แชร์

บทที่ 3 ฟ้าดินไร้ปรานี

ผู้เขียน: moonlight -mini
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-03 13:38:17

บทที่ 3 ฟ้าดินไร้ปรานี

“ท่านพ่อ เหตุใดสีหน้าท่านจึงหม่นหมองเพียงนี้” หลี่เลี่ยงหรงวางสิ่งของในมือ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาเมื่อเห็นบิดากลับมาจากการประชุม สีหน้าคร่ำเคร่งผิดปกติ บัณฑิตหลี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

“แม้จะเรียกพวกเราเหล่าบัณฑิตไปด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย”

“อย่างไรหรือเจ้าคะ”

“พ่อกับสหายต่างเสนอวิธีการแก้ปัญหาภัยพิบัติที่กำลังรุมเร้า และยังเตือนว่าอาจจะเกิดดินถล่มได้ ให้ย้ายคนที่อยู่เชิงเขาออกมาก่อน ส่วนน้ำที่ท่วมขังก็ต้องเร่งระบาย ส่วนเรื่องอาหารนั้น ขอปันเสบียงจากขุนนางมาแบ่งให้ชาวบ้านเพื่อประทังให้ผ่านปีนี้ไปได้ แล้วค่อยคิดแก้ไขอย่างจริงจังในวันหน้า แต่เจ้าปกครองเมือง…” ดวงตาของบัณฑิตหลี่ทอดมองไปไกลก่อนถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยอีกรอบ

“แม้พวกเราจะเสนอวิธีมากมาย ที่สมเหตุสมผล ทั้งการจัดการอย่างรวดเร็วอย่างเช่นขุดทางน้ำ สร้างคันดินเอาไว้รอครั้งหน้า และยังป่าวประกาศให้เก็บเสบียง แต่เจ้าปกครองเมืองกลับไม่รับฟังเลยแม้เพียงนิด เขากลับเอาชีวิตชาวบ้านไปฝากเอาไว้กับพวกหมอผี” น้ำเสียงของบัณฑิตหลี่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

“เขาเชื่อคำที่บอกว่าหากบูชายันสตรีบริสุทธิ์แต่เทพบนสวรรค์ ภายในสองเดือน ภัยทั้งปวงจะหายไป”

“แต่อีกสองเดือนก็หมดฤดูน้ำหลากแล้ว” หลี่เลี่ยงหรงพึมพำเสียงแผ่ว

บิดามองนางอย่างเหนื่อยล้า “แม้แต่เจ้าก็ยังรู้”

“แล้วหมอผีที่ท่านพ่อว่าหมายถึงผู้ใดหรือเจ้าคะ”

“จะเป็นใครไปได้ ก็เจ้าศาลหลักเมืองไง ดีแต่รับบริจาค ปากก็พร่อแต่คำสวยหรู ทำตัวราวกับมีความรู้แจ้ง แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่พูดล้วนว่างเปล่า ไม่เคยมีเหตุผลรองรับเลยสักครั้ง โชคดีที่จำแม่นเขามักเอาช่วงเวลามาต่อรอง คนไม่รู้หรือคิดไม่ทันก็เชื่อถือเขา ต่อให้ไม่ทำอะไร อีกสองเดือนก็จบเรื่องแน่ ๆ อยู่แล้ว แต่ปีหน้าเล่า ปีต่อไปอีก จะต้องฆ่าคนอีกมากมายเท่าไรเพื่อกับความว่างเปล่านี้”

“แล้วเจ้าปกครองเมืองจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ” เสียงของหลี่เหลี่ยงหรงสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นนางเอง ไม่ก็สหายของนางที่ยังมิได้ออกเรือนก็จะต้องตกอยู่ในความกลัวและกังวลนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น

บิดามองบุตรสาวด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก เขาเองก็ไม่อาจจะตอบได้ แต่เมื่อเห็นบุตรสาวของตนมีท่าทีสะพรึงกลัวก็ทำได้เพียงแค่เอ่ยคำปลอบใจ

“พ่อก็หวังว่าจะไม่”

แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ภัยร้ายก็หนักขึ้น ดังคำที่เหล่าบัณฑิตเคยเอ่ยทักว่าจะเกิด แต่แทนที่เจ้าปกครองเมืองจะคิดได้ และหันกลับมารับฟังหนทางแก้ปัญหาของเหล่าบัณฑิต แก้ไขทุกสิ่งด้วยสติปัญญา เขากลับปิดหูปิดตาไม่อยากรับฟังความจริงแล้วตัดสินใจในสิ่งที่ไม่สมควรลงไป

“หากเป็นเช่นนี้ก็คงต้องทำตามคำของเจ้าศาลหลักเมือง”

“แต่ว่า...”

มือใหญ่ปัดกลางอากาศตัดบท เหล่าบัณฑิตอยากค้านแต่ไม่มีใครกล้า แม้บัณฑิตจะมีความรู้ แต่ก็ยังคงรักตัวกลัวตาย

เมืองหลินอันแห่งนี้ อยู่ใต้การปกครองของตระกูลที่มีสายเลือดครึ่งหนึ่งมาจากเชื้อสายกษัตริย์ แต่เพราะพื้นที่ไม่ได้ติดกัน ตัวเมืองก็ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง สุดท้ายจึงกลายเป็นเมืองที่ตั้งตนเป็นเมืองเดี่ยว ขนบธรรมเนียม กฎหมายของพวกเขานั้นจึงไม่ได้ขึ้นอยู่แก่ผู้ใด แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าปกครองเมือง วัฒนธรรมแม้จะสืบมาจากราชวงศ์เดิมบ้างแต่ก็ผันเปลี่ยนไปเรื่อย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปมาก อีกทั้งเจ้าปกครองเมืองคนนี้ แม้จะหาบัณฑิตที่มีความรู้มาสั่งสอนบุตรชายเพียงคนเดียวจากบรรดาบุตรธิดานับสิบคนของตน แต่เขากลับเชื่อถือในเรื่องผีสางมากกว่า

นั่นก็คงเพราะยามเขาป่วยเคยมีหมอผีบอกให้เขาทำบางอย่าง และนั่นก็ทำให้เขาอยู่รอดมิเป็นอะไรมาจนถึงวันนี้

แต่หลินจงที่ได้รับการเรียนรู้กลับเห็นต่างบิดาตน เขาไม่ได้คิดว่าบิดาเขาโง่เขลา แต่เพราะงมงายมากจนเกินไป และเขาก็ไม่กลัวตายจึงกล้าเอ่ยค้าน

“ท่านพ่อ ทำเช่นที่เจ้าศาลหลักเมืองบอกเป็นการทำที่มิควร ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ยังทำให้จิตใจของชาวบ้านสั่นไหว”

“เจ้าไม่เข้าใจ เรื่องนี้สวรรค์เป็นผู้กำหนด หากสวรรค์พิโรธ เราก็เพียงบวงสรวงให้ท่านสงบ”

“แต่ท่านพ่อสิ่งที่เราควรทำคือการแก้ปัญญามิใช่หันหนีปัญหา”

“เมื่อเจ้าเป็นเจ้าปกครองเมือง เจ้าจะทำอย่างไรก็เรื่องของเจ้า ยามนี้ยังเป็นข้า!”  เขาหันไปมองเหล่าคนที่ยืนอยู่

“สามวันไม่เกินห้า พวกเจ้าจะต้องทำพิธีให้เสร็จสิ้น” คำพูดนั้นดุจคำประหาร เพราะต้องมีสตรีหนึ่งคนต้องตาย และโชคร้ายนางคือบุตรสาวของบัณฑิตหลี่ ผู้ที่ไม่เคยลงรอยกับเจ้าศาลหลักเมือง

วันรุ่งขึ้นหลังจากประกาศของเจ้าปกครองเมือง คนของศาลหลักเมืองก็มารับหลี่เหลี่ยงหรงไปจากเรือน

นางไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เพราะหากทำเช่นนั้นบิดาของนางก็จะสิ้นชีพลงตรงหน้า วิถีปากอย่างใจอย่างของคนจากศาลหลักเมืองมีใครบ้างไม่รู้

หลี่เลี่ยงหรงเดินออกจากเรือนด้วยท่าทีสงบนิ่ง สายตาชาวบ้านนับสิบมุงมอง ทั้งเวทนา ทั้งซุบซิบ และในฝูงชนนั้นเขาก็อยู่ที่นั่น

ชายผู้ที่นางรักหมดใจ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ท่านปันใจใยข้าต้องอาลัย   บทที่ 13 ลุกเป็นไฟ

    บทที่ 13 ลุกเป็นไฟหลี่เหลียงหรงที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วเดินตามออกมา ด้านนอกมีสาวใช้บางคนถูกเฆี่ยนอยู่ นางเห็นแล้วก็นึกตกใจกลัวไม่น้อย เพราะไม่เคยเห็นหลิงจงมีอาการเช่นนั้นข่าวการสอบสวนดังไปถึงเรือนหลัก จนเจ้าปกครองเมืองต้องมาดูด้วยตนเองเขารู้ดีว่าบุตรชายตนแม้เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องไร้เหตุผล หากเขาโมโหขนาดนี้ ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ไม่ทันถึงหน้าเรือน บุตรชายของท่านหมอก็นำจดหมายของบิดามาถวายให้เจ้าปกครองเมืองเมื่ออ่านข้อความจนจบ มือที่เหี่ยวย่นถึงกับสั่น “บังอาจนัก! สายเลือดตระกูลข้าก็กล้าลอบสังหารหรือ! ต่อให้เป็นบุตรของสตรีใด หากสืบเชื้อสายมังกรจากตระกูลหลิง ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะไม่ปล่อยให้รอดเด็ดขาด!“หลิงจงสอบสวนอยู่ที่ไหน”“หน้าเรือนของอนุหลี่ขอรับ”“นำข้าไป”เจ้าปกครองเมืองก็ปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเดือดดาลไม่แพ้หลิงจงเลยแม้แต่นิดคำพูดยังไม่ทันขาดเสียง ก็มีเสียงตวาดดังลั่นจากหน้าเรือน“ข้าจะไม่พูดอะไรมาก เรื่องเช่นนี้ครั้งก่อนเกิด พวกเจ้าจำไม่ได้รึว่ามีใครต้องตายบ้าง” เจ้าปกครองเมืองมองไปทั่ว ๆ ครั้งก่อนเขาพลาดเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำ ซึ่งหากพูดกันตามตรงเขา

  • ท่านปันใจใยข้าต้องอาลัย   บทที่ 12 ไฟถูกจุดอีกครั้ง

    บทที่ 12 ไฟถูกจุดอีกครั้งเช้าวันถัดมา ท่านหมอถูกตามมายังเรือนของอนุหลี่ตั้งแต่นางยังไม่ทันจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และสาเหตุที่เร่งด่วนเช่นนี้ กลับไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงจง แต่เพราะ จางซี่ สาวใช้คนสนิทของหลี่เหลี่ยงหรง ที่รู้จักกับบุตรชายของท่านหมอเป็นการส่วนตัว นางจึงไปตามตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จางซี่ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ราวกับหญิงสาวป่วยหนักเป็นมารดาหรือน้องสาวของตนเองแม้ทั้งสองจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จางซี่จึงเต็มใจรับใช้อนุหลี่อย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางมีโอกาสเลือกนายได้ตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยยอมรับใช้ใคร ด้วยสถานะที่เป็นหลานสาวของแม่นมเก่าในจวน หลายคนยังเกรงใจนางอยู่บ้าง“เจ้านี่ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าใคร”บุตรชายท่านหมอหัวเราะเบา ๆ กล่าวอย่างสนิทสนมเพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และยิ่งทำให้หลี่เหลี่ยงหรงมั่นใจว่าจางซี่เลือกคนมาถูกจริง เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรเสร็จ กลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “แปลกยิ่งนัก…”จางซี่ถึงกับรีบทรุดตัวลงข้างเตียง“แปลกเช่นไรหรือเจ้าคะ”หลี่เหลี่ยงหรงที่นั่งพิงหมอนอยู่ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ“ชีพจรสับสน

