บทที่ 6
“ก็มันจำเป็น ฉันไม่อยากถูกคลุมถุงชน อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปมีอะไรกับเขาแบบโจ่งแจ้งขนาดนั้น ฉันก็แค่อยากจะไปสารภาพรักกับเขา แต่ฉันไม่กล้า ฉันก็เลยต้องดื่มเล่าย้อมใจ แล้วจากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขึ้นไปบนห้องนั้นได้ยังไง” ยิ่งได้ฟังพริมรตาก็ยิ่งกุมขมับ อยากบ่นอยากด่าออกมาแรงๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยรู้ว่าแค่นี้เพื่อนก็คงบอบช้ำมากพอแล้ว
“โอเค! งั้นแกช่วยเล่าทุกอย่างมาให้ละเอียดก็พอ” หลังจากนั้นแวววิวาห์ก็เล่าทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจำได้ให้เพื่อนฟังอย่างละเอียด โดยไม่รู้เลยว่าตรงนั้นไม่ได้มีแค่พวกเธอสองคนอีกต่อไป แต่ยังมีใครอีกคนที่ได้ยินทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
ในขณะที่สองสาวพากันกลับไปตั้งหลักที่ห้องของตัวเอง เขาซึ่งเป็นคนที่พวกเธอตามหาก็กำลังตามสืบเรื่องเธออยู่เช่นกัน ด้วยการเริ่มสืบจากต้นตอของเรื่อง
“ริสาดีใจมากเลยนะคะที่รู้ว่าคุณให้ตามริสาอีก ทีแรกก็คิดว่าคุณจะโกรธที่ริสาสะเพร่าจนขึ้นมาพบคุณไม่ได้ แต่เห็นแบบนี้ริสาก็สบายใจ แต่จะว่าไปก็น่าโมโหผู้หญิงคนนั้นนะคะ ถ้ายัยขี้เมานั่นไม่ชนริสาจนคีย์การ์ดเราสลับกัน ป่านนี้เราสองคนคงมีความสุขกันไปนานแล้ว” มาริสาสาวไซส์ไลน์คนเมื่อคืนวานบอกด้วยความขุ่นเคือง ในขณะที่เขายังนั่งฟังบนโซฟาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ถึงเมื่อวานเราจะคลาดกัน แต่วันนี้ริสาจะทำให้คุณมีความสุขที่สุด ให้คุ้มกับที่คุณเจาะจงเรียกริสามาโดยเฉพาะ” มาริสายิ้มเต็มหน้า แค่คิดว่าอีกฝ่ายมีใจพิสมัยจนถึงขั้นเรียกหาอีก เธอก็ยิ่งได้ใจ
“คุณภาคินรู้ไหมคะว่าคุณคือคนแรกที่ทำให้ริสายอมรับงานนี้ ถึงริสาจะยังไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้ แต่ริสาจะพยายามทำให้คืนนี้ของเราเป็นคืนที่วิเศษที่สุด” ว่าแล้วสาวไซส์ไลน์นุ่งน้อยห่มน้อยก็เยื้องย่างเข้ามาหา พลางขยับคอเสื้อให้ร่นลงไปราวกับอยากอวดทรวงอกคัพดีให้เขาได้ชื่นชม ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับยังนั่งเฉย ไม่แม้แต่จะยื่นมือมาแตะต้องอย่างที่ควรจะเป็น จึงอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะชอบให้เธอเป็นฝ่ายเริ่ม และอยากให้เธอบริการเขามากกว่า
คิดได้ดังนั้นสาวคัพดีจึงนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าขาแข็งแกร่ง หวังจะให้เขาได้มองเห็นอกอวบๆ ของตัวเองชัดๆ ขณะเดียวกันกระโปรงที่ขนาดไม่นั่งก็ว่าสั้นแล้ว พอนั่งปุ๊บก็ร่นขึ้นไปถึงไหนต่อไหน หญิงสาวสยายผมด้วยท่วงท่าที่คิดว่ายั่วยวนที่สุด ก่อนจะยื่นมือไปลูบไล้ตรงเป้ากางเกงเขาอย่างอ้อยอิ่ง เธอกัดริมฝีปากพลางมองไปที่เป้ากางเกงนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนจะเลื่อนมือไปปลดตะขอกางเกงและรูดซิบลงมาอย่างรู้งาน
