Masukบทที่ 2 เศษจานและหัวใจ
เพล้ง เสียงจานตกกระแทกพื้นกระเบื้องเก่า ๆ ก่อนที่ขนมเฉียวกั่วจะตกกระจายพื้นเต็มพื้น
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” หลิงจงเอ่ยเมื่อมือที่เขายกขึ้นอย่างรำคาญใจกลับปัดขนมที่หลี่เหลี่ยงหรงบุตรสาวของอาจารย์ชายหนุ่มนำมาให้
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หลี่เหลี่ยงหรงฝืนยิ้มเหมือนกับไม่เป็นอะไร ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นและค่อย ๆ เก็บเอาขนมที่นางอุตส่าห์ตั้งใจทำทิ้ง
เพราะเห็นว่าใกล้เทศกาลซีซี และคนที่หมายปองก็มาถึงเรือนจึงเร่งเอาขนมเฉียวกั่วออกมาต้อนรับ แต่อีกฝ่ายคงไม่สนใจขนมถูก ๆ เช่นนี้ หรือไม่ก็ไม่อยากรับของที่สื่อความหมายจากนาง
“อย่าทำท่าทางสำออยเช่นนั้น ทำเหมือนกับข้าเป็นคนผิดทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าที่ผิด เจ้าไม่ควรยัดเยียดของเช่นนี้ให้กับคนอื่นโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ จำเอาไว้ว่าข้าไม่ได้อยากได้ของไร้ค่าเช่นนี้จากเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
หลี่เหลี่ยงหรงไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับไปนางทำเพียงแค่เก็บขนมที่พื้นไปเงียบ ๆ ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งรออาจารย์ของตนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทางด้านนาง แม้จะพยายามรีบเก็บเศษจานกระเบื้องที่แตกและเศษขนมที่กระจายแต่มันก็ทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางคิดถึงมูลค่าของขนมเหล่านี้
แต่ต่อให้นางเจียดเงินที่มีน้อยไปซื้อส่วนผสมมาก็จะปล่อยทิ้งให้กระจายเลาะเทอะอยู่ที่ห้องโถงเช่นนี้ไม่ได้ เพราะบิดาของนางใช้สถานที่แห่งนี้สอนศิษย์ด้วย แค่เรือนเก่าคร่ำคร่าก็แย่พอแล้ว หากยังมีคราบอะไรเปรอะเปื้อน ศักดิ์ศรีของบิดาของนางคงยิ่งเสื่อมถอย
แต่ระหว่างที่หลี่เหลี่ยงหรงกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบขนมชิ้นสุดท้ายที่อยู่ห่างออกไป ฝ่าเท้าของหลิงจงก็เหยีบลงไปที่ขนมชิ้นนั้นต่อหน้าต่อตา เขาไม่ได้เหลียวมองนางที่ชะงักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มเพียงแค่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและรำคาญใจก่อนจะเดินจากไป
“ฝากบอกอาจารย์ด้วยว่าข้าแวะมาหา”
“เจ้าค่ะ” หลี่เหลี่ยงหรงเอ่ยตอบรับเสียงแผ่ว หัวใจของนางแหลกสลายเฉกเช่นเดียวกันกับขนมที่ถูกเหยียบย่ำ แต่นางก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก และก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แม้จะเจ็บปวดที่ถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาราวกับนางเป็นสิ่งไร้ค่าไร้ราคา แต่นางก็เคยชินไปเสียแล้ว
เพราะทุกอย่างมันผิดที่นางเอกที่ดันไปมีใจให้กับคนที่นางไม่คู่ควร
หลี่เหลี่ยงหรงมองไปยังเงาหลังของหลิงจงที่เดินห่างออกไป เขาที่อยู่ใต้แสงแดดช่างดูสง่างามต่างกับนางที่อยู่ท่ามกลางห้องโถงที่อับชื้นเพราะฝุ่นและขาดการบำรุงรักษา
มือที่จับเก็บจานกระเบื้องเผลอกำแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่นางเข้าหาบุตรชายคนเดียวของเจ้าปกครองเมือง ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายล้วนแสดงท่าทางหลบเลี่ยงนางอยู่ตลอดเวลา ไม่ทำท่าทางที่เย็นชาเหมือนกับไม่พอใจใส่ก็ เอ่ยวาจาตัดรอน
เป็นนางที่ผิดที่เอ่ยความในใจไปไม่ระวัง แล้วอีกฝ่ายก็มาได้ยินเข้า พอรู้ว่าหลิงจงรู้แทนที่นางจะหลบเลี่ยงกลับยิ่งเข้าหา ทำให้เขารังเกียจ
“โอ๊ย...” ดวงตาที่เริ่มมีน้ำซึมหันกลับมามองหยดเลือดที่ไหลออกมานิ้วมือ แม้มือจะเจ็บแต่ในใจของหลี่เหลี่ยงหรงกลับเจ็บยิ่งกว่า นางปล่อยน้ำตาที่กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากออกแม้
