เข้าสู่ระบบเมื่อตัดสินใจจะต้องขึ้นเขาและได้ถามชาวบ้านว่าภูเขาด้านหลังหมู่บ้านหากขึ้นไปหาของป่าจะอันตรายหรือไม่ก็ได้คำตอบกลับมา ภูเขาหลังหมู่บ้านมีชื่อว่า ซีอัน มีความหมายว่ามีต้นไม้ใหญ่คอยคุ้มครอง ถ้าไปทางทิศเหนือจะเป็นป่าโปร่งมักมีชาวบ้านเข้าไปเก็บของป่าเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอเป็นประจำอยู่แล้ว หากไปทางทิศใต้จะมีสัตว์ป่าดุร้ายอาศัยชุกชุมกว่าทางเหนือ หมีดำ หมูป่า พยัคฆ์ร้าย และอีกมากมายนานาประการ สัตว์พวกนี้เรียกได้ว่าพบเห็นง่ายมากเสียจนแม้แต่ชาวบ้านซึ่งชำนาญเส้นทางยังขยาดไม่อยากเบฉียดใกล้
นางยึดเอาตามคำชาวบ้าน เดินลัดเลาะขึ้นไปบนเขาซีอันทางทิศเหนือ แม้ไม่ค่อยมั่นใจนัดว่าจะได้เจอเจ้าเห็ดหลินจือราคาแสนแพงนั่นหรือไม่แต่อย่างน้อยลองขึ้นไปก่อนเผื่อมีโอกาสเจอย่อมดีกว่านั่งรอวาสนาจนเสียเวลาไปเปล่าๆและเรื่องรอวาสนาอย่างได้หวังเลย
ทีนางเอกนิยายยังเก็บกันมาได้เป็นกระบุงเลย ภูเขาลูกใหญ่กว้างไกลไพศาลเพียงนี้จะไม่มีหลุดมาให้เจอสักดอกเลยหรืออย่างไร เซียวอันหนิงมองพื้นที่ซึ่งเป็นป่าโปร่งเบื้องหน้าพลางกำหมัดแน่น ได้เวลาใช้เรี่ยวแรงเสียที!
ร่างบางก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ราวหนึ่งก้านธูป (หนึ่งชั่วโมง) ทว่าก็ยังไม่เจอเจ้าเห็ดหลินจือเลยแม้แต่ดอกเดียวอีกทั้งตอนนี้นางเองก็เริ่มร้อนมากแล้วด้วย สิ่งนี้ทำเอาสงสัยว่าเจ้าเห็ดนั่นไปโผล่ที่นิยายเรื่องอื่นหมดแล้วใช่หรือไม่ถึงได้ไม่โผล่มาให้เห็นเลยสักดอกเช่นนี้ บอกแล้วเรื่องโชคลาบนี่ช่างห่างไกลจากนางเสียจริง
แต่นางไม่ยอมหรอก!