“อุ๊ย!” หญิงสาวทำท่าเอียงอายหลังล้วงเข้าไปสัมผัสบางอย่างในอันเดอร์แวร์ เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากขณะกำลังลูบไล้บางอย่างภายใต้อันเดอร์แวร์ ถึงแม้ตอนนี้มันจะยังคงนอนนิ่งๆ แต่จากที่สัมผัส หญิงสาวก็รับรู้ได้ว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่มาก เพียงแต่เธอต้องยั่วให้มากกว่านี้ ที่สำคัญ…ยั่วยังไงไม่ให้รู้ว่ายั่ว แล้วยั่วยังไงให้ดูเหมือนไร้ประสบการณ์
“เมื่อคืนตอนที่เธอชนกับผู้หญิงคนนั้น เขาดูเป็นยังไง” เขาปริปากถามบ้าง หลังจากนั่งเงียบปากมาพักใหญ่ ทำเอาคนที่กำลังง่วนอยู่กับการลูบไล้บางอย่างถึงกับต้องชะงักมือเอาไว้
“คุณหมายถึงอะไรล่ะ รูปร่างหน้าตาหรือสารรูปตอนชนกัน ถ้ารูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้พิเศษอะไรค่ะ ออกจะพื้นๆ ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นสารรูปก็…เมาเละเลยค่ะ เอ๊ะ! แต่ถ้าคีย์การ์ดของริสากับผู้หญิงคนนั้นสลับกัน งั้นผู้หญิงคนนั้นก็ต้องขึ้นมาหาคุณ” สาวคัพดีเงยหน้ามองคนถามทันที แต่เห็นเขายังนิ่งเฉย เลยอดคิดไม่ได้ว่าที่เขาถามเป็นเพราะว่าเขาสนใจ
“แต่จริงๆ ริสาว่าเขาแกล้งเมาเพื่อที่จะได้ขึ้นมาหาคุณมากกว่า” มาริสากลับคำราวกับจะตัดไฟแต่ต้นลม แต่มันกลับทำให้เขาหันกลับมามองด้วยความสนใจ
“อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้น”
“ริสาว่าเขาน่าจะแอบได้ยินที่ริสาคุยกับคุณชาติมาเรื่องที่ริสาจะขึ้นมาหาคุณอะค่ะ ลองคิดดูสิคะ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักคุณ ลองถ้ามีโอกาสเข้าหาคุณได้ มีเหรอที่เขาจะไม่ทำ” มาริสาพูดพลางลอบมองคนฟังด้วยรอยยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดต่ออีก
“ก็ดูกร้านโลกขนาดนั้น ริสาจะไปทันเล่ห์เหลี่ยมเขาได้ยังไง ริสาไม่ปฏิเสธหรอกนะคะว่าที่ริสารับงานนี้ก็เพราะว่าริสาอยากเจอคุณ แต่ริสาไม่ได้หวังอะไรจากคุณเลยนะคะ หวังแค่ว่าคุณจะเมตตาริสาบ้างเท่านั้น ริสาก็แค่ผู้หญิงไม่มีประสบการณ์ ไม่ได้ช่ำชองเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่คุณเคยผ่านมา ก็ได้แต่หวังว่า…คุณจะช่วยสอนริสาบ้าง” หญิงสาวยังคงย้ำเรื่องไร้ประสบการณ์ พลางช้อนตามองเขาด้วยสายตาออดอ้อน ดูยังไงมันก็ยังห่างไกลจากคำว่าไร้ประสบการณ์ พาลให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แบบนั้นต่างหากที่เรียกว่าไร้ประสบการณ์
มาถึงตรงนี้ก็ทำให้เขาหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ตั้งแต่วินาทีแรกที่ดุ้นยักษ์ขนาดไม่ธรรมดาชำแรกแทรกผ่านกายสาวบอบบาง วินาทีนั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอยังไร้ซึ่งประสบการณ์ อีกทั้งเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนที่นอนก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเธอยังไม่มีรอยราคีใดๆ มาแปดเปื้อน และเขาคือคนที่ช่วงชิงเอาความสาวนั้นไป แค่คิดถึงเสียงร้องครวญคราง ท่าทางบิดเร่าๆ ด้วยความกระสัน อีกทั้งใบหน้าที่กำลังแดงซ่านกอปรกับนัยน์ตาหวานฉ่ำที่กำลังปรือปรอย ลมหายใจเขาก็ติดขัด ไพล่คิดไปถึงตอนที่ได้อยู่ในตัวเธอ ถูกความคับแน่นของเธอบีบอัดจนแทบแหลกลาญ ลำคอเขาก็แห้งผากขึ้นมาทันใด อะไรๆ ที่มันยังไม่ยอมตื่นในคราแรกก็ดีดเด้งผงาดประกาศศักดาขึ้นมาในทันที ทำเอาคนที่กำลังพยายามปลุกปั่นถึงกับตาโต หยักยิ้มมุมปากด้วยความลำพอง