นางไม่มีสิทธิ์ที่จะให้ผู้ใดเห็นว่านางเจ็บปวดจากการกระทำของเขา แต่เมื่อตอนนี้เป็นความเจ็บที่ร่างกายก็ไม่จำเป็นต้องฝืนอีกต่อไป
มือที่มีรอยเลือดถูกขยับให้แน่นขึ้นนิด พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้ง ๆ ที่บอกกับตัวเองเสมอว่าสักวันเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่แววตาที่มองนางนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
“หรงเอ๋อร์ลูก เจ้าเป็นอะไร” นางหันไปมองบิดา ก่อนจะแบะปากร้องไห้ออกมา “ท่านพ่อข้าขอโทษข้าทำจานใบโปรดท่านแตกเสียแล้ว”
“ช่างเถอะลูกจานแตกแล้วก็แตกไป แต่มือของเจ้าเนี่ย มาให้พ่อทำแผลให้ก่อนดีกว่า แล้วนี่ไปทำอย่างไรเข้าถึงได้ถูกบาดลึกเช่นนี้”
“ข้าไม่ระวังเองเจ้าค่ะ เลยทำให้ตนเองเจ็บ” คำพูดนั้นไม่ได้โกหกเลยแม้เพียงนิด เพราะนางไม่ระวังคาดหวังกับเรื่องความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง จึงได้เจ็บปวดเช่นนี้
หลี่เหลี่ยงหรงมองบิดาที่กำลังทำแผลให้ตน นางไม่อาจจะเอ่ยบอกได้ว่าหลิงจงแวะมาไม่เช่นนั้นบิดาของนางคงรู้เป็นแน่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขา
“เมื่อครู่พ่อเจอกับคุณชายหลิงจง เขาบอกว่ากำลังจะมาหาพ่อแต่เจอเข้าพอดี”
“หรือเจ้าคะ” คนมีอายุลอบดูอาการบุตรสาว ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ท่านพ่อมิต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้ามิเจ็บ”
“ตัวข้ารู้ว่าเจ้าไม่เจ็บแต่ใจเล่า” หลี่เหลียงหรงสบตาบิดา ก่อนจะตอบไปตรง ๆ
“ข้าไม่เจ็บเจ้าค่ะ ว่าแต่เขามาบอกอะไรท่านพ่อหรือเจ้าคะ”
“ช่วงนี้เกิดภัยพิบัติบ่อย เจ้าปกครองเมืองก็เลยเรียกหาเหล่าบัณฑิตไปชุนนุมเพื่อหาวิธีแก้ไข”
“ท่านพ่อจะต้องคิดวิธีดี ๆ ได้แน่เจ้าค่ะ” คนเป็นพ่อสีหน้าหมองลง ต่อให้เขาจะมีวิธีดี ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครฟังบัณฑิตแก่ ๆ คนนี้หรือไม่
บทที่ 13 ลุกเป็นไฟหลี่เหลียงหรงที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วเดินตามออกมา ด้านนอกมีสาวใช้บางคนถูกเฆี่ยนอยู่ นางเห็นแล้วก็นึกตกใจกลัวไม่น้อย เพราะไม่เคยเห็นหลิงจงมีอาการเช่นนั้นข่าวการสอบสวนดังไปถึงเรือนหลัก จนเจ้าปกครองเมืองต้องมาดูด้วยตนเองเขารู้ดีว่าบุตรชายตนแม้เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องไร้เหตุผล หากเขาโมโหขนาดนี้ ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ไม่ทันถึงหน้าเรือน บุตรชายของท่านหมอก็นำจดหมายของบิดามาถวายให้เจ้าปกครองเมืองเมื่ออ่านข้อความจนจบ มือที่เหี่ยวย่นถึงกับสั่น “บังอาจนัก! สายเลือดตระกูลข้าก็กล้าลอบสังหารหรือ! ต่อให้เป็นบุตรของสตรีใด หากสืบเชื้อสายมังกรจากตระกูลหลิง ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะไม่ปล่อยให้รอดเด็ดขาด!“หลิงจงสอบสวนอยู่ที่ไหน”“หน้าเรือนของอนุหลี่ขอรับ”“นำข้าไป”เจ้าปกครองเมืองก็ปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเดือดดาลไม่แพ้หลิงจงเลยแม้แต่นิดคำพูดยังไม่ทันขาดเสียง ก็มีเสียงตวาดดังลั่นจากหน้าเรือน“ข้าจะไม่พูดอะไรมาก เรื่องเช่นนี้ครั้งก่อนเกิด พวกเจ้าจำไม่ได้รึว่ามีใครต้องตายบ้าง” เจ้าปกครองเมืองมองไปทั่ว ๆ ครั้งก่อนเขาพลาดเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำ ซึ่งหากพูดกันตามตรงเขา
