หลังจากหูซานจากไป ฝูงชนก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันคุณชายวั่นยังคงรักษาท่าทีของวีรบุรุษเอาไว้ และกล่าวกับแม่นางหลี่ว่า “แม่นางหลี่ อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคนชั่วเจ้าแผนการอย่างหูซานเลย”“หากคราหน้าเขากล้ามาหาเรื่องถึงที่อีก เจ้าก็ให้คนไปเรียกข้าได้”“ข้าจะช่วยทวงความเป็นธรรมให้แม่นางหลี่แน่นอน!”แม่นางหลี่รู้ดีแก่ใจว่าคุณชายวั่นเป็นคนเช่นไรแต่สกุลวั่นเป็นสกุลใหญ่ในเขตปกครองจินโจว แม้ว่าคุณชายวั่นผู้นี้จะมาจากสกุลสาขาของสกุลวั่น แต่ก็ยังมิใช่คนที่นางจะไปล่วงเกินได้แม่นางหลี่ทำได้เพียงข่มกลั้นความรังเกียจ และกล้ำกลืนฝืนทนคุกเข่าลงไปคำนับ พลางกล่าวขอบคุณเขา“วันนี้ขอบคุณคุณชายวั่นที่ช่วยเหลือ ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง!”“เพียงแต่ข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงไม่อาจรับรองคุณชายวั่นได้ ขอคุณชายวั่นโปรดอภัยให้ผู้น้อยด้วย!”ก่อนหน้านี้แม่นางหลี่ปฏิเสธทำขอแต่งงานของคุณชายวั่น ด้วยเหตุผลว่าต้องไว้ทุกข์แม้คุณชายวั่นจะเป็นคนมากตัณหา แต่กลับมิชอบใช้กำลังดังนั้นเมื่อเขาถูกตาต้องใจแม่นางหลี่ จึงใช้วิธีเอาชนะใจหญิงงามเสียก่อนวันนี้คุณชายวั่นไม่อยากเซ้าซี้ไปมากกว่านี้ หลังจากพูดไม่กี่ประโยค ก
แม่นางหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มิได้ซื้อมา หยกห้อยเอวชิ้นนี้เป็นของที่ท่านตาข้ามอบให้ท่านแม่ของข้าก่อนจะจากโลกนี้ไป และแม่ของข้าก็ได้ส่งต่อมาให้ข้า”อวิ๋นฝูหลิงไม่ได้พูดให้มากความอีก และคืนหยกห้อยเอวชิ้นนั้นให้แม่นางหลี่หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค พวกอวิ๋นฝูหลิงก็บอกลาก่อนจะจากมาหลังจากพวกเขาเดินออกมาไกลแล้ว เซียวจิ่งอี้จึงเพิ่งเอ่ยถามว่า “หยกห้อยเอวชิ้นนั้นมีปัญหาอันใดหรือ?”อวิ๋นฝูหลิงอธิบาย “ท่านปู่ของข้าเคยให้คนทำหยกห้อยเอวขึ้นมาสี่ชิ้น ลวดลายที่แกะสลักลงบนหยกห้อยเอวคือสมุนไพรล้ำค่าทั้งสี่ชนิด และแบ่งมอบให้ลูกศิษย์ทั้งสี่คนของเขา”“หยกห้อยเอวของนายท่านผู้เฒ่าหางสลักเป็นรูปเห็ดหลินจือ ดังนั้นบนแผ่นป้ายหน้าประตูของสำนักผิงอันจึงมีรูปเห็ดหลินจือแกะสลักอยู่”“เมื่อครู่บนหยกห้อยเอวชิ้นนั้นของแม่นางหลี่สลักเป็นรูปบัวหิมะ ท่านตาของแม่นางหลี่คงจะเป็นสือฉีหลิน ศิษย์รองของท่านปู่ทวดของข้า”“ตามที่นายท่านผู้เฒ่าหางบอก หลังจากที่ท่านปู่ทวดของข้าเสียชีวิต พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็มีเป้าหมายของแต่ละคน”“โอวหยางหมิงผู้เป็นศิษย์คนโตเข้าสำนักหมอหลวง สือฉีหลินผู้เป็นศิษย์คนรองออกเดินทา
