“ริสาเองก็ต้องการคุณค่ะ” มาริสาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะก้มหน้าลงไปอ้าปากครอบครองกายแกร่งแข็งขึงด้วยความกระหายใคร่อยาก นึกย่ามใจที่เห็นอีกฝ่ายตอบสนองต่อสัมผัสและเรือนร่างเย้ายวนของตน และแน่นอนว่าเธอหมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้วว่าจะทำให้เขาหลงใหลจนหัวปักหัวปำเชียวล่ะ
“ริมฝีปากที่กำลังขยับเข้าออกสอดประสานกับสองมือที่ขยับรูดขึ้นรูดลงเป็นจังหวะเดียวกัน ในขณะที่สาวคัพดีกำลังอ้าครอบสลับดูดเม้มเล็มเลียโอ้โลมกายชายด้วยความช่ำชอง ภาพในหัวของฝ่ายชายกลับกลายเป็นผู้หญิงอีกคน ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังถูกกายแกร่งกระแทกกระทั้นจนตัวสั่นคลอน เขายังจำความรู้สึกนั้นได้ดีว่ามันทั้งบีบอัดรัดรึงและร้อนฉ่าจนเขาเผลอครางออกมา จากที่ปล่อยให้สาวคัพดีโรมรันความเป็นชายตามอำเภอใจ ชายหนุ่มก็หันมากดศีรษะของอีกฝ่ายให้รับทั้งหมดที่เขามีบ้าง ก่อนจะขยับลุกขึ้นยืนพลางขยับสะโพกสอบตอกอัดใส่ริมฝีปากของหญิงสาวอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าขนาดที่ทั้งใหญ่และยาวของเขาทำเอาอีกฝ่ายกระอักจนแทบสำลัก
“ออก…! อื้อ…! ออก…!” ดุ้นยักษ์ที่ยังขยับดุนดันคาอยู่เต็มปาก ทำให้เสียงครวญครางของมาริสาแทบเป็นเสียงสำรอก นัยน์ตาที่เคยหยาดเยิ้มกลับกลายเป็นเหลือกลาญ มือไม้ที่ขยับลูบไล้ก่อนหน้ากลายเป็นทั้งผลักทั้งดันดุ้นลำใหญ่ให้ออกจากปาก หนักเข้าก็ถึงขั้นทุบไปที่หน้าขาเขาแรงๆ จังหวะนั้นเองที่เขาได้สติและก้มลงมอง เห็นดุ้นยักษ์ใหญ่คับปากยังคาอยู่ แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับไม่ใช่ภาพที่ตนจินตนาการเอาไว้ พลันเขารีบผลักอีกฝ่ายออกอย่างไม่ใยดี
“แคกๆๆ” มาริสากระแอมไอใบหน้าแดงก่ำน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
“หยิบเงินนั่นแล้วออกไปซะ” เสียงเขาเย็นเยียบขณะกำลังนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนโซฟาตัวเดิม
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณภาคิน ริสาไม่ได้รังเกียจหรือไม่พอใจคุณ ตรงกันข้ามริสาชอบด้วยซ้ำที่คุณช่าง…” มาริสาแทบคลานเข้ามากอดขาเขาไว้ พลางมองดุ้นยักษ์ที่ยังผงาดตาเป็นมัน ยอมรับว่าทีแรกก็เกือบตายเพราะขนาดของมัน แต่อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามันได้เข้าไปอยู่ในตัวเธอ มันจะให้ความรู้สึกดีแค่ไหน
“ออกไป” เสียงเขายังคงเย็นเยียบ แต่กลับไม่ได้ทำให้ความพยายามของสาวคัพดีลดลง เธอขยับลุกพลางถอดกระโปรงตัวสั้นสองคืบออก ตามมาด้วยซับในตัวจิ๋ว ก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางที่ยั่วยวนที่สุด ขาข้างหนึ่งยกตั้งชันบนโซฟาตั้งใจเปิดเปลือยเนินสาวให้เขาได้มองชัดๆ แต่มันคงยังไม่ชัดพอ เธอเลยใช้นิ้วกรีดกรายแยกขยายกายสาวหยาดเยิ้มให้เขาได้ชื่นชม ขณะที่แววตาหวานเชื่อมก็ไม่ได้ละไปจากใบหน้าคมของเขาสักวินาที