สายของอีกวันที่เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเมื่อยขบ ราวกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก แต่มันก็หนักจริงๆ นั่นแหละ เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะได้ก้าวออกจากห้องน้ำ ก็กินเวลาไปโข นับว่ายังโชคดีที่ไม่เป็นปอดบวมตายไปซะก่อน แต่เชื่อเถอะ ต่อให้หนาวแค่ไหน เขาก็สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นร้อนระอุได้ไม่ยาก พอนึกมาถึงตรงนี้ เธอก็ร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างไม่ได้ “ไม่ๆๆ ห้ามคิดเด็ดขาด” เธอส่ายหน้าขับไล่ความคิดหื่นห่ามพวกนั้นออกไป แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งห้ามภาพเมื่อคืนก็ยิ่งฉายชัด ก็ห้องน้ำของคุณเขาน่ะสิดันมีกระจกรอบด้าน (ไม่รู้จะเอาไว้ส่องอะไรนักหนา) ภาพร่วมรักระหว่างเขาและเธอจึงฉายชัดเต็มสองตา ทั้งตอนที่สะโพกสอบกำลังขยับโยกโก่งก้นใส่เธอแรงๆ ตอนที่เธอต้องเอามือยันไว้ที่กระจก เพื่อให้เขาเข้าหาจากทางด้านหลัง หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าขาเพื่อโรมรันกุหลาบแรกแย้มของเธออย่างเอาเป็นเอาตาย และทั้งหมดทั้งมวลนี้นั้นก็เป็นเพราะเขาหื่นห่ามและตะกละตะกลาม ครั้นพอนึกถึงความหื่นของเจ้าของห้อง เธอก็อดที่จะมองหาไม่ได้ กระทั่งพบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่เขาติดเอาไว้บนหัวเตียง เธอรีบดึงมันออกมาอ่าน “
กระทั่งเมื่อขาทั้งสองข้างหยุด เขาก็หันมาขยับอย่างอื่นแทน สะโพกผายถูกยกเผยอตั้งรับ สะโพกสอบจึงขยับส่งมอบตัวตนทั้งหมดที่มีเข้าออกรัวเร็ว ประหนึ่งความอดทนอดกลั้นทั้งหมดสะบั้นลง ไม่มีแล้วความเนิบนาบ มีแต่ความแข็งกร้าวที่กำลังตอกอัดดุดัน เนินสาวถูกกระแทกกระทั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ต่างฝ่ายต่างสัมผัสถึงเนื้อแท้ของกันและกัน เล็บคมยังคงจิกลงบนไหล่ผาย แต่กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกได้เท่ากับความเสียดเสียวจากเนินสาวอวบอูมที่กำลังโอบรัดตัวตนเขาอยู่“มะไม่ไหวแล้ว” เธอบอกเสียงกระท่อนกระแท่น พลางส่ายหัวไปมาจนเส้นผมปลิวไสว ช่างเป็นภาพที่ยั่วกิเลสจนเขาต้องกัดฟันกรอด ข่มกลั้นความกำหนัดที่กำลังพลุ่งพล่านไม่ให้มันระเบิดออกมาซะก่อน เขาจำต้องถอดถอนตัวตนออกมาเพื่อคลายความเสียวซ่านที่กำลังร้อนระอุ ก่อนจะยกกายสาวให้เป็นฝ่ายสวมครอบท่อนเอ็นลำใหญ่ที่กำลังดีดเด้งซ้ำๆ เขาทำราวกับว่าเธอไร้น้ำหนัก ที่สามารถยกขึ้นๆ ลงๆ ได้ตามอำเภอใจ ในขณะที่เธอก็กำลังหวีดร้องกับท่วงท่าที่ทั้งเจ็บทั้งจุกจากขนาดมหึมาของเขา แต่ท่อนเนื้อที่กำลังเสียดสีก็ทำเธอเสียดเสียวได้ในเวลาเดียวกันกระทั่งเธอถูกวางลงบนที่นอนหนานุ่ม ตอนนั้นเธอถึงได้รู้
ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการโรมรันเนินสาวสะคราญ เธอเองก็ค่อยๆ ดึงตัวขึ้นมามองศีรษะที่กำลังขยับอยู่กลางกายสาวนัยน์ตาปรือปรอย เธอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงกำลังหดหาย ประหนึ่งถูกเขาดูดกลืนไป แต่ถ้าจะให้หยุดตอนนี้ เธอคงแทบขาดใจตาย เช่นเดียวกับเขาที่ทำราวกับว่าอดอยากมาเป็นแรมปี และเธอคืออาหารอันโอชะที่เขาจะต้องกลืนกินไม่ให้เหลือ “ฉะฉันไม่ไหว” เธอกัดฟันบอกเสียงกระท่อนกระแท่นเต็มที “ไม่ไหวก็ไม่ต้องทน” สิ้นเสียงเขาก็ก้มลงไปอีกครั้ง พร้อมทั้งส่งนิ้วจุ่มจ่อมจนลึกสุดโคน ก่อนจะขยับเป็นจังหวะเดียวกันกับเรียวลิ้นร้ายกาจ กายสาวที่กำลังหดเกร็งรุนแรงตอดรัดตลอดนิ้วเรียวจนเขาเจียนคลั่ง อยากจะส่งดุ้นยักษ์ของตัวเองเข้าไปแทนที่ซะเดี๋ยวนี้ แต่ยังก่อน เขายังอยากยืดเวลาแห่งความสุขให้นานกว่านี้ เมื่อยังส่งดุ้นยักษ์เข้าไปไม่ได้ นิ้วเรียวจึงต้องทำหน้าที่บรรเลงความหฤหรรษ์ต่อไป จนกว่าเธอจะได้เรียนรู้บทเรียนแรก ขณะที่นิ้วเรียวกำลังขยับเข้าออก ริมฝีปากเขาก็กำลังโรมรันติ่งสยิว ด้วยการดูดเม้มสลับตวัดไปมา กระทั่งกายสาวเกร็งกระตุก ส่งสัญญาณว่าเธอเรียนสำเร็จไปขั้นนึงแล้ว แต่นี่แค่จุดเริ่มต้น ถึงเวลาที่
“ชาติ” เขาตอบสั้นๆ พลางยกนมขึ้นดื่มอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้นมในแก้วกระฉอกออกมาเลอะที่เสื้อ “บ้าเอ๊ย!” เขาสบถอย่างหงุดหงิด พลางถอดเสื้อที่เลอะออก เผยมัดกล้ามเป็นลอนสวยงามให้คนมองถึงกับลอบกลืนน้ำลาย ครั้นพอเจ้าของกล้ามหันมามอง เธอจึงรีบแก้เก้อด้วยการยกนมในมือขึ้นดื่มบ้าง แต่เพราะลนลานเกินไป นมจึงหกเลอะที่เสื้อเธอด้วยอีกคน แล้วหกตรงไหนไม่หก ดันหกเลอะนมสดๆ ของเธอ แล้วที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้น เธอดันไม่ได้ใส่เสื้อชั้นในออกมา ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าดึกป่านนี้ เขาจะยังไม่หลับไม่นอน ทันทีที่รู้ตัว เธอก็พยายามจะหาอะไรมาเช็ด แต่ก็ช้ากว่าคนที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มแทบกระโจนเข้าหา ก่อนจะเม้มปากสลับงาบงับอกอวบตูมเต่งที่กำลังดุนดันเสื้อเชิ้ตราวกับคนหิวกระหาย รอยเปียกทำให้เขาเห็นส่วนยอดที่กำลังชูชันชัดเจน จนอดไม่ได้ที่ะสัมผัสมันอย่างตะกรุมตะกราม “อื้อ…! ยะอย่าค่ะ อ๊ะ!” เธอพยายามห้าม แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงครางน่าอาย เมื่อเขาเอาแต่ตะโบมจูบดูดเม้มอกอูมตูมเต่งของเธอราวอดอยากมาเป็นแรมปี ถึงแม้จะยังมีเสื้อเชิ้ตกางกั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเสียวซ่านน้อยลงเลย “อ
หลังจากแยกกับอรอินทร์ไป เขาก็กลับมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทีเกิดขึ้นตามลำพัง เขานั่งอยู่ในมุมมืดๆนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นแวววิวาห์เปิดประตูออกมา ดูจากสภาพแล้วก็เดาว่าเธอน่าจะอาบน้ำและเตรียมเข้านอนแล้ว แต่แทนที่เธอจะอยู่ในชุดนอนบางเบาที่เขาให้คนจัดเตรียมไว้ให้ เธอกลับเลือกที่จะหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ ของเขามาใส่ และเขาก็เพิ่งรู้วันนี้เอง ว่าเสื้อเชิ้ตแค่ตัวเดียว