คุณชายวั่นเห็นลูกน้องของตนเองล้มลงเป็นใบไม้ร่วง พวกเขามีคนมากมายตั้งขนาดนี้ ทว่ากลับต่อกรกับองครักษ์คนหนึ่งของอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาตกตะลึงพรึงเพริดในทันใด“พวกเจ้า...พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”“พวกเจ้าถึงขึ้นกล้าทำร้ายคนของสกุลวั่น พวกเจ้าตั้งตารอได้เลย!”กล่าววาจาร้ายกาจจบ คุณชายวั่นก็รีบวิ่งหนีไปราวกับสายลมก็มิปานครั้นเหล่าสุนัขรับใช้ที่เหลือเห็นสถานการณ์แล้ว จึงวิ่งโขยกเขยกตามไปอวิ๋นจิงมั่วกอดลูกเสือน้อยไว้พลางร้องเหอะออกมาอย่างเย็นชา แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “คิดจะแย่งเทียนเทียนไปจากข้า เจ้าพวกคนชั่ว!”จากนั้นจึงหันไปยกนิ้วโป้งให้เทียนเฉวียน แล้วกล่าวชม “ท่านอาเทียนเฉวียน ท่านเก่งสุดยอดไปเลย แค่คนเดียวก็ทำให้พวกนั้นวิ่งหนีไปได้แล้ว”เทียนเฉวียนหัวเราะแฮะ ๆ “คนพวกนั้นก็พวกท่าดีทีเหลวเท่านั้น ต่อให้มาเพิ่มเท่าหนึ่ง ผู้น้อยเพียงคนเดียวก็จัดการพวกเขาได้ขอรับ!”เซียวจิ่งอี้ลูบลูกเสือน้อยในอ้อมแขนของอวิ๋นจิงมั่วเจ้าลูกเสือน้อยแยกเขี้ยวใส่เซียวจิ่งอี้ ดวงตาของมันราวกับมีประกายเหยียดหยามเล็กน้อย แล้วจึงนอนเกียจคร้านตากแดดในอ้อมแขนของอวิ๋นจิงมั่วต่อเซียวจิ่งอี้รู้สึกว่า
การที่สามารถมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ย่อมไม่ใช่พวกโง่เขลาเบาปัญญาพ่อบ้านวั่นรู้ดีว่าคุณชายน้อยต้องการถุงน้ำดีเสือสด ๆ เพื่อนำไปทำกระสายยา ดังนั้นช่วงนี้ผู้นำตระกูลจึงเสาะหาคนไปล่าเสือเป็น ๆ ทั่วทุกสารทิศฉะนั้นทันทีที่เขาได้ยินคุณชายวั่นบอกว่าเห็นคนพาเสือเป็น ๆ ตัวหนึ่งเดินไปมาอยู่บนท้องถนน เขาจึงรีบพาคนตามมาทันทีถึงอย่างไรหากเขาสามารถมอบเสือตัวเป็น ๆ ให้แก่ผู้นำตระกูลได้ นี่จะเป็นความดีความชอบชิ้นใหญ่เลยทีเดียวโอกาสดี ๆ เช่นนี้ พ่อบ้านวั่นย่อมจับไว้ให้มั่นเดิมทีพ่อบ้านวั่นคิดจะใช้วาจาก่อนใช้กำลัง เพราะถึงอย่างไรในเขตปกครองจินโจวแล้ว สกุลวั่นนั้นทรงอิทธิพลถึงขนาดที่กระทืบเท้าเพียงครั้ง เขตปกครองจินโจวก็กระเทือนไปถึงสามระลอกสกุลวั่นต้องการลูกเสือของอีกฝ่าย ใครกันจะกล้าไม่ไว้หน้าสกุลวั่น?ผู้ที่รู้จักวางตัว ย่อมมอบให้อย่างว่าง่ายทว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งมาถึงที่หมายได้ไม่เท่าไร คุณชายวั่นก็รีบนำคนพุ่งเข้าไปในห้องส่วนตัว แสดงท่าทีชัดเจนยิ่งว่าจะใช้กำลังเข้าสู้ที่ยิ่งทำให้พ่อบ้านวั่นคิดไม่ถึงก็คือ เพียงแค่พบหน้ากัน คนพวกนั้นที่เขาพามาก็ถูกซัดจนหมอบกระแตทั้งหมดสมองของพ่อบ้า
