม้ชนิดไหนอยู่ในนี้บ้างคะ”
“เอาเป็นว่า จัดมาตามใจคุณเลยครับ” เขาเองก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องดอกไม้นัก
“อ๋อ ค่ะ...” ลินินเดินไปบอกพนักงานที่กำลังนั่งพักอยู่ที่หลังร้านเพื่อให้มาช่วยกันจัดช่อดอกไม้ทั้งหมด หลังจากที่ชาร์ลจ่ายเงินทั้งหมดแล้วก็กลับออกมาหาเจย์เดนที่ยังนั่งรออยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน
เมื่อเห็นว่าลินินนั่งจัดช่อดอกไม้พร้อมกับเพื่อนร่วมงานของเธออีกคนอย่างขยันขันแข็งเป็นเวลาหลายต่อหลายชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก เขาก็อดที่จะชื่นชมในตัวเธอเสียไม่ได้
ก่อนจะได้ยินถ้อยคำชวนคิดเยอะจากผู้ติดตามคนสนิทของตัวเอง “ดูเหมือนจะไปเพิ่มงานให้นางนะขอรับ”
“ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นหรอก แค่ป้ายหน้าร้านปิดไม่ให้มีคนเข้าต่อก็เป็นอันพอแล้วล่ะ” เจย์เดนว่าพลางยกยิ้มขึ้นตรงมุมปาก
เมื่อเริ่มคล้อยยามเย็น ลินินก็จัด่อกไม้ทั้งหมดเสร็จทันเวลาร้านปิดทำการ ชาร์ลจึงรีบให้คนจากคฤหาสน์มารับช่อดอกไม้จำนวนมหาศาลกลับไปยังคฤหาสน์ตามคำสั่งของเจย์เดน
ส่วนลินิน หลังจากเลิกงานก็รีบตรงกลับบ้านทันที “วันนี้ที่ร้านขายดอกไม้ได้หมดเกลี้ยงเลยนะ เจ้าของร้านชมใหญ่เลย แถมได้โบนัสมาด้วยแหละ” ลินินเดินกลับเข้าไปภายในห้องนอนของตัวเองก็เอ่ยบอกกับดอกกุหลาบที่อยู่ในแจกัน “สงสัยเป็นเพราะแกแน่เลย...” เธอจ้องมองดอกกุหลาบในแจกันอย่างหลงไหลก่อนจะทิ้งตัวลงนอน
ในวันพรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดภาคการศึกษาในชั้นมัธยมปีสุดท้ายของเธอ จึงต้องรีบเข้านอนโดยเร็ว
“พรุ่งนี้นางจะเปิดเทอมแล้วขอรับท่านชาย” ชาร์ลยืนถือข้อมูลของลินินพร้อมรายงานให้เจย์เดนทราบ
“เปิดเทอมอย่างนั้นหรือ?”
“ปีสุดท้ายของมัธยมปลายแล้วขอรับ”
“ขยันมากเลยนะ ทำงานหนักขนาดนี้แล้วยังไปเรียนอีก” เขาว่าพลางจ้องมองไปยังหน้าต่างห้องนอนที่ปิดไฟมืดสนิทเป็นที่เรียบร้อย
ลินินไปเข้าเรียนตามปกติ วันนี้ถือเป็นวันปฐมนิเทศและแจกจ่ายตารางเรียน ยังไม่ได้เรียนเนื้อหาอะไรมากมายนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็สร้างความเหนื่อยล้าให้กับลินินพอตัว
“เฮ้อ ได้กลับบ้านสักทีเนอะ” ลินินพึมพำกับตัวเองด้วยความโล่งใจ พลางครุ่นคิดว่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยออกไปทำงานพาร์ทไทม์กะดึกต่อ
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่ค่อยเข้าข้างเธอสักเท่าไหร่นัก เมื่อชายกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเย้าแหย่ “สาวน้อย ดูเหมือนเรามีเรื่องต้องคุยกัน” ท่าทางของพวกเขาประหนึ่งเจ้าพ่อมาเฟียคุมถิ่นที่อยู่ในระแวกนี้
ใช่แล้ว...พวกเขาคือลูกน้องของเจ้าหนี้ที่พ่อลินินไปติดค้างเงินจำนวนมหาศาลเอาไว้นั่นเอง
ร่างบางก้าวถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น พลางหาโอกาสเหมาะสมวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่มันหน้าโรงเรียนเชียวนะ คนพวกนี้กล้ามาตามทวงเงินถึงที่นี่เลยอย่างนั้นเหรอ!?