กลับทำให้เธอดูมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย และเธอกำลังตกเป็นเป้าสายตาของเสือร้ายอย่างเขาโดยไม่รู้ตัว เธอเดินตรงไปยังโซนห้องครัวเพราะคิดว่าเจ้าของห้องน่าจะหลับไปแล้ว ความจริงเธอเองก็ควรจะหลับไปแล้วด้วยเหมือนกัน ถ้าท้องเธอมันไม่ร้องประท้วงอยากได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสักชามสองชามขึ้นมาซะก่อน เธอคงนอนหลับสบายบนเตียงนุ่มๆ ไปแล้ว คงเป็นเพราะเธอใช้ความคิดเยอะไปกระมัง มื้อเย็นที่กินเข้าไปก็เลยถูกย่อยจนหมด คนที่นั่งอยู่ในมุมมืดเห็นทุกอากัปกิริยาของเธออย่างชัดเจน เขาเฝ้ามองเธอด้วยความรู้สึกสับสน ใช่! เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันดำเนินมาไกลถึงขนาดนี้ และคนที่เสี
“แทนที่จะนั่งกินที่ร้านสบายๆ ซื้อกลับมากินที่บ้านให้มันวุ่นวายทำไม แล้วกินแค่นี้มันจะไปอิ่มได้ยังไง” เขาบ่นอุบเมื่อเธอเลือกที่จะซื้ออาหารกลับมากินที่ห้อง แทนที่จะนั่งกินที่ร้านตามที่เขาบอก “ก็ฉันเป็นห่วงงาน กลัวทำไม่คุ้มค่าจ้างที่คุณจ่ายไง” พูดจบเธอก็ตักข้าวเข้าปาก ก่อนจะหันมาพิมพ์งานในแล็ปท็อปต่อ “กินข้าวให้เสร็จก่อนแวววิวาห์” เขาเตือน แต่เธอกลับยังกินข้าวไป ทำงานไปเหมือนเดิม จนเขาต้องเสียงเข้มขึ้น “แวววิวาห์” “ก็ได้ค่ะ” เสียงเข้มๆ กับสายตาดุๆ ของเขาทำให้เธอจำต้องวางมือจากงาน แล้วหันมาทานข้าวให้เป็นกิจลักษณะ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เธอรีบกินยิ่งกว่าเดิม “นี่! ทำไมต้องรีบกินขนาดนั้น เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก” เห็นเธอตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่าแบบไม่พัก เขาจึงต้องรีบทักท้วง “คือว่าตอนนี้สมองฉันมันกำลังแล่น ถ้าไม่รีบ ฉันกลัวว่าฉันจะลืมน่ะค่ะ ฉันอิ่มแล้วค่ะ” เธอบอกพลางรวบช้อนวาง ก่อนดื่มน้ำตาม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย “ทำไมต้องกลัว ในเมื่อมีฉันอยู่ตรงนี้ด้วยทั้งคน ถ้าเธอติดหรือสงสัยตรงไหน ก็แค่ถามฉัน อย่าลืมสิว่าโปรเจคนี้เธอไม่ได้ทำคนเดียว แต
“ขอโทษนะ” พูดจบเขาก็แก้เก้อด้วยการหันไปอีกทาง ทำเธอแอบยิ้มขันกับท่าทีของเขา แม้จะเป็นแค่คำพูดสั้นๆ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ “ไม่ยกโทษให้ จนกว่า…จะเปิดประตูให้ค่ะ” เธอเดินอ้อมไปยื่นข้อเสนอตรงหน้าเขา “ทำไมต้องเปิด” เขาเสียงเข้มขึ้นมาอีก “ก็ถ้าไม่เปิด แล้วเพื่อนฉันจะเข้ามายังไงล่ะคะท่านประธาน” เหตุผลของเธอทำเขาหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ จนเธอนึกหวาดระแวง “อยากได้ก็ล้วงเองสิ” เขาเอียงด้านข้างให้เธอล้วงกระเป๋ากางเกง “อย่านึกนะว่าฉันไม่กล้า” ว่าแล้วเธอก็ล้วงหมับเข้าไปทันที แต่เพราะกางเกงพอดีตัวของเขา มันเลยทำให้ล้วงค่อนข้างลำบาก อีกทั้งมันก็ใกล้กับอะไรบางอย่าง เธอจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง “ล้วงลึกขนาดนี้ ฉันชักอยากจ่ายแสนนึงแล้วสิ” ได้ยินแบบนี้ เธอถึงกับต้องรีบชักมือออก ราวต้องของร้อน “ไม่เห็นจะมีเลย คุณหลอกฉันรึเปล่าเนี่ย” เธอทำหน้าหงิกงอ “มันจะมีได้ยังไง ในเมื่อเธอล้วงผิดข้าง” เธอกัดฟันกรอดพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง ไม่นึกว่านอกจากจะร้ายกาจแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังเจ้าเล่ห์สุดๆ อีกด้วย แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้เธอไม่ต้องล้
