อวิ๋นฝูหลิงได้ยินก็ยิ้มออกมา เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ช่างโลภมากเสียจริงทว่ามีเด็กมากมายเช่นนี้ การให้เลือกเพียงคนเดียวก็เป็นเรื่องที่ยากจริง ๆอย่างไรก็ตามอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้เปลี่ยนคำพูด และกล่าวว่า “เลือกคนที่ชอบที่สุดมาคนหนึ่งก่อน”อวิ๋นจิงมั่วสังเกตคำว่า ‘ก่อน’ ที่อวิ๋นฝูหลิงพูดได้ในชั่วพริบตา เขากะพริบตา ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไปยังคนที่เรียงแถวอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นก็เดินไปจูงมือเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งมาข้างหน้า และดึงเขาออกมาจากในแถว“ท่านแม่ ข้าอยากเลือกเขาขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงมองอวิ๋นจิงมั่วเลือกเด็กผู้ชายอายุเท่ากับเขามาคนหนึ่ง เด็กผู้ชายคนนี้ดูผอมมากท่าทางดูชอบโอนอ่อนผ่อนตามและขี้กลัว ทว่าในแววตากลับแฝงไปด้วยความดื้อรั้นและโดดเดี่ยวอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวนางจำได้ว่ายามที่อีกฝ่ายแนะนำตัว เด็กคนนี้บอกว่าเขาถนัดเรื่องการต่อสู้มากที่สุด!แต่เนื่องจากเป็นคนที่อวิ๋นจิงมั่วเลือก อวิ๋นฝูหลิงจึงไม่ได้เอ่ยคัดค้าน นางพยักหน้า พลางกล่าวว่า “เลือกมาอีกหนึ่งคน”ครั้งนี้ อวิ๋นจิงมั่วเลือกเด็กชายใบหน้ากลมมาคนหนึ่ง ซึ่งมีรูปลักษณ์ยิ้มแย้มโดยธรรมชาติ ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่งอวิ๋นฝู
เพราะกฎเกณฑ์ของราชสำนัก นอกจากจวนที่ได้รับพระราชทานแล้ว มีเพียงครอบครัวขุนนางขั้นสามขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถใช้คำว่า ‘จวน’ ได้อวิ๋นกานซงในยามนี้ถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว ดังนั้นป้ายขนาดใหญ่ของเรือนสามทางเข้า จึงแขวนได้แค่เพียง ‘เรือนครอบครัวอวิ๋น’เซี่ยงซื่อนั่งอยู่ในห้องโถงของเรือนหลัก รู้สึกว่าไม่ว่าจะมองที่ใดก็ล้วนขัดตาทั้งสิ้นเรือนสามทางเข้า หากมองในสายตาของครอบครัวทั่วไป ก็นับได้ว่าเป็นเรือนหลังใหญ่แต่สำหรับเซี่ยงซื่อผู้เคยชินกับการใช้ชีวิตในจวนจี้ชุนโหว ย่อมคิดว่ามันคับแคบจวนจี้ชุนโหวเป็นจวนที่องค์ไท่จูพระราชทาน เป็นเรือนขนาดใหญ่ที่มีห้าทางเข้า ทั้งยังมีสวนขนาดใหญ่กับสระบัว ไม่มีสิ่งใดน่ารื่นรมย์ไปกว่าการได้พักผ่อนข้างสระบัวแสนเย็นสบายในฤดูร้อนอีกแล้วยิ่งไปกว่านั้นจวนจี้ชุนโหวก็ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพื่อนบ้านทั้งซ้ายขวาล้วนเป็นขุนนางร่ำรวยเมื่อลองมองดูในยามนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเรือนหลังเล็ก ทว่าเพื่อนบ้านก็ยังเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาฐานะด้วยแม้แต่คนใช้ที่คอยปรนนิบัติ เพราะข้อจำกัดของเรือน จึงถูกขายออกไปแล้วส่วนหนึ่ง เหลือเพียงคนที่ซื่อสัตย์และเป็นประโยชน์แค่ส่วนหนึ่ง
เมื่อได้ยินว่าลูกชายกลับมาแล้ว อวิ๋นกานซงกับเซี่ยงซื่อก็หยุดทะเลาะกัน และบนใบหน้าก็เผยความตกใจระคนดีใจออกมาไม่นาน ชายหนุ่มร่างสูงเหยียดตรง ใบหน้าหล่อเหลาก็เดินเข้ามาในเรือนชายผู้นั้นสวมชุดบัณฑิตสีเขียว ผมยาวสีดำขลับถูกรวบขึ้นด้วยกวานหยกสีขาว ที่เอวมีหยกเนื้อขาวนวลรูปปลาห้อยอยู่ ในความสง่างามที่ไม่โดดเด่นเผยความหรูหรามั่งคั่งออกมาชายหนุ่มผู้นี้คืออวิ๋นชิงมู่ผู้เป็นลูกชายคนโตของอวิ๋นกานซงกับเซี่ยงซื่อเมื่ออวิ๋นชิงมู่เข้ามาในเรือน ก็กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”“ข้ากลับไปที่จวนจี้ชุนโหว แต่กลับถูกคนไล่ออกมา และบอกว่าครอบครัวพวกเรามิใช่สายเลือดสกุลอวิ๋น”“โชคดีที่ข้าบังเอิญเจอชุนหรงคนสนิทของท่านพ่อ จึงรู้ว่าครอบครัวของพวกเราย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว”“ข้าได้ยินจากชุนหรงว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับมาแล้ว นางเป็นคนไล่ท่านพ่อท่านแม่ออกมาจากจวนจี้ชุนโหวหรือ?”ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้อวิ๋นชิงมู่ร่ำเรียนอยู่ที่สถานศึกษาลู่ซานที่ชิงโจว หากไม่ใช่เพราะครานี้กลับมา คงยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นในครอบครัวระยะนี้เซี่ยงซื่อเห็นลูกชาย ก็ราวกับมีคนให้พึ่งพิงอีกครั้ง ยามนี้จึงเริ่