บทที่ 12 ไฟถูกจุดอีกครั้งเช้าวันถัดมา ท่านหมอถูกตามมายังเรือนของอนุหลี่ตั้งแต่นางยังไม่ทันจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และสาเหตุที่เร่งด่วนเช่นนี้ กลับไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงจง แต่เพราะ จางซี่ สาวใช้คนสนิทของหลี่เหลี่ยงหรง ที่รู้จักกับบุตรชายของท่านหมอเป็นการส่วนตัว นางจึงไปตามตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จางซี่ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ราวกับหญิงสาวป่วยหนักเป็นมารดาหรือน้องสาวของตนเองแม้ทั้งสองจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จางซี่จึงเต็มใจรับใช้อนุหลี่อย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางมีโอกาสเลือกนายได้ตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยยอมรับใช้ใคร ด้วยสถานะที่เป็นหลานสาวของแม่นมเก่าในจวน หลายคนยังเกรงใจนางอยู่บ้าง“เจ้านี่ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าใคร”บุตรชายท่านหมอหัวเราะเบา ๆ กล่าวอย่างสนิทสนมเพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และยิ่งทำให้หลี่เหลี่ยงหรงมั่นใจว่าจางซี่เลือกคนมาถูกจริง เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรเสร็จ กลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “แปลกยิ่งนัก…”จางซี่ถึงกับรีบทรุดตัวลงข้างเตียง“แปลกเช่นไรหรือเจ้าคะ”หลี่เหลี่ยงหรงที่นั่งพิงหมอนอยู่ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ“ชีพจรสับสน
บทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้นหลังจากจางซี่ออกไปหลี่เหลียงหรงก็เอ่ยถามเรื่องของรับขวัญกับหลิงจง หลี่เหลี่ยงหรงที่ลังเลมาหลายวัน นางจะคุยเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที“จะว่าไป… วันที่ข้าเข้ามาในจวน มีหีบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตั๋วเงิน เขียนว่าเป็นของรับขวัญข้า”หลิงจงที่นั่งพิงเสาอยู่เงยตามองนาง “นั่นเป็นของที่แม่ข้าเตรียมไว้ให้”“มารดาของท่านหรือ…”“นางไม่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นใครคนนำมาให้”“เจ้าเป็นบุตรีของอาจารย์จริงหรือ ช่างโง่ยิ่งนัก”หลี่เหลี่ยงหรงเม้มปากแน่น “ข้าก็แค่อยากจะคืน ของพวกนั้นมีค่ามากเกินไป”“แม่ข้าตั้งใจจะให้สะใภ้คนแรก ในเมื่อเป็นเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับเบา ๆหลิงจงจ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่” “เจ้าค่ะ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนถามคำตอบคำเช่นนี้นี่นา” “ข้าก็เป็นเช่นนี้” นางตอบอย่างแผ่วเบา ความทรงจำในอดีตหวนกลับมา นางเคยมีความฝัน เคยหัวเราะ เคยเพ้อฝันถึงวันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้นางเหมือนคนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีเข็มทิศนำทาง ปล่อย
บทที่ 10 ไฟในจวนกลางดึกคืนนั้น หลิงจงมาถึงเรือนของหลี่เหลี่ยงหรง เงาโคมสว่างเพียงริบหรี่เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า บนหลังเต็มไปด้วยรอยหวายแดงจางและแผลเปิด“นายหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ จะให้ปลุกไหมเจ้าคะ” จางซี่ถามเสียงเบา หลิงจงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ปลุกนางไปก็ทำอะไรไม่ได้”คำพูดที่ไม่ใส่ใจทำให้จางซี่โกรธนายน้อยของตน แต่เมื่อเขายื่นยารักษาให้ สีหน้าโกรธเคืองของจางซี่ก็อ่อนลงวันถัดมาหน้าตาของหลิงจงดูจะหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้บิดาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยต้องเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ“เจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”“ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อจะสนใจอะไร” “เจ้าเพิ่งแต่งเมียมีรึจะอารมณ์ไม่ดี”“ก็เพราะข้าเพิ่งแต่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ใครเอาหวายลงหลังนางจนได้ไข้” แม้คำพูดจะลอย