  • ท่านปันใจใยข้าต้องอาลัย   บทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้น

    บทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้นหลังจากจางซี่ออกไปหลี่เหลียงหรงก็เอ่ยถามเรื่องของรับขวัญกับหลิงจง หลี่เหลี่ยงหรงที่ลังเลมาหลายวัน นางจะคุยเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที“จะว่าไป… วันที่ข้าเข้ามาในจวน มีหีบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตั๋วเงิน เขียนว่าเป็นของรับขวัญข้า”หลิงจงที่นั่งพิงเสาอยู่เงยตามองนาง “นั่นเป็นของที่แม่ข้าเตรียมไว้ให้”“มารดาของท่านหรือ…”“นางไม่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นใครคนนำมาให้”“เจ้าเป็นบุตรีของอาจารย์จริงหรือ ช่างโง่ยิ่งนัก”หลี่เหลี่ยงหรงเม้มปากแน่น “ข้าก็แค่อยากจะคืน ของพวกนั้นมีค่ามากเกินไป”“แม่ข้าตั้งใจจะให้สะใภ้คนแรก ในเมื่อเป็นเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับเบา ๆหลิงจงจ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่” “เจ้าค่ะ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนถามคำตอบคำเช่นนี้นี่นา” “ข้าก็เป็นเช่นนี้” นางตอบอย่างแผ่วเบา ความทรงจำในอดีตหวนกลับมา นางเคยมีความฝัน เคยหัวเราะ เคยเพ้อฝันถึงวันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้นางเหมือนคนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีเข็มทิศนำทาง ปล่อย

  • ท่านปันใจใยข้าต้องอาลัย   บทที่ 10 ไฟในจวน

    บทที่ 10 ไฟในจวนกลางดึกคืนนั้น หลิงจงมาถึงเรือนของหลี่เหลี่ยงหรง เงาโคมสว่างเพียงริบหรี่เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า บนหลังเต็มไปด้วยรอยหวายแดงจางและแผลเปิด“นายหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ จะให้ปลุกไหมเจ้าคะ” จางซี่ถามเสียงเบา หลิงจงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ปลุกนางไปก็ทำอะไรไม่ได้”คำพูดที่ไม่ใส่ใจทำให้จางซี่โกรธนายน้อยของตน แต่เมื่อเขายื่นยารักษาให้ สีหน้าโกรธเคืองของจางซี่ก็อ่อนลงวันถัดมาหน้าตาของหลิงจงดูจะหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้บิดาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยต้องเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ“เจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”“ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อจะสนใจอะไร” “เจ้าเพิ่งแต่งเมียมีรึจะอารมณ์ไม่ดี”“ก็เพราะข้าเพิ่งแต่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ใครเอาหวายลงหลังนางจนได้ไข้” แม้คำพูดจะลอย ๆ แต่กลับทำให้ฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กกน้อย เพราะนางไม่คิดว่าหลิงจงจะเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าบิดาของตน“เจ้าดูจะหลงนางไม่ใช่น้อยเลยนะ อย่าลืมนะว่านางเป็นเพียงอนุของเจ้า” หลิงจงหัวเราะหยัน “คำพูดเช่นนี้ของท่านพ่อข้าจะเชื่อได้หรือ ตอนจวนแทบลุกเป็นไฟเพราะท่านรักภรรยาไม่เท่ากัน ข้ายังจำได้อยู่เลย” หลิงจงเอ่ยอย่างขำขันเพราะบ