พ่อบ้านวั่นจึงกระซิบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบให้นายท่านสี่วั่นฟังคร่าว ๆครั้นนายท่านสี่วั่นได้ฟัง ก็แทบจะกระอักโลหิตเพราะถูกพวกเขาทำให้โมโหมีแต่พวกโง่เขลาไม่มีสมองทั้งนั้น!ในเมื่อขอร้องผู้อื่น เช่นนั้นก็ต้องพูดเจรจาด้วยน้ำเสียงดี ๆ และเหมาะสม เสนอราคาซื้อราคาขายอันเหมาะสม เพื่อให้อีกฝ่ายยอมตัดใจยอมสละให้เจ้าจะไม่เจรจาแล้วลงมือแย่งชิงมาเลยก็ใช่ว่าจะทำมิได้ แต่เจ้าจักต้องมีปัญญา มีความสามารถมากพอที่จะกดดันอีกฝ่ายจนอยู่หมัดให้ได้แต่นี่พ่อบ้านวั่นกับเจ้าสิบเก้าจากบ้านสายรองทั้งพูดจาโน้มน้าวให้อีกฝ่ายตัดใจสละของรักให้ไม่ได้ อีกทั้งพอลงมือกับเขาก็ถูกอีกฝ่ายสั่งสอนกลับมาอย่างน่าอเนจอนาถเป็นพวกไร้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่!แถมยังเลือกมาลงมือในหอสกุลวั่นของเขาอีก นี่ถ้าหากทำข้าวของอันใดเสียหายไป สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับความเสียหายมิใช่ว่ายังเป็นสกุลวั่นของพวกเขาอย่างนั้นหรือไร?คุณชายวั่นหรือก็คือวั่นจื้อซินผู้ที่อยู่ในลำดับศักดิ์ที่สิบเก้าของสกุลวั่นผู้นั้นก้าวเข้าไปด้านหน้านายท่านสี่วั่น แล้วกล่าววาจาประจบเอาใจ “ท่านลุงสี่ หลานเพียงเจตนาดี อยากช่วยเหลือสกุลวั่นอย่างเต็มท
สกุลวั่นต้องการดีเสือสดใหม่ไปช่วยชีวิตคุณชายน้อยในเมื่อวันนี้ได้เจอแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องคิดหาวิถีทางเอามาอยู่ในมือให้ได้ มิเช่นนั้นจะพลาดโอกาสนายท่านสี่วั่นประสานมือคารวะ ท่าทางยิ่งทวีความสุภาพ “ท่านผู้มีเกียรติสองสามท่านนี้ สกุลวั่นของข้าต้องการเสือตัวเป็น ๆ จริง หากพวกท่านยินยอมสละให้ สามารถพูดเงื่อนไขมาได้ทุกอย่าง...”นายท่านสี่วั่นยังไม่ทันพูดจนจบประโยค อวิ๋นฝูหลิงก็พูดขึ้นมาทั้งที่ขมวดคิ้วว่า “พวกเจ้าแต่ละคนฟังภาษาคนมิรู้เรื่องหรือไร?”“บอกไปหลายครั้งแล้วว่าลูกเสือน้อยตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของลูกชายข้า ต่อให้เจ้าจะยกภูเขาทองทั้งลูกมากองให้ พวกข้าก็ไม่ให้”“เอาแต่ส่งเสียงหึ่ง ๆ ราวกับแมลงวันไม่หยุดหย่อน หนวกหูเหลือเกิน จะกินข้าวให้สบายใจสักมื้อก็ทำไม่ได้”“ได้ยินว่าหอสกุลวั่นเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเขตปกครองจินโจว พวกเจ้าต้อนรับแขกที่มาอุดหนุนถึงประตูเช่นนี้ ข้าว่าหอสกุลวั่นนี้ก็มิได้เลิศเลอกว่าใครเขาหรอก!”ครั้นลูกค้าคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างได้ยินวาจาเช่นนี้ของอวิ๋นฝูหลิงเข้า ก็อดเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย ทั้งยังแฝงไปด้วยความตื่นเต้นอยู่ด้วยในทีออกมาไม่ได้คนพวกนี