พอถึงเวลาเลิกงาน เธอก็รีบเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่นั่งตูมอยู่นานสองนาน “ท่านประธานคะ ช่วยเปิดประตูให้ดิฉันด้วยค่ะ” เธอหันมาค้อมศีรษะพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ใช่! เธอกำลังอารมณ์ดีที่จะได้อิสรภาพกลับคืนมา อย่างน้อยช่วงเวลาเลิกงานก็เป็นเวลาที่เธอมีอิสระเต็มที่ “ไม่ได้ยินที่ฉันคุยกับเธียรชัยรึไง เธอจะต้องอยู่ทำงานกับฉัน จนกว่างานของเราจะเสร็จสมบูรณ์” ได้ฟัง หัวคิ้วของเธอขมวดมุ่น “แต่นี่มันนอกเวลางานแล้วนะคะ ฉันก็ต้องมีเวลาส่วนตัวของฉันบ้างสิ อีกอย่างคุณใช้งานฉันเกินเวลา มันผิดกฎหมายแรงงานนะคุณ” “จะผิดได้ยังไงในเมื่อฉันจ่าค่าล่วงเวลาให้เธอเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ไม่เชื่อก็ลองดูสิ” เขาบุ้ยปากไปทางกระเป๋าสะพายที่เธอถืออยู่ จนเธอจำต้องล้วงมือถือออกมาดูอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อจะพบกับจำนวนเงินหนึ่งหมื่นบาทที่ลอยมาเข้าบัญชีแล้ว “ค่าล่วงเวลาในแต่ละวันที่เธอจะได้รับ” แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้มันสูงและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย มันจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะลังเล แต่ถ้าต้องแลกมาด้วยอิสรภาพ เธอขอเลือก…เงินดีกว่า เอ๊ย! เลือกอิสรภาพดีกว่า อย่างน้อยตัวเธอ
“ก็ได้ งั้นฉันก็มีสิทธิ์ที่จะถามเหมือนกัน ว่าคุณให้คนขนของฉันขึ้นมาทำไม” เธอพยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้ฉุนเฉียวมากเกินไป “จากนี้ไปเธอจะต้องย้ายมามาทำงานที่นี่ จนกว่างานของเราจะจบ” “เพื่ออะไรเนี่ย ในเมื่ออยู่ที่ไหน ฉันก็ทำให้งานคุณได้เหมือนๆ กัน” เธอทำหน้ายุ่งๆ พยายามต่อรองเพื่อขอคืนอิสรภาพของตัวเอง “ก็…ก็เพื่อความลับที่ฉันบอกไง อย่าลืมสิ ว่าเรื่องโปรเจคนี้มีแค่เธอกับฉันที่รู้” เขาอึกอัก ก่อนจะยกเหตุผลนี่มาอ้าง “แต่ถึงฉันกลับไปทำที่แผนก ฉันก็ยังเก็บเป็นความลับได้นี่คะ” “ไม่ล่ะ ฉันไม่ไว้ใจใคร ทุกอย่างต้องอยู่ในสายตาฉันเท่านั้น เธอเองก็เหมือนกัน” เขาเผลอพูดในสิ่งที่คิด “ฉัน? ทำไมฉันต้องอยู่ในสายตาคุณ” เธอชี้มาที่ตัวเอง “ก็…ก็เธอกุมความลับของฉันไว้ไง เอาล่ะๆ มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ จะรอให้งานมันท่วมหัวก่อนรึไง” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะเขาเองก็เริ่มหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้แล้วเหมือนกันว่า…ทำไม ห้องทั้งห้องถูกความเงียบเข้าปกคลุม เมื่อคนในห้องต่างคนต่างจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาที่กำลังสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่