เซียวอันหนิงอดทนต่อการหาของป่าราคาสูงต่อไปจนกระทั่งถึงยามอู่ (เวลา 11:00 – 12:59 น.) ตอนนี้แผ่นหลังปวดร้าวไปหมดเสียจนต้องขอถอนตัวกลางคัน ทว่าขณะกำลังจะถอยกลับไปตั้งหลักนางกลับเหลือบไปเห็นชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หน้าตาซีดเผือดไร้สีเลือด สำรวจคร่าว ๆ พบว่าเนื้อตัวไม่ได้บาดเจ็บอะไรคงแค่หน้ามืดตามช่วงวัยซึ่งไม่ควรออกแรงมาก มือเรียวกระชับสายสะพายกระบุงเล็กน้อย ตัดสินใจเดินเข้าไปหา เผื่อว่ามีเรื่องไหนให้ช่วยได้
“ท่านตาเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
ชายชราเหลือบตามองตามเสียงใส พลันเห็นหญิงสาวผู้หนึ่ง หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรากำลังมองเขาด้วยแววตาสงสัย เขาส่ายหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหอบเล็กน้อย “ข้ามิได้เป็นอันใด แค่เวียนหัวนิดหน่อยเพียงเท่านั้น”
เซียวอันหนิงดูแล้วคิดว่าเขาเพียงหน้ามืดเท่านั้นจึงตั้งจิตเข้าไปในมิติ หยิบยาดมออกมาด้วยแล้วสอดไว้ในกระเป๋า แต่เมื่อลูบดูจึงรู้ว่ามันเป็นกระปุกแบบพลาสติกซึ่งไม่มีทางพบได้ในยุคสมัยนี้จึงขอตัวไปจัดการธุระสักเล็กน้อย นางเทสมุนไพรซึ่งเป็นส่วนผสมของยาดมออกมา หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาก่อนคลี่แล้วเอาไส้ยาดมเทลงไปก่อนผูกมันแน่น แบบนี้ดูเข้าท่ากว่ามาก
นางกลับมาหาชายชราแล้วยื่นก้อนผ้าเช็ดหน้าซึ่งมีสมุนไพรจากกระปุกยาดมอัดแน่นอยู่ส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม
“รับสิ่งนี้ไปเถิดท่านตา หากดมมันแล้วอาการเวียนหัวน่าจะดีขึ้น ที่ท่านเป็นเช่นนี้คงเพราะเวียนหัว ดมสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ชายชรามองสิ่งที่หญิงสาวยื่นมาให้ ก็แสดงสีหน้าแปลกใจเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยปกติแล้วยารักษาของที่นี่มักเป็นรูปแบบของน้ำหรือถ้าเป็นแบบควันก็มักเป็นสิ่งที่ซื้อขายกันในบ้านที่พอมีเงินสักหน่อย หากแต่ยาอันมีลักษณะให้สูดดมนั้นไม่มีเลย
“มันคือสิ่งใดรึ?”
“โปรดวางใจเถิดท่านตา รับรองมันช่วยท่านได้ ข้ามิหลอกลวงท่านเป็นแน่” ยังจะมาสงสัยอีก ยิ่งไม่รู้จะอธิบายอย่างไรอยู่ด้วย
ชายชราลังเลใจชั่วครู่ก็รับมาพร้อมกับสูดดมเข้าไป กลิ่นหอมเย็นเข้าสู่โสตประสาท แม้ไม่ได้หายเป็นปลิดทิ้งทว่าก็ดีขึ้นจริง ๆ มิใช่แค่กล่าวอ้างไปอย่างนั้น เขามองก้อนผ้าในมือกับสตรีปริศนาซึ่งมาโผล่อยู่กลางป่าโปร่งแล้วขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายทนความสงสัยไม่ไหวจึงถามไป
“สำหรับสิ่งนี้ข้าขอบใจเจ้ามาก เหตุใดถึงมาอยู่ตรงนี้ได้เล่า?”
“ข้าพลัดตกลงไปในแม่น้ำจนเป็นไข้ไปหลายวัน ครั้นตื่นขึ้นมาความทรงจำก็เลอะเลือนไป จำสิ่งใดมิได้เลย ตอนนี้จำได้เพียงชื่อตนเองเท่านั้น” เมื่อได้เจอคำถามสมองก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นด้วยยังมิวางใจในชายชราผู้นี้เท่าใดนัก
“อืม...แล้วเจ้าชื่ออะไร กำลังจะไปที่ใดเล่า?”