นายท่านสี่วั่นเห็นว่าพวกเซียวจิ่งอี้ไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัวสกุลวั่นเลยแม้แต่นิดเท่านั้น ฝ่ายนั้นกลับลงมือกับลูกหลานสกุลวั่นโดยไม่ลังเลเสียด้วยซ้ำไป ในใจเขาทั้งตระหนกทั้งเดือดดาลความอยากอาหารของอวิ๋นฝูหลิงถูกทำลายเสียจนหมดสิ้น ยามนี้จะให้กินอะไรก็กินไม่ลงแล้วอวิ๋นฝูหลิงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “แต่ละคนช่างไม่รู้จักตระหนักตนกันเลย แค่พวกเจ้าไม่กี่คนก็ถือว่าเป็นตัวแทนสกุลวั่นแล้วหรือ!”“หากวันนี้ผู้ที่เอ่ยปากเป็นผู้นำตระกูลวั่น บางทีข้าอาจจะลองพิจารณาดูสักหน่อย”“หมาแมวอย่าวพวกเจ้าไม่กี่คนยังจะมาทำตัวกร่างสร้างปัญหาอยู่ข้างนอกโดยอ้างชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสกุลวั่นอีก ทำให้สกุลวั่นต้องเสื่อมเสียเกียรติจริงๆ!”ยามที่เข้ามาในเขตปกครองจินโจว เซียวจิ่งอี้ได้เล่าให้อวิ๋นฝูหลิงฟังแล้วว่า สกุลวั่นเป็นตระกูลที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเขตปกครองจินโจวความมั่นคงของตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งตระกูลนี้มิได้มาจากเส้นทางขุนนางหรือกิจการการค้า ทว่ามาจากการขนส่งทางชลมารคท่าเรือจินโจวเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของต้าฉี ยามนี้ได้สกุลวั่นคอยควบคุมดูแลอิทธิพลของสกุลวั่นย่อมไม่ธรรมดาอย่างไรก็ตาม วั่นหงผู้ท
เขามองไปทางเซียวจิ่งอี้และคนอื่น ๆ “แม้ว่าญาติผู้น้องของข้าจะเป็นฝ่ายทำผิดก่อน แต่ท่านลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ ก็อาจจะเกินกว่าเหตุไปสักหน่อยกระมัง!”อวิ๋นฝูหลิงมองสำรวจวั่นเฉิงอย่างละเอียดลออไม่ได้บอกว่านายน้อยผู้นี้เป็นโรค จำเป็นต้องใช้ดีเสือมาทำกระสายยาหรอกหรือ?ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ได้ต่างจากคนปกติทั่วไปเลยสักนิด ท่าทางมิเหมือนคนป่วยด้วย?“สกุลวั่นสั่งสอนบุตรหลานในสกุลให้ดีไม่ได้ ข้าจึงลงมือช่วยสั่งสอนแทนให้ สกุลว่าควรจะขอบคุณข้าต่างหากจึงจะถูก!”“หากสกุลวั่นไม่พอใจอันใด ก็ให้บิดาเจ้ามาพูดกับข้าด้วยตนเอง!”ครั้นเซียวจิ่งอี้พูดจบ มือข้างหน้าก็อุ้มอวิ๋นจิงมั่ว มืออีกข้างก็จับมืออวิ๋นฝูหลิงไว้ ก่อนจะเตรียมตัวจากไปวั่นเฉิงตะลึงจนตาค้างไปชั่วขณะเขาไม่เคยพบเห็นคนที่อวดดีขนาดนี้มาก่อน“หยุด ห้ามไปไหน!”“ไป ไปขวางพวกไว้!”คนสกุลวั่นรีบเข้าไปขวางทางเซียวจิ่งอี้และคนอื่น ๆ โอบล้อมกลุ่มของพวกเขาไว้เทียนเฉวียนพร้อมคนอื่นรีบชักกระบี่ แล้วเข้าไปล้อมรอบพวกเซียวจิ่งอี้ทั้งสามคนเอาไว้ทั้งสองฝั่งรีบมองคุมเชิงกันทันที สถานการณ์ใกล้จะปะทุอยู่รอมร่อครั้นแขกเหรื่อรอบ ๆ ที่มาดูความคึกคั
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