ๆ แต่กลับทำให้ฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กกน้อย เพราะนางไม่คิดว่าหลิงจงจะเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าบิดาของตน“เจ้าดูจะหลงนางไม่ใช่น้อยเลยนะ อย่าลืมนะว่านางเป็นเพียงอนุของเจ้า” หลิงจงหัวเราะหยัน “คำพูดเช่นนี้ของท่านพ่อข้าจะเชื่อได้หรือ ตอนจวนแทบลุกเป็นไฟเพราะท่านรักภรรยาไม่เท่ากัน ข้ายังจำได้อยู่เลย” หลิงจงเอ่ยอย่างขำขันเพราะบ
บทที่ 9 ข้อหาที่ไม่อาจปฏิเสธ“เจ้าหมายความว่าหลังจากข้าถูกปล่อยตัวมาเป็นหลานสาวของฮูหยินใหญ่หรือที่ถูกนำตัวไปบูชายันแทน” “เจ้าค่ะ แม้จะเป็นหลานห่าง ๆ แต่เพราะบิดามารดาของคุณหนูคนนั้นโทษฮูหยินใหญ่ นางก็เลยพาลโกรธเคืองมาโลงที่นายหญิง”เหลี่ยงหรงถอนหายใจยาว “เรื่องบูชายัญไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก…”“นายน้อยเองก็เคยบ่นกับแม่นมเจ้าค่ะ ว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ยอมจัดการที่สาเหตุ”หลี่เหลี่ยงหรงเผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน เพราะแม้จะผ่านเรื่องร้ายแรงมาเพียงใด หลิงจงก็ยังเป็นคนที่นางเคยแอบชอบอยู่วันยันค่ำ“อนุหลี่ อนุหลี่เจ้าคะ” เสียงของสาวใช้ที่ดังที่หน้าเรือนทำให้หลี่เหลี่ยงหรงขมวดคิ้ว ถ้ามีคนมาตามเช่นนี้คงมีเรื่องไม่ดีนัก“ฮูหยินให้มาตามท่านไปเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้าข้าก็เพิ่งไปมา เรื่องเร่งด่วนหรือ”“ข้ามิรู้เจ้าค่ะ แค่ฮูหยินสั่งให้ท่านไป ท่านก็ควรไปมิใช่หรือเจ้าคะ”“นี่เจ้า” จางซี่ที่เห็นอีกฝ่ายหมายใจจะกลั่นแกล้งนายหญิงตนก็คิดจะเข้าสู้ กำลังจะโต้กลับ แต่หลี่เหลี่ยงหรงยกมือห้าม“สักครู่ข้าจะตามไป”“ต้องไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เหลี่ยงหรงถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรอเสียตรงนี้” “ให้ข้าไปด้วยไหมเจ้าคะน
บทที่ 8 เรือนใหม่และเงาของจวน“กดตัวเองจนชินแล้วหรือ”เสียงเย็นของหลิงจงดังขึ้นจากด้านหลัง หลี่เหลี่ยงหรงไม่แม้แต่จะหันมอง ไม่ตอบ ไม่ปริปากสักคำ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นนางไม่เคยพูดกับเขาให้รู้เรื่องอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องนางยังไม่ปริปากพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่องสักคำ“นายน้อยเข้าไปในเรือนเถอะเจ้าค่ะ” จางซี่เอ่ยเชิญ แต่หลี่เหลี่ยงหรงเพียงเดินไปยังเรือนใหม่ที่จัดไว้ให้ตนเอง สีหน้าเรียบนิ่งจนไม่อาจอ่านออก“เรือนนี้ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน แต่ก็ดูไม่เก่าเลยนะ” หลิงจงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แต่จางซี่กลับรีบตอบ “ที่จริงก็เก่าเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานข้าพาคนที่เรือนของนายน้อยมาทำความสะอาด ลำพังข้าคนเดียวคงทำไม่ไหว”หลิงจงหัวเราะหึในลำคอ“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฮูหยินของท่านพ่อมิเจียดแบ่งอะไรมาให้เลย เอาเงินนี่ไปหาอะไรมาเอานี่ไปตกแต่งเรือนให้นาง อย่าให้เสียหน้า ข้าไม่อยากให้ใครพูดว่าอนุของข้าต้องอยู่เรือนโทรม“ เขาล้วงเงินออกมายื่นให้จางซี่เร่งเข้าไปรับเงินนั้นแต่หลี่เหลี่ยงหรงรีบห้ามนางเอาไว้“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ลำบากกว่านี้ข้าก็เคย มิจำเป็นต้องวุ่นวาย” หลิงจงก้าวเข้าใกล้จนหญิงสาวต้องเงยหน้ามอง “ใครบอกว่า




![ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [นางร้าย]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