“ริสาพร้อมสำหรับคุณแล้วค่ะ อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊ะ…” หญิงสาวบอกพลางขยับขยับปลายนิ้วจุ่มจ่อมลงไปในเนินสาวฉ่ำแฉะ ก่อนจะขยับเข้าออกพลางครางเสียงกระเส่า หวังกระตุ้นไฟพิศวาสในตัวเขาให้ลุกโชน และดูเหมือนมันจะได้ผล เมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นเดินตรงมา เธอมองเขาพลางหยักยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ร่างกายนี้เป็นของคุณ ริสายกให้คุณค่ะ” เธอบอกพลางดึงนิ้วออกจากเนินสาวขึ้นมาดูดเลียอย่างยั่วสวาท ก่อนจะต้องตื่นเต้นจนใจเต้นรัวเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าลงมาหา
“ถ้ายังอยากมีที่ยืนในสังคม เก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปจากห้องฉันภายในสองนาที” ถึงมันจะเป็นเสียงที่เรียบสนิท แต่มันก็เย็นเยียบและน่ากลัวพอที่จะทำให้อีกฝ่ายผงะและไม่กล้าขัดขืนอีก
มาริสารีบผละออกมาจัดการตัวเองตามคำสั่ง ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางที่เย็นชาจนน่ากลัวก็ยิ่งทำให้เธอร้อนรนจนลานลาน ทันทีที่เก็บของเสร็จเธอก็รีบออกไปจากห้องทันที แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวพ้นอาณาเขต เสียงเย็นเยียบนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เดี๋ยว!” เสียงเจ้าของห้องทำให้เท้าทั้งคู่ของมาริสาชะงักงัน ก่อนจะหันกลับมามองเจ้าของเสียงด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“คีย์การ์ด” ทันทีที่ได้ยิน มาริสาจึงรีบรื้อค้นหยิบคีย์การ์ดออกมาวางให้ แต่ยังไม่ทันจะได้กดเปิดประตู เสียงเขาก็ดังขึ้นมาอีก
“อีกใบ” เธอมองหน้าเขาด้วยความฉงน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาคงหมายถึงใบที่เธอทำสลับกับผู้หญิงคนเมื่อคืน เธอจึงรีบค้นและหยิบออกมาวางไว้ข้างๆ กัน ก่อนจะรีบออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาร่ำลาเจ้าของห้องสักคำ
“ชิท!” หลังได้อยู่คนเดียวตามลำพัง เขาก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย นึกไม่ถึงว่าเพียงคืนเดียว เธอคนนั้นจะเข้ามาครอบงำเขา จนไม่สามารถลบภาพคืนนั้นออกไปจากหัว เอาแต่นึกถึงใบหน้าซ่านกระสัน กับเสียงครางกระเส่า ที่ทำให้เขาอยากนึกเมคเลิฟกับเรือนร่างนั้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ให้สาสมกับที่เธอทำให้เขาคลั่งได้ขนาดนี้
“เธอจะต้องชดใช้ที่ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพนี้” เขาหยิบบัตรพนักงานของเธอขึ้นมาจ้องเขม็ง ก่อนจะก้มมองกระบองเพชรดุ้นงามที่บัดนี้ห่อเหี่ยวจนน่าสงสาร เห็นแบบนี้ก็ยิ่งนึกโมโหเจ้าของบัตรจนต้องหยิบคีย์การ์ดของเธอขึ้นมามองอีกใบ
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดี” เขาจ้องเขม็งไปที่คีย์การ์ด ราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงเจ้าของห้อง ใจนึงก็นึกอยากจะไปหาเธอ ทำอะไรๆ กับเธออย่างที่ใจคิด เพราะไหนๆ คีย์การ์ดเธอก็อยู่ในมือแล้ว แต่อีกใจเขาก็เย่อหยิ่งเกินกว่าที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาเธอก่อน แน่นอนว่าคนอย่างภาคินมีแต่ผู้หญิงจะวิ่งเข้าใส่ เขาไม่เคยต้องง้อใครอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ปล่อยให้ตัวเองเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ไปอีกสักพักเท่านั้นเอง
“ไม่! ฉันจะไม่ยอมให้เธอมีอิทธิพลเหนือฉันเด็ดขาด มันจะต้องไม่มีวันนั้น” เขาหมายมั่นไว้อย่างนั้น แต่สองตากลับยังจ้องอยู่ที่รูปในบัตรและคีย์การ์ดของเธอไม่วางตา และตอนนั้นเองที่เขาฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“มีคอนโดราคาหลายสิบล้าน แต่กลับเป็นแค่พนักงานเล็กๆ ในบริษัท เธอเป็นใครกันแน่ แล้วเธอเข้าหาฉันเพื่อจุดประสงค์อะไร ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอต้องการอะไรแวววิวาห์” การที่เธออยู่คอนโดเดียวกับเขานั่นก็บ่งบอกได้บางอย่างแล้วว่าเธอมั่งมีไม่ใช่น้อย แต่เธอกลับเป็นแค่พนักงานเล็กๆ ในบริษัทเขา มันเลยดูย้อนแย้งกันชอบกล และข้อสงสัยเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้คำพูดของสาวคัพดีที่เพิ่งกลับไปมีน้ำหนักมากขึ้น…ว่าทุกอย่างเกิดจากการวางแผนมาแล้วอย่างแยบยล และมันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“ยังโกรธพี่อยู่เหรอเจ้าหญิงน้อย” วาโยพยายามง้องอนน้องสาวที่กำลังทำหน้าหงิกงอ “ใช่ หนูโกรธ แล้วก็โกรธมากด้วย พี่ทำให้แฟนหนูเกือบตายเลยนะ” “ก็ยังไม่ตายานี่” วาโยพึมพำเบาๆ แต่น้องสาวก็ดันได้ยินจึงยิ่งโกรธ “พี่โย” “ก็มันจริงนี่ พี่ก็เห็นว่าหมอนั่นยังสบายดี ไม่มีตรงไหนบุบสลาย ถ้าจะว่ากันตามจริงต้องขอบคุณพี่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่แอบได้ยินไอ้กรกันมันคุยโทรศัพท์ ป่านนี้หมอนั่นได้ไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้ว” เพราะไม่ทันสังเกตว่าวาโยยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง กรกันจึงโทรสั่งการและคายความลับออกมาโดยไม่ทันระวัง “ลองถ้าเป็นอย่างนั้น หนูจะไม่ให้อภัยพี่ไปตลอดชีวิตเลย” เป็นเพราะกว่าพี่ชายจะมาบอกก็เกือบสายไป อีกทั้งยังทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ เธอจึงอดเคืองไม่ได้ “นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย พี่เป็นพี่ชายเรานะ ทำไมต้องทำเหมือนคนอื่นสำคัญกว่าพี่ด้วย” พี่ชายตัดพ้อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “คนอื่นที่ไหน นั่นแฟนหนูนะ อีกหน่อยเขาก็จะมาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา” “ครอบครัวอะไร ใครยอมรับมัน แล้วใครอนุญาตให้เราเรียกมันว่าแฟน พี่ไม่
“ตาข่ายดักปลา อืม...ว่าไม่ได้ ดูๆ ไปก็เหมือนอยู่นะ” เห็นเธอยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาจึงพูดต่ออีก “นี่แหละน้า จำพี่ไม่ได้ จำชุดที่ตัวเองใส่ก็ไม่ได้ ทั้งที่เป็นคนฉีกกระโปรงแล้วทิ้งเศษผ้านั่นไว้ให้พี่ดูต่างหน้าแท้ๆ แต่กลับจำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ว่าต่อไปจะลืมเรื่องของเราหรอกนะ เฮ้อ! ก็มีแต่พี่นี่แหละที่จดจำได้ทุกรายละเอียด ถึงขนาดเจอกันอีกครั้ง พี่ก็ยังจำเธอได้ทันที” คนถูกตัดพ้อยิ้มแหย หลังปะติดปะต่อเรื่องราวได้ “แฮ่ จำได้หมดเลยเหรอ” เธอถามเสียงอ่อย ครั้นพอนึกบางอย่างขึ้นมาก็ทำท่าขัดเขิน “รู้สึกสวยขึ้นมาอีกพันเปอร์เซ็นต์ คลั่งรักนะเราเนี่ย” เธอเกี่ยวผมทัดหูก่อนตีที่แขนเขาเบาๆ “เห็นพี่คลั่งรักขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าต่อไปจะข่มเหงจิตใจกันหรอกนะ” “แล้วยอมให้ข่มรึเปล่าล่ะ” ไม่พูดเปล่า แต่แม่คุณยังเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักด้วยท่วงท่าก๋ากั่น “อยากจะข่มหรือขย่มก็ได้หมดแหละ กับเธอพี่ยอมทุกอย่าง” เขาตอบพลางมองตาปรอย รู้สึกราวกับว่าคนตรงหน้ากลายร่างเป็นนางแมวยั่วสวาท “งั้นหนูขอเลือกอย่างหลัง รับให้ไหวล่ะ”
ตอนที่ 32 คอนโด “อุ๊ย! จะทำอะไรคะ แบบนี้ไม่ดีมั้ง เมื่อกี้เราเพิ่งเจอเรื่อง...” ทันทีที่เข้ามาในห้อง เขาก็ปล้ำถอดเสื้อเธอออก ทำคนถูกถอดขัดเขินไม่คิดว่าพ่อคุณจะคลั่งรักได้ถึงเพียงนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองนั้นมีเสน่ห์เหลือร้าย กระทั่ง... “ก็เธอไม่ยอมไปหาหมอ พี่ก็ต้องเป็นตรวจเองสิ มาให้พี่ดูหน่อยว่ามีแผลตรงไหนรึเปล่า” คนที่เผลอคิดไปไกลหุบยิ้มทันควัน “ไม่มีค่ะ ไม่มีทั้งแผล แม้แต่เสน่ห์ก็ไม่มีค่ะ” เธอเปรยออกมาด้วยสีหน้าสุดเซ็ง “หืม ว่าไงนะ” คนที่ได้ยินชัดเจนแต่แสร้งถามอีกครั้ง “หนูหมายถึง หนูไม่ได้เจ็บตรงไหน แม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มีค่ะ” “จะไม่มีได้ไง ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อกี้มีรอยแดง” “แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ตรงนี้ไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี” เห็นพ่อคุณดื้อดึงจะดูให้ได้ เธอก็อ่อนอกอ่อนใจ จนต้องเอียงคอให้ดู ก่อนปลดกระดุมเสื้อเปิดไหล่ขาวๆ ให้อีกฝ่ายพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง พร้อมกับพึมพำเบาๆ “ปลายแถวพวกนั้นไม่ได้เก่งพอจะทำให้หนูเป็นแผลได้หรอก” “หืม” เขาแสร้งถามอีกครั้ง “หนูหมายถึง
ตอนที่ 31 “ฮื่อ...จะยิงผัวเขา ถามเมียเขาก่อนไหม ว่าอนุญาตรึเปล่า” ครามเดินนำเข้ามาพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ “อย่าเข้ามา ไม่งั้นกูเป่าหัวมันแน่” กรกันขู่ด้วยการเอาปืนจ่อขมับตัวประกัน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นญาณินเดินแหวกออกมาจากคนกลุ่มนั้น พลันสีหน้าคนถือปืนก็ค่อยๆ เผือดลง “คุณมาได้ยังไง” กรกันครางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง อีกทั้งนัยน์ตาที่มองมาก็เปลี่ยนไป กระทั่ง... “ฉันก็ต้องมาช่วยคนของฉันสิ ผู้ชายของฉันใครอนุญาตให้คุณแตะ กล้ายุ่งกับผู้ชายของฉัน กลัวคุณจะรับผิดชอบไม่ไหวน่ะสิ” การแสดงความเป็นเจ้าของของเธอ ทำนัยน์ตาคนขี้อิจฉาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอีกครั้ง “หึ! ผู้ชายของคุณ? ทำไมล่ะ มันมีดีอะไร ทำไมถึงได้มองแค่มัน แต่กับผมคุณกลับไม่แม้แต่จะให้โอกาสด้วยซ้ำ ลองให้โอกาสผมสิ แล้วผมจะทำให้คุณรักผมยิ่งกว่าที่คุณรักมัน” “เรื่องแบบนี้บังคับใจกันได้ที่ไหน ก็ฉันรักเขาไปแล้ว จะให้ไปรักคุณอีกได้ไง หรือต่อให้ไม่มีเขา ฉันก็ไม่รักคุณอยู่ดี” คนถูกบอกรักถึงกับเผลอยิ้ม ในขณะที่อีกคนกลับเปลี่ยนเป็นถมึงทึง “ทำไม” กรกันตะเบ็งเสียงใส
“เจ็บตรงไหนไหม บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” หลังจากเหตุการณ์สงบ ตุลญะรีบจับแฟนสาวหมุนไปหมุนมาเพื่อสำรวจ “ไม่ค่ะ แล้วพี่ล่ะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ความเป็นห่วงทำให้เธอทำในแบบเดียวกัน แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีแผลรอยฟันที่แขนก็โวยทันที “พี่บาดเจ็บนี่ ไปโรงพยาบาลกันค่ะ” เธอรีบเหวี่ยงแขนคนเจ็บมาพาดไว้ที่ไหล่ตัวเองเพื่อประคองอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล ทำเอาชวินชวันหันมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ “แผลแค่นี้ พี่ไม่เป็นไร ห่วงก็แต่เรานั่นแหละ ไม่เจ็บตรงไหนก็ดีแล้ว ว่าแต่รู้ได้ไงว่าพี่จะถูกทำร้าย” “พูดแล้วยังเคืองไม่หาย ก็พี่โยสิคะ แอบได้ยินคุณกรคุยโทรศัพท์ แล้วเพิ่งมาบอก โชคดีที่มาทัน ไม่งั้นหนูจะโกรธแล้วไม่พูดกับเขาตลอดชีวิตเลย” พูดถึงพี่ชายแล้วเธอก็ทำหน้างอง้ำ โชคดีที่อีกฝ่ายไถ่โทษด้วยการให้คนมาช่วย จึงพอลดความขุ่นเคืองลงได้บ้าง “ไม่โกรธนะคะคนดี แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายเรา ป่านนี้พวกพี่ไม่รู้จะเป็นยังไง ฝากขอบคุณพี่ชายเราด้วยนะ แล้วก็ขอบคุณเราด้วย แต่ทีหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีกนะ พี่ใจไม่ดี” เขาว่าพลางเอามือลูบหัวเธอเบาๆ
ตอนที่ 30 “ตั้งแต่ออกมาจากบ้านนั้น แม่ยังไม่เห็นแกหุบยิ้มเลย มีความสุขอะไรนักหนา” ขณะกำลังนั่งรถกลับบ้าน แม่ที่นั่งข้างลูกชายก็อดแซวลูกไม่ได้ “ได้แต่งกับผู้หญิงที่เฝ้าตามหามาเป็นปี จะไม่ให้มีความสุขได้ไงล่ะครับ แต่ว่าก็ว่านะ เก็บอาการหน่อยก็ดี เดี๋ยวผู้หญิงเขาจะได้ใจเอา” ครามที่เป็นพลขับอยู่ด้านหน้าอดไม่ได้ที่จะผสมโรงด้วย “นี่แกกับหนูคะขาเคยเจอกันมาก่อนเหรอ ที่ไหน ยังไง ไม่เห็นเคยเล่าให้แม่ฟัง หนูคะขาเองก็ไม่เห็นเคยพูดถึง” ผู้เป็นแม่อดสงสัยไม่ได้ “คือ...” ลูกชายทำท่าจะอธิบาย แต่ก็ถูกคนด้านหน้าแทรกขึ้นมาอีก “จะพูดถึงได้ไงล่ะครับ ก็เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำ” ครามพูดแล้วเหลือบมองกระจกมองหลัง ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว จึงรีบอธิบายต่อ “คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับคุณท่าน...” ครามเล่าทุกอย่างท่ามกลางสีหน้าหลากหลายอารมณ์ของคนฟัง “เป็นไง อย่างกับรักแรกพบในละครเลยใช่ไหมครับ” “ตกลงมันเรื่องของฉันหรือว่าของแกกันแน่ไอ้คราม” เจ้าของเรื่องประชดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ในขณะที่คนถูกว่าก็ไม่ได้สลดเลยสักนิด