“ข้าชื่อเซียวอันหนิง ส่วนเรื่องจะไปที่ใดก็ยังมิรู้เหมือนกันเจ้าค่ะ เพราะตอนรู้สึกตัวก็มาอยู่หมู่บ้านนี้แล้ว”
แม้จะบอกว่าต้องไปเมืองหลวงก็ตาม แต่นั่นก็เป็นการตั้งเป้าหมายตามแบบที่นางเอกนิยายมักชอบตั้งกัน เมืองหลวงของที่นี่ต่อให้ไม่สุขสบายเท่าปัจจุบันแต่อย่างไรต้องเจริญกว่าอยู่แล้ว ไปที่นั่นอย่างน้อยก็สามารถตั้งตัวได้อย่างไม่ยากเย็นเนื่องจากมีลู่ทางมากกว่าหมู่บ้านชนบทแห่งนี้เป็นแน่
เซียวอันหนิงมีสีหน้าซับซ้อน ชายชรารับรู้ได้จึงตอบกลับ “ข้าแซ่เซียว ชื่อ ซื่อเหวิน”
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นท่าทางสนใจ ไม่คิดว่าจะเจอคนแซ่เดียวกันในยุคสมัยเช่นนี้จึงยกยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ หรือจะเป็นตระกูลของนางกันนะ พลางคิดอย่างตลก ๆ
“แล้วท่านตาเป็นคนหมู่บ้านนี้หรือเจ้าคะ”
เซียวเหวินส่ายหน้า เขาเพียงผ่านมาเท่านั้นแต่กลับหน้ามืดเสียนี่ “เปล่า...ข้าเป็นหมอ ชอบร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย ๆ และกำลังจะเดินทางเข้าเมืองหลวง”
เซียวอันหนิงฟังแล้วพลันสนใจขึ้นมา หากเขาบอกว่าเป็นหมอก็น่าจะพอดีกันกับที่นางมีสมุนไพรมากมายในมิติ มีเยอะจนใช้ไม่มีวันหมดหากแต่ไม่รู้ว่าต้องนำไปใช้กับอะไร ครั้นเห็นว่ามีหมอมายืนตรงหน้าจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ในยุคนี้หากไม่ได้เปิดโรงหมอเป็นกิจจะลักษณะก็มักร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย เช่นนี้แล้วเขาเป็นหมอเท้าเปล่าใช่หรือไม่ แต่อาชีพนี้จะเกิดขึ้นก็ตั้งปี 1930 ซึ่งไม่มีทางเป็นยุคสมัยนั้นได้อย่างแน่นอน
หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เจตนาชัดเจนว่าต้องการร่วมเดินทางไปพร้อมเขา “ท่านตา ท่านอยากได้ลูกศิษย์บ้างหรือไม่ ข้าเก่งหลายอย่างเลยนะเจ้าคะ หากยอมให้ติดตามท่าน รับรองว่าท่านจะไม่ลำบากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เซียวเหวินมองมาพร้อมสายตางุนงง ไม่ทันได้อ้าปากตอบ นางก็บอกเองเสร็จสรรพ “ดีใจยิ่งนัก ท่านมิปฏิเสธข้า เช่นนี้แล้วศิษย์ขอฝากตัวกับอาจารย์เซียวนะเจ้าคะ”
เซียวเหวินมีคำถามเต็มใบหน้าเขาไปตกปากรับคำตั้งแต่เมื่อใดกัน ตั้งแต่เป็นหมอมาจนป่านนี้เขาไม่มีศิษย์เลยสักคนเดียวอีกทั้งยังเดินท่องเที่ยวรักษาผู้คนไปทั่วดินแดนจึงเหงาไม่น้อย แม้จะงุนงงอยู่บ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าการมีศิษย์มาร่วมเดินทางไปกับตนทำให้คลายเหงาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทางด้านเซียวอันหนิงยิ้มร่า รีบหาทางเกาะติดเขาไปเมื่อหลวงด้วยโดยทันที
“อาจารย์ ข้าจะไปเมืองหลวงกับท่านด้วย”
เซียวเหวินพยักหน้ารับท่าทางงุนงงทว่าไม่ได้ต่อว่าอะไร “ย่อมเป็นเช่นนั้น ก็เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้วนี่นะ...?”
“แล้วเมืองหลวงมันห่างไกลจากที่นี่มากหรือไม่ ท่านอาจารย์”
“หากเดินเท้าก็น่าจะประมาณหนึ่งเดือน”
“ฮะ! ไกลขนาดนั้นเชียวหรือ?”
นางมีสีหน้ายุ่งยากทันที ไม่คิดว่าจะต้องเดินทางรอนแรมเป็นเดือนขนาดนั้น ทว่าก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เนื่องจากนางมาจากยุคสมัยที่การเดินทางเร็วไวไปหมด ขนาดว่าอยู่ห่างคนละซีกโลกก็ยังไม่ใช้เวลานานเกินกว่าสองวันเลย ทางเซียวเหวินเห็นแบบนั้นพลันอดหมั่นไส้ไม่ได้ ไม่ทันได้เดินทางก็ยังอิดออดเสียแล้ว
“แล้วเจ้าจะไปหรือไม่ หากไม่ก็อยู่หมู่บ้านนี้ไปเสีย”
เซียวอันหนิงถอนหายใจก่อนบอกไป น้ำเสียงสื่อชัดว่าเหนื่อยล้าทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเดินทางเสียด้วยซ้ำ
“ไปสิเจ้าคะ แหม...ข้าเพียงแค่เอ่ยนิดเดียวเอง”
นางรอจนชายชราอาการดีขึ้นถึงได้เริ่มเดินทางกัน ยามเจอสมุนไพรเขาก็มักหันมาสั่งสอนบอกสรรพคุณแก่นาง ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์และโทษรวมไปถึงการนำไปทำเรื่องซุกซนอย่างการวางยาพิษคนเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งหากมองให้ดีก็จะทราบว่าเขาบอกไว้เผื่อในอนาคตนางมีเหตุให้ต้องป้องกันตัว ความรู้พวกนี้ย่อมช่วยได้มากทีเดียว
เซียวอันหนิงก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง เข้าใจบ้างเป็นบางครั้งด้วยไม่เคยมีพื้นฐานความรู้ในด้านสักเพียงนิด
พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาด้วยกันจนเข้าวันที่ห้า ทว่าเสียงแหวกอากาศด้านหน้าทำให้หญิงสาวรีบดึงมือชายชราหลบหลังต้นไม้ทันที
ทั้งสองค่อย ๆ ขยับตัวไปตามแนวพุ่มไม้จนกระทั่งเห็นบุรุษในชุดสีดำปิดบังทั้งตัวไม่เห็นกระทั่งใบหน้าชัดเจนกำลังยืนหยัดต่อสู้เพียงลำพัง เบื้องหน้าเขามีศัตรูนับสิบรุมล้อมหมายทำร้ายเอาชีวิต นางกับอาจารย์นั่งมองทักษะการต่อสู้อันดุดันดังพยัคฆ์กันอย่างสนใจ ดูท่าแล้วคงตึงมือไม่น้อยทว่าสุดท้ายก็ถูกพลาดท่าโดนฟันไปหลายแผล แม้กระนั้นก็ยังต้านทานรับความเจ็บปวดแล้วไล่จัดการสังหารฝ่ายตรงข้ามนับสิบคนจนหมดสิ้น
ร่างที่ถูกสังหารร่วงกระทบพื้นจากการต่อสู้ราวกับใบไม้ร่วง ทว่าทางด้านบุรุษชุดดำเองก็ดูสาหัสไม่น้อยทำเอาเซียวอันหนิงหันไปมองเชายชราด้วยท่าทางลังเลใจ บุรุษผู้นั้นอันตรายอย่างมากจากการต่อสู้ของเขา หากแต่ต่อมศีลธรรมของนางก็ช่างสั่นไหวเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มโอนเอนไปมา
“อาจารย์ พวกเราควรเข้าไปดูไหมว่าเขาตายหรือไม่?” เมื่อพลั้งปากไปแล้วถึงได้มารู้สึกตัว ว่าทำไมต้องมาแส่เรื่องคนอื่นด้วยก็ไม่รู้
ร่างบางหันมากระซิบกระซาบเพื่อขอความคิดเห็นจากอาจารย์
“เราเป็นหมอ เมื่อเจอผู้ได้รับบาดเจ็บต้องช่วยเหลือ ไปเถิด ลองเข้าไปดูเสียหน่อยให้แน่ใจ” ชายชราคาดว่าบุรุษผู้นั้นอาจจะยังมิเสียชีวิตก็เป็นได้
ภายในจวนตระกูลหลี่ บัดนี้เกิดความวุ่นวาย บ่าวไพร่ในจวนวิ่งเข้าออกเรือนฮูหยินน้อย นางปวดท้องคลอดตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง หมอทำคลอดถูกตามมาถึงสามคน พวกเขากำลังพยายามทำคลอดให้ฮูหยินน้อยด้วยความระมัดระวัง รู้ดีว่าห้ามเกิดความผิดพลาดโดยเด็ดขาด หากฮูหยินน้อยเป็นอะไรไป ทั้งสามชีวิตคงได้ปลิดปลิวตามไปด้วยอย่างแน่นอน “ฮูหยินท่านเบ่งอีกนิดเจ้าค่ะ” ร่างอุ้ยอ้ายกลั้นใจกดความเจ็บปวด เพิ่มลมหายใจเพื่อออกแรงจะคลอดให้ได้ ไม่คิดว่าการคลอดจะเจ็บปวดแทบขาดใจเช่นนี้ เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า เสียงหวานกรีดร้องด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเป็นระลอกยามมีการบีบตัวของช่องท้องและช่องคลอดจึงต้องผ่อนลมหายใจเป็นระยะ บ่าวในจวนวิ่งยกน้ำ คอยเอายาต้มมาเปลี่ยน เตรียมยกน้ำแกงนกพิราบเพื่อให้ฮูหยินน้อยซดจะได้มีเรี่ยวแรง หลี่จิ้งหานเดินไปมาด้วยความกังวล เสียงภรรยาร้องด้วยความเจ็บปวดดังหลายชั่วยามทำให้เจ็บปวดใจ นึกโทษตัวเองอย่างมากว่าไม่น่าคิดมีบุตรเลย ถ้าย้อนเวลาไปได้จะไม่ให้ภรรยาตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด หลี่ลี่ฮวาก็ไม่ต่างกัน นางเป็นห่วงสหาย ด้วยยุคนี้ความเจริญทางการแพทย์ต่ำมาก สตรีเสียชีวิตจากการตั้งครร
ภายในเรือนตอนนี้มีร่างของฮูหยินน้อยนอนทอดกายซีดเซียวอยู่ ด้วยอาเจียนมาตลอดหลายวันจึงต้องตามหมอมาดูอาการว่าเจ็บป่วบหรือไม่ เซียวอันหนิงรู้สึกว่าอาจตั้งครรภ์ก็เป็นได้ ประจำเดือนขาดไปสองเดือนแล้ว นางไม่ได้คุมกำเนิดมาสักพักแล้วและสามีก็มิเคยว่างเว้นต่อเรื่องนั้นเลยสักวัน จึงมีโอกาสจะตั้งครรภ์ได้สูงทีเดียว “ขอแสดงความยินดีกับท่านราชครูด้วย ฮูหยินตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว” หมอชราประจำตระกูลจับชีพจรฮูหยินน้อย พบว่าเป็นชีพจรมงคลแต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่ามีหนึ่งหรือสองคน คงต้องตรวจอีกครั้งเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ซึ่งหลี่จิ้งหานพอรู้แบบนั้นก็แทบถลาไปหาภรรยาด้วยความดีใจ “ให้รางวัลท่านหมอ ซุนจางส่งท่านหมอกลับจวน น้องหญิง เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้วนะ” โซ่ทองคล้องใจที่จะทำให้นางอยู่กับเขาตลอดไป ในที่สุดก็มาเสียที “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ดีใจมากหรือเจ้าคะ” “พี่ย่อมดีใจเพราะเป็นลูกของเราสองคน” เดิมทีหลี่จิ้งหานมิได้ต้องการมีบุตร แต่เมื่อยามนี้การมีบุตรคือพันธะอันทรงพลังเพียงอย่างเดียวซึ่งพอให้วางใจได้ว่านางจะไม่หนีหน้าหายไป เ
“ท่านพี่ ข้าว่าท่านอาจารย์ต้องรู้ว่าข้าไม่ใช่คนในยุคนี้ แล้วท่านอ้อนวอนอะไรหรือเจ้าคะ” หลี่จิ้งหานคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดในความฝัน ภาพก่อนสิ้นใจในโลกก่อน มีจิตใจมุ่งมั่นแต่จะตามหาเซียวอันหนิงจึงนำพานางมาหาเขาซึ่งเป็นการย้อนเวลามานับพันปีเลยทีเดียว “พี่ฝันถึงเรื่องหนึ่ง ในโลกที่จากมาเหมือนกับว่าจะชื่อฮ่าวหยวน หลังจากเสียชีวิตในโลกก่อนถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่ รูปลักษณ์ก็ไม่เหมือนเดิม เจ้าจึงจำพี่มิได้” “ท่านพี่ คือ รุ่นพี่ฮ่าวหยวนหรืือเจ้าครุ่นพี่ฮ่าวหยวนหรือเจ้ “ใช่ หลังจากโดนชนพี่ก็อ้อนวอนต่อสวรรค์ว่าถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ได้เจอเจ้าอีกครั้ง” “แล้วท่านพี่จำข้าไม่ได้หรือ ในเมื่อท่านพี่คือฮ่าวหยวน เราทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อน ไม่มีทางที่จะลืมไปได้ง่าย ๆ นะ” “ข้ามาเกิดใหม่ ไม่มีความทรงจำเดิมเหลืออยู่ แต่กลับรู้สึกรักเจ้าตั้งแรกเห็น หวงแหนจนแทบบ้า ก็เคยสงสัยว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้กับเจ้า” “เป็นเช่นนั้น ท่าน- ท่านบอกว่าตามหาข้าหรือ” “ใช่ พี่ตามหาเจ้ามาตลอด ตั้งแต่เจ้าจากไปก็ตามหาทุกที่แต่ไม่เจอ จนส
องค์ชายหม่าซานเปียวในนามพ่อค้ามารับของที่สั่งเอาไว้บริเวณหน้าร้านของเซียวอันหนิงเมื่อครบตามกำหนดสามวัน สินค้าทั้งหมดมีราว ๆ สองเกวียน มูลค่าถึงห้าพันตำลึงทองเลยทีเดียว “คุณชายนำสินค้ามากมายเหล่านี้ไปขายที่ใดหรือเจ้าคะ” เซียวอันหนิงถามเพราะสินค้าที่นำมามันเยอะจริง ๆ ด้วยเป็นสินค้าที่ขายให้เป็นสตรีเป็นส่วนใหญ่จึงยิ่งสงสัยอย่างสมุนไพรยังพอเข้าใจได้แต่พวกเครื่องหอมอื่นใดดูจะเกินความเข้าใจของนางไปมากทีเดียว “ข้ามีร้านค้ามากมาย สามารถเอาสินค้าไปลงได้ทุกที่ ถ้าสินค้าขายดีจะมาติดต่ออีกครั้ง” หม่าซานเปียวไม่ได้โกหก พระองค์มีร้านค้ามากมายในมือจริง ๆ ในแคว้นเหลียง สินค้าเพียงเท่านี้แจกจ่ายไปไม่นานก็มีที่ให้ขายแล้ว เซียวอันหนิงได้ยินเช่นนั้นมีหรือจะไม่ดีใจ นางรีบยิ้มให้เขาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ายินดีเสมอเจ้าค่ะ” องค์ชายหม่าซานเปียวเห็นแล้วยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าพระองค์ดึงดันคงเกิดการบาดหมางระหว่างสองแคว้น เมื่อสามีของนางเป็นราชครูที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องมองสีหน้า เสด็จพ่อก็คงไม่เห็นด้วยแน่นอนถึงนาง
หลังจากถูกแคว้นเหลียวปฏิเสธ องค์ชายครุ่นคิดถึงการไปเยือนแคว้นเหลียวอย่างเงียบ ๆ มีข่าวว่าสตรีผู้หนึ่งช่างเก่งกาจ สามารถรักษาคนป่วยได้ทุกโรค มีสมุนไพรมากมายเหมือนกับว่าใช้ไม่มีวันหมด นางแต่งงานกับท่านราชครูของแคว้นแต่ยังไม่มีบุตรธิดา ตอนนี้ร้านค้าที่นางเปิดก็รุ่งเรืองจนเป็นที่กล่าวขานจนสะพัดไกลถึงแคว้นเหลียง นั่นจึงยิ่งทำให้ต้องการรู้จักสตรีผู้นี้ยิ่งนักว่าจะเก่งกาจสมคำร่ำลือหรือไม่ เขาต้องการเห็นหน้านางสักครั้ง และการปฏิเสธครั้งนั้นก็เป็นความคิดของนางเช่นกัน ข้อความการต่อรองช่างฉลาดเสียจริง ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดความต้องการขององค์ชายได้ สตรีผู้นี้ช่างเก่งกล้าเสียจริง ร่างบางไปร้านค้าเฉกเช่นทุกวัน วันนี้ได้มากับซิ่วอี้เพียงสองคนเพื่อมาดูว่ามีสิ่งใดขายหมดไปแล้ว ชาดที่นำออกมาขายก็ขายดีเข่นกัน นางสอนคนดูแลเสมอให้จดจำว่าสีไหนเหมาะสมกับใบหน้าสตรีแบบใด เมื่อทาชาดออกมาแล้วจะยิ่งส่งให้ใบหน้าสตรีผู้นั้นงดงามยิ่งขึ้น สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะทำให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น ร่างสูงกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาสมกับเป็นราชนิกูล แต่งกายเหมือนคุณชายทั่วไปในเมืองหลวงนั่นก็คืออง
“รุ่นพี่คะ เอ่อ น้ำค่ะ เหนื่อยไหมคะ” “เมื่อไหร่คุณถึงจะเลิกตามตอแยผมเสียที ผมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบ” “รุ่นพี่โกรธเหรอคะ ขอโทษนะคะ ฉันแค่...เป็นห่วง” “ไม่ได้โกรธแต่รำคาญ เข้าใจไหม คุณมาตามตอแยผมสามปีแล้ว ถึงไม่มีใคร ผมก็ไม่มีทางชอบคุณ” ภาพในความฝันมีบุรุษและสตรียืนพูดคุยกัน แต่ชายผู้นั้นไม่ได้ชอบสตรีซึ่งคอยตามตอแย ภาพได้ตัดมาตอนสตรีผู้มีใบหน้าเหมือนกับภรรยาวิ่งร้องไห้ออกไปด้วยความเสียใจกับคำพูดทำลายน้ำใจ ต่อมาภาพตัดไปอีกครั้งกลายเป็นภาพของชายผู้นั้นเฝ้าตามหาสตรีนางนั้น ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งทว่าคราวนี้เขาถูกสิ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วพุ่งชนจนร่างกระเด็น ก่อนสิ้นใจได้เอ่ยชื่อ เซียวอันหนิง เหตุใดชายผู้นั้นถึงใฝ่หาสตรีที่ตนเองขับไล่ไสส่งไปเล่า ไม่เข้าใจเลย ทว่าภาพต่อมากลับน่าตกใจยิ่งกว่า ชายผู้นั้นได้มาเกิดเป็นคุณชายตระกูลหลี่ และภาพชีวิตในวัยเยาว์ของเขาก็ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ฉับพลันหลี่จิ้งหานสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อโทรมกาย หากในฝันนั่นเป็นความจริง ก็หมายความว่าชายผู้นั้นคือเขาเอง และภรรยาในตอนนี้คือสตร