ระหว่างที่ภายในใจกำลังครุ่นคิด สองขาก็รีบวิ่งหนีต่อไปอย่างไม่รอช้า แต่แล้วก็จนมุมเข้า เมื่อพวกมันแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อไปดักทางหลบหนีของเธอ
“นายใหญ่มีเรื่องจะคุยกับเธอ แม่สาวน้อย ยอมไปด้วยกันแต่โดยดีเถอะ ฉันไม่อยากทำร้ายผู้หญิง” เมื่อเห็นว่าเธอหมดโอกาสที่จะหลบหนีแล้ว เขาจึงสแยะยิ้มแล้วเอ่ยอย่างมีชัยเหนือกว่า
“คุยอะไรอีก ฉันจ่ายไปจนไม่รู้จะเท่าไหร่แล้วนะ” ลินินเริ่มเว้าวอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกมือหนาของชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกในการไล่ล่าตัวลูกหนี้ดึงทาบทามให้เดินไปขึ้นรถหรูคันหนึ่ง
ประตูภายในรถเปิดออก ก่อนจะปรากฎชายคนหนึ่งที่ท่าทางดูเหี้ยมโหด บนใบหน้าของเขาปรากฎรอยแผลเป็นซึ่งพอจะบ่งบอกได้ว่าเขาผ่านความโชกโชนมานับไม่ถ้วน เมื่อลินินได้ลองพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว และช่างน้ำหนักความคิดได้ว่าอย่างไรคนพวกนี้ก็เป็นต่อเธออยู่วันยังค่ำ เธอจึงต้องยอมขึ้นรถไปอย่างจำนน
“หน้าสวยดีนะ แต่ซอมซ่อไปหน่อย” เมื่อก้าวขึ้นไปบนรถ ชายวัยกลางคนก็เอื้อมมือมาบีบใบหน้าของเธอก่อนจะกวาดสายตาสำรวจเรือนร่างของเธออย่างเปิดเผย
“โบราณว่าไว้ พ่อก่อหนี้ ลูกก็ต้องชดใช้...” จากนั้นเขาก็ปล่อยใบหน้าของเธอให้เป็นอิสระ “มาดูกันเถอะ ว่าตัวเธอจะมีมูลค่ามากแค่ไหน” ว่าจบเขาก็สั่งให้ลูกน้องปิดประตูรถ แล้วขับเคลื่อนไปยังบ้านหลังมโหฬาร
.
.
.
อีกด้านหนึ่ง
ระหว่างที่ร่างบางก้าวขึ้นรถไป ดวงตาสีแดงคมเข้มก็จับจ้องอย่างไม่วางตา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังนั่งดูรูปการณ์ด้วยความนิ่งเฉย จนผู้ติดตามคนสนิทอดเอ่ยถามเสียไม่ได้
"ท่านชาย...จะไม่ช่วยนางหรือ?" เขาเอ่ยด้วยเสียงร้อนรน ดูท่าแล้วคนพวกนั้นคงไม่ปล่อยเธอแน่
"ช่วยไปทำไมกัน กุหลาบยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย บางทีนางอาจไม่ใช่คนที่ข้าตามหา..."
"หากท่านชายต้องการดูปฏิกิริยาของกุหลาบ ก็ควรนำนางมาอยู่ข้างกายให้เป็นที่ประจักษ์ เพราะท่านโหรหลวงกล่าวว่าปฏิกิริยาของกุหลาบที่ส่งพลังงานออกมาจะสอดคล้องกับความรู้สึกของท่านชาย"
"...."
"บางทีกุหลาบดอกนี้ อาจมีไว้เพื่อให้ท่านชายได้เรียนรู้ความสัมพันธ์กับนางอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะมาด่วนตัดสินเช่นนี้คงไม่ได้"
สิ่งที่ชาร์ลคิดนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย กุหลาบดอกนี้เป็นเครื่องนำทางสื่อรัก ทั้งคู่ต้องได้ทดลองรัก เมื่อนั้นจึงจะบอกได้ว่าเธอคือคนที่ใช่หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่เจย์เดนก็รู้แจ้งอยู่แก่ใจ
"หรือท่านชายไม่ถูกใจนาง?"
"...."
"หากเป็นเช่นนั้น สามารถขอให้ท่านโหรหลวงตัดส้มพันธ์และนำกุหลาบนั้นคืนมาได้นะขอรับ จะได้ไม่ผูกมัดนางด้วย" บอกตามตรง ระหว่างที่ ชาร์ล ต้องมาตามติดชีวิตของเธอพร้อมกับเจย์เดน เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจลินินยิ่งนัก ยิ่งล่วงรู้ประวัติที่ผ่านมาของก็ยิ่งสงสาร
"...."
"หากไม่ถูกใจก็มิควรรั้งเอาไว้ รังแต่จะทำให้นางเสียเวลา" น้ำเสียงในการพูดสุภาพ แต่สายตาที่ปรายมองคนข้าง ๆ กลับดูไม่ค่อยพอใจนัก
ท่านชายเฝ้ามองเธอมาร่วมหลายเดือนแล้ว แต่ก็ไม่ทำอะไรไปมากกว่านั้น นอกจากกันท่าเธอจากชายหนุ่มคนอื่น เขาเองก็ไม่รู้ว่าท่านชายจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
แต่หากเพียงแค่มารับชมชีวิตของนางเพื่อหาความสนุกใส่ตัว เขาก็เห็นควรว่าต้องตัดสัมพันธ์เสีย เพราะการเฝ้ามองเพียงเพื่อความสนุกเช่นนี้ เป็นเหมือนกลั่นแกล้งเธออีกทอดหนึ่งอย่างไรไม่รู้
หากเทียบกับเวลาผู้เป็นอมตะเช่นพวกเขา เวลาเพียงเท่านี้เหมือนเศษเสี้ยว แต่สำหรับลินินเวลาของเธอเดินหน้าผ่านไปเรื่อย ๆ เธอมีอายุขัยจำกัดอย่างมากสุดเพียงหนึ่งร้อยปีเท่านั้น
"เฮ้อ...บางทีข้าก็หงุดหงิดกับความคิดของเจ้าเหลือเกิน" เจย์เดนว่า แต่แล้วก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ไปกันเถอะ"
"ไปไหนขอรับ?"
"ตามมา เดี๋ยวก็รู้เอง"
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน