“ริสาเองก็ต้องการคุณค่ะ” มาริสาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะก้มหน้าลงไปอ้าปากครอบครองกายแกร่งแข็งขึงด้วยความกระหายใคร่อยาก นึกย่ามใจที่เห็นอีกฝ่ายตอบสนองต่อสัมผัสและเรือนร่างเย้ายวนของตน และแน่นอนว่าเธอหมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้วว่าจะทำให้เขาหลงใหลจนหัวปักหัวปำเชียวล่ะ
“ริมฝีปากที่กำลังขยับเข้าออกสอดประสานกับสองมือที่ขยับรูดขึ้นรูดลงเป็นจังหวะเดียวกัน ในขณะที่สาวคัพดีกำลังอ้าครอบสลับดูดเม้มเล็มเลียโอ้โลมกายชายด้วยความช่ำชอง ภาพในหัวของฝ่ายชายกลับกลายเป็นผู้หญิงอีกคน ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังถูกกายแกร่งกระแทกกระทั้นจนตัวสั่นคลอน เขายังจำความรู้สึกนั้นได้ดีว่ามันทั้งบีบอัดรัดรึงและร้อนฉ่าจนเขาเผลอครางออกมา จากที่ปล่อยให้สาวคัพดีโรมรันความเป็นชายตามอำเภอใจ ชายหนุ่มก็หันมากดศีรษะของอีกฝ่ายให้รับทั้งหมดที่เขามีบ้าง ก่อนจะขยับลุกขึ้นยืนพลางขยับสะโพกสอบตอกอัดใส่ริมฝีปากของหญิงสาวอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าขนาดที่ทั้งใหญ่และยาวของเขาทำเอาอีกฝ่ายกระอักจนแทบสำลัก
“ออก…! อื้อ…! ออก…!” ดุ้นยักษ์ที่ยังขยับดุนดันคาอยู่เต็มปาก ทำให้เสียงครวญครางของมาริสาแทบเป็นเสียงสำรอก นัยน์ตาที่เคยหยาดเยิ้มกลับกลายเป็นเหลือกลาญ มือไม้ที่ขยับลูบไล้ก่อนหน้ากลายเป็นทั้งผลักทั้งดันดุ้นลำใหญ่ให้ออกจากปาก หนักเข้าก็ถึงขั้นทุบไปที่หน้าขาเขาแรงๆ จังหวะนั้นเองที่เขาได้สติและก้มลงมอง เห็นดุ้นยักษ์ใหญ่คับปากยังคาอยู่ แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับไม่ใช่ภาพที่ตนจินตนาการเอาไว้ พลันเขารีบผลักอีกฝ่ายออกอย่างไม่ใยดี
“แคกๆๆ” มาริสากระแอมไอใบหน้าแดงก่ำน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
“หยิบเงินนั่นแล้วออกไปซะ” เสียงเขาเย็นเยียบขณะกำลังนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนโซฟาตัวเดิม
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณภาคิน ริสาไม่ได้รังเกียจหรือไม่พอใจคุณ ตรงกันข้ามริสาชอบด้วยซ้ำที่คุณช่าง…” มาริสาแทบคลานเข้ามากอดขาเขาไว้ พลางมองดุ้นยักษ์ที่ยังผงาดตาเป็นมัน ยอมรับว่าทีแรกก็เกือบตายเพราะขนาดของมัน แต่อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามันได้เข้าไปอยู่ในตัวเธอ มันจะให้ความรู้สึกดีแค่ไหน
“ออกไป” เสียงเขายังคงเย็นเยียบ แต่กลับไม่ได้ทำให้ความพยายามของสาวคัพดีลดลง เธอขยับลุกพลางถอดกระโปรงตัวสั้นสองคืบออก ตามมาด้วยซับในตัวจิ๋ว ก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางที่ยั่วยวนที่สุด ขาข้างหนึ่งยกตั้งชันบนโซฟาตั้งใจเปิดเปลือยเนินสาวให้เขาได้มองชัดๆ แต่มันคงยังไม่ชัดพอ เธอเลยใช้นิ้วกรีดกรายแยกขยายกายสาวหยาดเยิ้มให้เขาได้ชื่นชม ขณะที่แววตาหวานเชื่อมก็ไม่ได้ละไปจากใบหน้าคมของเขาสักวินาที
“ริสาพร้อมสำหรับคุณแล้วค่ะ อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊ะ…” หญิงสาวบอกพลางขยับขยับปลายนิ้วจุ่มจ่อมลงไปในเนินสาวฉ่ำแฉะ ก่อนจะขยับเข้าออกพลางครางเสียงกระเส่า หวังกระตุ้นไฟพิศวาสในตัวเขาให้ลุกโชน และดูเหมือนมันจะได้ผล เมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นเดินตรงมา เธอมองเขาพลางหยักยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ร่างกายนี้เป็นของคุณ ริสายกให้คุณค่ะ” เธอบอกพลางดึงนิ้วออกจากเนินสาวขึ้นมาดูดเลียอย่างยั่วสวาท ก่อนจะต้องตื่นเต้นจนใจเต้นรัวเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าลงมาหา
“ถ้ายังอยากมีที่ยืนในสังคม เก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปจากห้องฉันภายในสองนาที” ถึงมันจะเป็นเสียงที่เรียบสนิท แต่มันก็เย็นเยียบและน่ากลัวพอที่จะทำให้อีกฝ่ายผงะและไม่กล้าขัดขืนอีก
มาริสารีบผละออกมาจัดการตัวเองตามคำสั่ง ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางที่เย็นชาจนน่ากลัวก็ยิ่งทำให้เธอร้อนรนจนลานลาน ทันทีที่เก็บของเสร็จเธอก็รีบออกไปจากห้องทันที แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวพ้นอาณาเขต เสียงเย็นเยียบนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เดี๋ยว!” เสียงเจ้าของห้องทำให้เท้าทั้งคู่ของมาริสาชะงักงัน ก่อนจะหันกลับมามองเจ้าของเสียงด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“คีย์การ์ด” ทันทีที่ได้ยิน มาริสาจึงรีบรื้อค้นหยิบคีย์การ์ดออกมาวางให้ แต่ยังไม่ทันจะได้กดเปิดประตู เสียงเขาก็ดังขึ้นมาอีก
“อีกใบ” เธอมองหน้าเขาด้วยความฉงน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาคงหมายถึงใบที่เธอทำสลับกับผู้หญิงคนเมื่อคืน เธอจึงรีบค้นและหยิบออกมาวางไว้ข้างๆ กัน ก่อนจะรีบออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาร่ำลาเจ้าของห้องสักคำ
“ชิท!” หลังได้อยู่คนเดียวตามลำพัง เขาก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย นึกไม่ถึงว่าเพียงคืนเดียว เธอคนนั้นจะเข้ามาครอบงำเขา จนไม่สามารถลบภาพคืนนั้นออกไปจากหัว เอาแต่นึกถึงใบหน้าซ่านกระสัน กับเสียงครางกระเส่า ที่ทำให้เขาอยากนึกเมคเลิฟกับเรือนร่างนั้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ให้สาสมกับที่เธอทำให้เขาคลั่งได้ขนาดนี้
“เธอจะต้องชดใช้ที่ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพนี้” เขาหยิบบัตรพนักงานของเธอขึ้นมาจ้องเขม็ง ก่อนจะก้มมองกระบองเพชรดุ้นงามที่บัดนี้ห่อเหี่ยวจนน่าสงสาร เห็นแบบนี้ก็ยิ่งนึกโมโหเจ้าของบัตรจนต้องหยิบคีย์การ์ดของเธอขึ้นมามองอีกใบ
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดี” เขาจ้องเขม็งไปที่คีย์การ์ด ราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงเจ้าของห้อง ใจนึงก็นึกอยากจะไปหาเธอ ทำอะไรๆ กับเธออย่างที่ใจคิด เพราะไหนๆ คีย์การ์ดเธอก็อยู่ในมือแล้ว แต่อีกใจเขาก็เย่อหยิ่งเกินกว่าที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาเธอก่อน แน่นอนว่าคนอย่างภาคินมีแต่ผู้หญิงจะวิ่งเข้าใส่ เขาไม่เคยต้องง้อใครอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ปล่อยให้ตัวเองเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ไปอีกสักพักเท่านั้นเอง
“ไม่! ฉันจะไม่ยอมให้เธอมีอิทธิพลเหนือฉันเด็ดขาด มันจะต้องไม่มีวันนั้น” เขาหมายมั่นไว้อย่างนั้น แต่สองตากลับยังจ้องอยู่ที่รูปในบัตรและคีย์การ์ดของเธอไม่วางตา และตอนนั้นเองที่เขาฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“มีคอนโดราคาหลายสิบล้าน แต่กลับเป็นแค่พนักงานเล็กๆ ในบริษัท เธอเป็นใครกันแน่ แล้วเธอเข้าหาฉันเพื่อจุดประสงค์อะไร ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอต้องการอะไรแวววิวาห์” การที่เธออยู่คอนโดเดียวกับเขานั่นก็บ่งบอกได้บางอย่างแล้วว่าเธอมั่งมีไม่ใช่น้อย แต่เธอกลับเป็นแค่พนักงานเล็กๆ ในบริษัทเขา มันเลยดูย้อนแย้งกันชอบกล และข้อสงสัยเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้คำพูดของสาวคัพดีที่เพิ่งกลับไปมีน้ำหนักมากขึ้น…ว่าทุกอย่างเกิดจากการวางแผนมาแล้วอย่างแยบยล และมันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
สายของอีกวันที่เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเมื่อยขบ ราวกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก แต่มันก็หนักจริงๆ นั่นแหละ เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะได้ก้าวออกจากห้องน้ำ ก็กินเวลาไปโข นับว่ายังโชคดีที่ไม่เป็นปอดบวมตายไปซะก่อน แต่เชื่อเถอะ ต่อให้หนาวแค่ไหน เขาก็สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นร้อนระอุได้ไม่ยาก พอนึกมาถึงตรงนี้ เธอก็ร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างไม่ได้ “ไม่ๆๆ ห้ามคิดเด็ดขาด” เธอส่ายหน้าขับไล่ความคิดหื่นห่ามพวกนั้นออกไป แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งห้ามภาพเมื่อคืนก็ยิ่งฉายชัด ก็ห้องน้ำของคุณเขาน่ะสิดันมีกระจกรอบด้าน (ไม่รู้จะเอาไว้ส่องอะไรนักหนา) ภาพร่วมรักระหว่างเขาและเธอจึงฉายชัดเต็มสองตา ทั้งตอนที่สะโพกสอบกำลังขยับโยกโก่งก้นใส่เธอแรงๆ ตอนที่เธอต้องเอามือยันไว้ที่กระจก เพื่อให้เขาเข้าหาจากทางด้านหลัง หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าขาเพื่อโรมรันกุหลาบแรกแย้มของเธออย่างเอาเป็นเอาตาย และทั้งหมดทั้งมวลนี้นั้นก็เป็นเพราะเขาหื่นห่ามและตะกละตะกลาม ครั้นพอนึกถึงความหื่นของเจ้าของห้อง เธอก็อดที่จะมองหาไม่ได้ กระทั่งพบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่เขาติดเอาไว้บนหัวเตียง เธอรีบดึงมันออกมาอ่าน “
กระทั่งเมื่อขาทั้งสองข้างหยุด เขาก็หันมาขยับอย่างอื่นแทน สะโพกผายถูกยกเผยอตั้งรับ สะโพกสอบจึงขยับส่งมอบตัวตนทั้งหมดที่มีเข้าออกรัวเร็ว ประหนึ่งความอดทนอดกลั้นทั้งหมดสะบั้นลง ไม่มีแล้วความเนิบนาบ มีแต่ความแข็งกร้าวที่กำลังตอกอัดดุดัน เนินสาวถูกกระแทกกระทั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ต่างฝ่ายต่างสัมผัสถึงเนื้อแท้ของกันและกัน เล็บคมยังคงจิกลงบนไหล่ผาย แต่กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกได้เท่ากับความเสียดเสียวจากเนินสาวอวบอูมที่กำลังโอบรัดตัวตนเขาอยู่“มะไม่ไหวแล้ว” เธอบอกเสียงกระท่อนกระแท่น พลางส่ายหัวไปมาจนเส้นผมปลิวไสว ช่างเป็นภาพที่ยั่วกิเลสจนเขาต้องกัดฟันกรอด ข่มกลั้นความกำหนัดที่กำลังพลุ่งพล่านไม่ให้มันระเบิดออกมาซะก่อน เขาจำต้องถอดถอนตัวตนออกมาเพื่อคลายความเสียวซ่านที่กำลังร้อนระอุ ก่อนจะยกกายสาวให้เป็นฝ่ายสวมครอบท่อนเอ็นลำใหญ่ที่กำลังดีดเด้งซ้ำๆ เขาทำราวกับว่าเธอไร้น้ำหนัก ที่สามารถยกขึ้นๆ ลงๆ ได้ตามอำเภอใจ ในขณะที่เธอก็กำลังหวีดร้องกับท่วงท่าที่ทั้งเจ็บทั้งจุกจากขนาดมหึมาของเขา แต่ท่อนเนื้อที่กำลังเสียดสีก็ทำเธอเสียดเสียวได้ในเวลาเดียวกันกระทั่งเธอถูกวางลงบนที่นอนหนานุ่ม ตอนนั้นเธอถึงได้รู้
ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการโรมรันเนินสาวสะคราญ เธอเองก็ค่อยๆ ดึงตัวขึ้นมามองศีรษะที่กำลังขยับอยู่กลางกายสาวนัยน์ตาปรือปรอย เธอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงกำลังหดหาย ประหนึ่งถูกเขาดูดกลืนไป แต่ถ้าจะให้หยุดตอนนี้ เธอคงแทบขาดใจตาย เช่นเดียวกับเขาที่ทำราวกับว่าอดอยากมาเป็นแรมปี และเธอคืออาหารอันโอชะที่เขาจะต้องกลืนกินไม่ให้เหลือ “ฉะฉันไม่ไหว” เธอกัดฟันบอกเสียงกระท่อนกระแท่นเต็มที “ไม่ไหวก็ไม่ต้องทน” สิ้นเสียงเขาก็ก้มลงไปอีกครั้ง พร้อมทั้งส่งนิ้วจุ่มจ่อมจนลึกสุดโคน ก่อนจะขยับเป็นจังหวะเดียวกันกับเรียวลิ้นร้ายกาจ กายสาวที่กำลังหดเกร็งรุนแรงตอดรัดตลอดนิ้วเรียวจนเขาเจียนคลั่ง อยากจะส่งดุ้นยักษ์ของตัวเองเข้าไปแทนที่ซะเดี๋ยวนี้ แต่ยังก่อน เขายังอยากยืดเวลาแห่งความสุขให้นานกว่านี้ เมื่อยังส่งดุ้นยักษ์เข้าไปไม่ได้ นิ้วเรียวจึงต้องทำหน้าที่บรรเลงความหฤหรรษ์ต่อไป จนกว่าเธอจะได้เรียนรู้บทเรียนแรก ขณะที่นิ้วเรียวกำลังขยับเข้าออก ริมฝีปากเขาก็กำลังโรมรันติ่งสยิว ด้วยการดูดเม้มสลับตวัดไปมา กระทั่งกายสาวเกร็งกระตุก ส่งสัญญาณว่าเธอเรียนสำเร็จไปขั้นนึงแล้ว แต่นี่แค่จุดเริ่มต้น ถึงเวลาที่
“ชาติ” เขาตอบสั้นๆ พลางยกนมขึ้นดื่มอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้นมในแก้วกระฉอกออกมาเลอะที่เสื้อ “บ้าเอ๊ย!” เขาสบถอย่างหงุดหงิด พลางถอดเสื้อที่เลอะออก เผยมัดกล้ามเป็นลอนสวยงามให้คนมองถึงกับลอบกลืนน้ำลาย ครั้นพอเจ้าของกล้ามหันมามอง เธอจึงรีบแก้เก้อด้วยการยกนมในมือขึ้นดื่มบ้าง แต่เพราะลนลานเกินไป นมจึงหกเลอะที่เสื้อเธอด้วยอีกคน แล้วหกตรงไหนไม่หก ดันหกเลอะนมสดๆ ของเธอ แล้วที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้น เธอดันไม่ได้ใส่เสื้อชั้นในออกมา ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าดึกป่านนี้ เขาจะยังไม่หลับไม่นอน ทันทีที่รู้ตัว เธอก็พยายามจะหาอะไรมาเช็ด แต่ก็ช้ากว่าคนที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มแทบกระโจนเข้าหา ก่อนจะเม้มปากสลับงาบงับอกอวบตูมเต่งที่กำลังดุนดันเสื้อเชิ้ตราวกับคนหิวกระหาย รอยเปียกทำให้เขาเห็นส่วนยอดที่กำลังชูชันชัดเจน จนอดไม่ได้ที่ะสัมผัสมันอย่างตะกรุมตะกราม “อื้อ…! ยะอย่าค่ะ อ๊ะ!” เธอพยายามห้าม แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงครางน่าอาย เมื่อเขาเอาแต่ตะโบมจูบดูดเม้มอกอูมตูมเต่งของเธอราวอดอยากมาเป็นแรมปี ถึงแม้จะยังมีเสื้อเชิ้ตกางกั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเสียวซ่านน้อยลงเลย “อ
หลังจากแยกกับอรอินทร์ไป เขาก็กลับมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทีเกิดขึ้นตามลำพัง เขานั่งอยู่ในมุมมืดๆนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นแวววิวาห์เปิดประตูออกมา ดูจากสภาพแล้วก็เดาว่าเธอน่าจะอาบน้ำและเตรียมเข้านอนแล้ว แต่แทนที่เธอจะอยู่ในชุดนอนบางเบาที่เขาให้คนจัดเตรียมไว้ให้ เธอกลับเลือกที่จะหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ ของเขามาใส่ และเขาก็เพิ่งรู้วันนี้เอง ว่าเสื้อเชิ้ตแค่ตัวเดียว กลับทำให้เธอดูมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย และเธอกำลังตกเป็นเป้าสายตาของเสือร้ายอย่างเขาโดยไม่รู้ตัว เธอเดินตรงไปยังโซนห้องครัวเพราะคิดว่าเจ้าของห้องน่าจะหลับไปแล้ว ความจริงเธอเองก็ควรจะหลับไปแล้วด้วยเหมือนกัน ถ้าท้องเธอมันไม่ร้องประท้วงอยากได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสักชามสองชามขึ้นมาซะก่อน เธอคงนอนหลับสบายบนเตียงนุ่มๆ ไปแล้ว คงเป็นเพราะเธอใช้ความคิดเยอะไปกระมัง มื้อเย็นที่กินเข้าไปก็เลยถูกย่อยจนหมด คนที่นั่งอยู่ในมุมมืดเห็นทุกอากัปกิริยาของเธออย่างชัดเจน เขาเฝ้ามองเธอด้วยความรู้สึกสับสน ใช่! เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันดำเนินมาไกลถึงขนาดนี้ และคนที่เสี
“แทนที่จะนั่งกินที่ร้านสบายๆ ซื้อกลับมากินที่บ้านให้มันวุ่นวายทำไม แล้วกินแค่นี้มันจะไปอิ่มได้ยังไง” เขาบ่นอุบเมื่อเธอเลือกที่จะซื้ออาหารกลับมากินที่ห้อง แทนที่จะนั่งกินที่ร้านตามที่เขาบอก “ก็ฉันเป็นห่วงงาน กลัวทำไม่คุ้มค่าจ้างที่คุณจ่ายไง” พูดจบเธอก็ตักข้าวเข้าปาก ก่อนจะหันมาพิมพ์งานในแล็ปท็อปต่อ “กินข้าวให้เสร็จก่อนแวววิวาห์” เขาเตือน แต่เธอกลับยังกินข้าวไป ทำงานไปเหมือนเดิม จนเขาต้องเสียงเข้มขึ้น “แวววิวาห์” “ก็ได้ค่ะ” เสียงเข้มๆ กับสายตาดุๆ ของเขาทำให้เธอจำต้องวางมือจากงาน แล้วหันมาทานข้าวให้เป็นกิจลักษณะ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เธอรีบกินยิ่งกว่าเดิม “นี่! ทำไมต้องรีบกินขนาดนั้น เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก” เห็นเธอตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่าแบบไม่พัก เขาจึงต้องรีบทักท้วง “คือว่าตอนนี้สมองฉันมันกำลังแล่น ถ้าไม่รีบ ฉันกลัวว่าฉันจะลืมน่ะค่ะ ฉันอิ่มแล้วค่ะ” เธอบอกพลางรวบช้อนวาง ก่อนดื่มน้ำตาม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย “ทำไมต้องกลัว ในเมื่อมีฉันอยู่ตรงนี้ด้วยทั้งคน ถ้าเธอติดหรือสงสัยตรงไหน ก็แค่ถามฉัน อย่าลืมสิว่าโปรเจคนี้เธอไม่ได้ทำคนเดียว แต
“ขอโทษนะ” พูดจบเขาก็แก้เก้อด้วยการหันไปอีกทาง ทำเธอแอบยิ้มขันกับท่าทีของเขา แม้จะเป็นแค่คำพูดสั้นๆ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ “ไม่ยกโทษให้ จนกว่า…จะเปิดประตูให้ค่ะ” เธอเดินอ้อมไปยื่นข้อเสนอตรงหน้าเขา “ทำไมต้องเปิด” เขาเสียงเข้มขึ้นมาอีก “ก็ถ้าไม่เปิด แล้วเพื่อนฉันจะเข้ามายังไงล่ะคะท่านประธาน” เหตุผลของเธอทำเขาหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ จนเธอนึกหวาดระแวง “อยากได้ก็ล้วงเองสิ” เขาเอียงด้านข้างให้เธอล้วงกระเป๋ากางเกง “อย่านึกนะว่าฉันไม่กล้า” ว่าแล้วเธอก็ล้วงหมับเข้าไปทันที แต่เพราะกางเกงพอดีตัวของเขา มันเลยทำให้ล้วงค่อนข้างลำบาก อีกทั้งมันก็ใกล้กับอะไรบางอย่าง เธอจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง “ล้วงลึกขนาดนี้ ฉันชักอยากจ่ายแสนนึงแล้วสิ” ได้ยินแบบนี้ เธอถึงกับต้องรีบชักมือออก ราวต้องของร้อน “ไม่เห็นจะมีเลย คุณหลอกฉันรึเปล่าเนี่ย” เธอทำหน้าหงิกงอ “มันจะมีได้ยังไง ในเมื่อเธอล้วงผิดข้าง” เธอกัดฟันกรอดพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง ไม่นึกว่านอกจากจะร้ายกาจแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังเจ้าเล่ห์สุดๆ อีกด้วย แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้เธอไม่ต้องล้
พอถึงเวลาเลิกงาน เธอก็รีบเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่นั่งตูมอยู่นานสองนาน “ท่านประธานคะ ช่วยเปิดประตูให้ดิฉันด้วยค่ะ” เธอหันมาค้อมศีรษะพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ใช่! เธอกำลังอารมณ์ดีที่จะได้อิสรภาพกลับคืนมา อย่างน้อยช่วงเวลาเลิกงานก็เป็นเวลาที่เธอมีอิสระเต็มที่ “ไม่ได้ยินที่ฉันคุยกับเธียรชัยรึไง เธอจะต้องอยู่ทำงานกับฉัน จนกว่างานของเราจะเสร็จสมบูรณ์” ได้ฟัง หัวคิ้วของเธอขมวดมุ่น “แต่นี่มันนอกเวลางานแล้วนะคะ ฉันก็ต้องมีเวลาส่วนตัวของฉันบ้างสิ อีกอย่างคุณใช้งานฉันเกินเวลา มันผิดกฎหมายแรงงานนะคุณ” “จะผิดได้ยังไงในเมื่อฉันจ่าค่าล่วงเวลาให้เธอเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ไม่เชื่อก็ลองดูสิ” เขาบุ้ยปากไปทางกระเป๋าสะพายที่เธอถืออยู่ จนเธอจำต้องล้วงมือถือออกมาดูอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อจะพบกับจำนวนเงินหนึ่งหมื่นบาทที่ลอยมาเข้าบัญชีแล้ว “ค่าล่วงเวลาในแต่ละวันที่เธอจะได้รับ” แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้มันสูงและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย มันจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะลังเล แต่ถ้าต้องแลกมาด้วยอิสรภาพ เธอขอเลือก…เงินดีกว่า เอ๊ย! เลือกอิสรภาพดีกว่า อย่างน้อยตัวเธอ
“ก็ได้ งั้นฉันก็มีสิทธิ์ที่จะถามเหมือนกัน ว่าคุณให้คนขนของฉันขึ้นมาทำไม” เธอพยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้ฉุนเฉียวมากเกินไป “จากนี้ไปเธอจะต้องย้ายมามาทำงานที่นี่ จนกว่างานของเราจะจบ” “เพื่ออะไรเนี่ย ในเมื่ออยู่ที่ไหน ฉันก็ทำให้งานคุณได้เหมือนๆ กัน” เธอทำหน้ายุ่งๆ พยายามต่อรองเพื่อขอคืนอิสรภาพของตัวเอง “ก็…ก็เพื่อความลับที่ฉันบอกไง อย่าลืมสิ ว่าเรื่องโปรเจคนี้มีแค่เธอกับฉันที่รู้” เขาอึกอัก ก่อนจะยกเหตุผลนี่มาอ้าง “แต่ถึงฉันกลับไปทำที่แผนก ฉันก็ยังเก็บเป็นความลับได้นี่คะ” “ไม่ล่ะ ฉันไม่ไว้ใจใคร ทุกอย่างต้องอยู่ในสายตาฉันเท่านั้น เธอเองก็เหมือนกัน” เขาเผลอพูดในสิ่งที่คิด “ฉัน? ทำไมฉันต้องอยู่ในสายตาคุณ” เธอชี้มาที่ตัวเอง “ก็…ก็เธอกุมความลับของฉันไว้ไง เอาล่ะๆ มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ จะรอให้งานมันท่วมหัวก่อนรึไง” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะเขาเองก็เริ่มหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้แล้วเหมือนกันว่า…ทำไม ห้องทั้งห้องถูกความเงียบเข้าปกคลุม เมื่อคนในห้องต่างคนต่างจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาที่กำลังสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่