  • ท่านปันใจใยข้าต้องอาลัย   บทที่ 9 ข้อหาที่ไม่อาจปฏิเสธ

    บทที่ 9 ข้อหาที่ไม่อาจปฏิเสธ“เจ้าหมายความว่าหลังจากข้าถูกปล่อยตัวมาเป็นหลานสาวของฮูหยินใหญ่หรือที่ถูกนำตัวไปบูชายันแทน” “เจ้าค่ะ แม้จะเป็นหลานห่าง ๆ แต่เพราะบิดามารดาของคุณหนูคนนั้นโทษฮูหยินใหญ่ นางก็เลยพาลโกรธเคืองมาโลงที่นายหญิง”เหลี่ยงหรงถอนหายใจยาว “เรื่องบูชายัญไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก…”“นายน้อยเองก็เคยบ่นกับแม่นมเจ้าค่ะ ว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ยอมจัดการที่สาเหตุ”หลี่เหลี่ยงหรงเผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน เพราะแม้จะผ่านเรื่องร้ายแรงมาเพียงใด หลิงจงก็ยังเป็นคนที่นางเคยแอบชอบอยู่วันยันค่ำ“อนุหลี่ อนุหลี่เจ้าคะ” เสียงของสาวใช้ที่ดังที่หน้าเรือนทำให้หลี่เหลี่ยงหรงขมวดคิ้ว ถ้ามีคนมาตามเช่นนี้คงมีเรื่องไม่ดีนัก“ฮูหยินให้มาตามท่านไปเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้าข้าก็เพิ่งไปมา เรื่องเร่งด่วนหรือ”“ข้ามิรู้เจ้าค่ะ แค่ฮูหยินสั่งให้ท่านไป ท่านก็ควรไปมิใช่หรือเจ้าคะ”“นี่เจ้า” จางซี่ที่เห็นอีกฝ่ายหมายใจจะกลั่นแกล้งนายหญิงตนก็คิดจะเข้าสู้ กำลังจะโต้กลับ แต่หลี่เหลี่ยงหรงยกมือห้าม“สักครู่ข้าจะตามไป”“ต้องไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เหลี่ยงหรงถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรอเสียตรงนี้” “ให้ข้าไปด้วยไหมเจ้าคะน

  • ท่านปันใจใยข้าต้องอาลัย   บทที่ 8 เรือนใหม่และเงาของจวน

    บทที่ 8 เรือนใหม่และเงาของจวน“กดตัวเองจนชินแล้วหรือ”เสียงเย็นของหลิงจงดังขึ้นจากด้านหลัง หลี่เหลี่ยงหรงไม่แม้แต่จะหันมอง ไม่ตอบ ไม่ปริปากสักคำ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นนางไม่เคยพูดกับเขาให้รู้เรื่องอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องนางยังไม่ปริปากพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่องสักคำ“นายน้อยเข้าไปในเรือนเถอะเจ้าค่ะ” จางซี่เอ่ยเชิญ แต่หลี่เหลี่ยงหรงเพียงเดินไปยังเรือนใหม่ที่จัดไว้ให้ตนเอง สีหน้าเรียบนิ่งจนไม่อาจอ่านออก“เรือนนี้ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน แต่ก็ดูไม่เก่าเลยนะ” หลิงจงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แต่จางซี่กลับรีบตอบ “ที่จริงก็เก่าเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานข้าพาคนที่เรือนของนายน้อยมาทำความสะอาด ลำพังข้าคนเดียวคงทำไม่ไหว”หลิงจงหัวเราะหึในลำคอ“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฮูหยินของท่านพ่อมิเจียดแบ่งอะไรมาให้เลย เอาเงินนี่ไปหาอะไรมาเอานี่ไปตกแต่งเรือนให้นาง อย่าให้เสียหน้า ข้าไม่อยากให้ใครพูดว่าอนุของข้าต้องอยู่เรือนโทรม“ เขาล้วงเงินออกมายื่นให้จางซี่เร่งเข้าไปรับเงินนั้นแต่หลี่เหลี่ยงหรงรีบห้ามนางเอาไว้“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ลำบากกว่านี้ข้าก็เคย มิจำเป็นต้องวุ่นวาย” หลิงจงก้าวเข้าใกล้จนหญิงสาวต้องเงยหน้ามอง “ใครบอกว่า

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status