แม้จะช่วยนางออกมาได้ ก็อย่าได้คิดว่าจะได้ตบแต่งกับครอบครัวดี ๆ เลยส่วนการตบแต่งเป็นสนมของอวี้อ๋อง อวี้อ๋องมีชื่อเสียงเรื่องความไม่เป็นโล้เป็นพาย ทั้งยังโกรธเรื่องที่ถูกอวิ๋นหลิงจือวางหลุมพรางใส่ คิดดูแล้วย่อมไม่ชอบพออวิ๋นหลิงจือกล่าวได้ว่าชีวิตนี้ของอวิ๋นหลิงจือ พังทลายไปแล้วแค่คนไม่มีค่าผู้หนึ่ง เหตุใดต้องยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจและเงินทองให้นางด้วย นี่มิใช่ว่าเป็นการสิ้นเปลืองหรือ!อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับเซี่ยงซื่อที่กำลังร่ำไห้ อวิ๋นชิงมู่ก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดไม่ดีในใจออกไปได้ และทำเพียงพูดแบบขอไปที“ท่านแม่ นี่เป็นรับสั่งจากฝ่าบาท ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”“พวกเราทำได้เพียงรอจนกว่าน้องจะถูกเนรเทศไป จึงค่อยคิดหาวิธีติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่คุมตัวไปส่ง และแอบเปลี่ยนแปลงความจริงตบตาผู้คนเท่านั้น”“หรือรอให้น้องไปถึงชายแดนก่อน หลังจากนั้นจึงติดสินบนเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวัง ให้พวกเขาแจ้งข่าวการตาย เพื่อให้น้องแกล้งตายและหนีออกมา”เซี่ยงซื่อหยุดร้องไห้ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายขึ้นมา “สมกับที่เป็นลูกชายข้า เพียงชั่วครู่เดียวก็คิดวิธีได้ถึงสองวิธีแล้ว!”“น้องสาวเจ้าอ
อวิ๋นกานซงและเซี่ยงซื่อคิดว่าที่อวิ๋นชิงมู่กลับมากะทันหันเช่นนี้ เพราะได้ยินว่าช่วงนี้ที่บ้านเกิดเรื่องครั้นยามนี้รู้ว่ามีสาเหตุอื่น ในใจของทั้งสองจึงรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมาอย่างน่าประหลาดกระทั่งยามอวิ๋นกานซงได้สติ เซี่ยงซื่อก็ก้าวเข้าไปจับตัวอวิ๋นชิงมู่หันซ้ายหันขวาดูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจระคนกังวลใจ“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”“หรือว่าเจ้าโดนรังแกในสำนักศึกษา”“ไยแม่ถึงเห็นเจ้าซูบผอมลงขนาดนี้...”เมื่อได้พูดก็พูดออกมายาวเหยียดไม่หยุดอวิ๋นชิงมู่รู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าทันทีที่เซี่ยงซื่อได้รู้เรื่องของเขา จะพูดจาจู้จี้จุกจิกเป็นพิเศษแม้เขาจะรู้สึกจนใจ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นยิ่งที่นางเป็นห่วงเขาเช่นนี้เขาปรามมิให้เซี่ยงซื่อจู้จี้ต่ออีก กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นอะไร ใช้ชีวิตในสำนักศึกษาเป็นอย่างดีขอรับ”เขาเงยหน้ามองอวิ๋นกานซง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านพ่อ ที่ข้ากลับมาครานี้ด้วยอยากจะได้เงินจากที่บ้านสักก้อนหนึ่ง”“ช่วงนี้ข้าคบหากับซื่อจื่อซุ่นอ๋อง คุณชายเจ็ดแห่งจวนเฉิงเอินกง และหลานชายคนรองของตระกูลเสนาบดีกรมขุนนาง”“พวกเขาอยากร่วมมือกันทำการค้าในเมืองหลวง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย?พอเอาทรัพย์สินในมืออวิ๋นกานซงมารวมกัน คิดแล้วก็ยังมีแค่แสนกว่าตำลึงเท่านั้นเองหากให้ไปหนึ่งหมื่นตำลึงในตอนนี้ เขาออกจะเจ็บปวดอยู่บ้างจริง ๆอวิ๋นกานซงมิได้พูดออกไปตรง ๆ ว่าจะไม่ให้ ทว่ากลับถามออกไปแทน “พวกเจ้าอยากทำการค้าอันใดเล่า? ถึงได้ต้องการเงินทุนมากมายขนาดนี้? นอกจากเจ้าแล้ว พวกซื่อจื่อซุ่นอ๋องเองก็ออกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงด้วยหรือ?”อวิ๋นชิงมู่เห็นว่าหากวันนี้ไม่พูดให้ชัดเจน เกรงว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้คงมาไม่ถึงมือเขาบรรจงหยิบกล่องกระเบื้องเคลือบน้อยที่แต่งแต้มไปด้วยภาพวาดสีทองออกมาอย่างระมัดระวังกล่องกระเบื้องเคลือบน้อยใบนั้นมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือเด็ก เมื่อเปิดออก ก็เผยโฉมขี้ผึ้งสีเหลืออร่ามดั่งทองคำที่อยู่ด้านในออกมา“ท่านพ่อ ท่านแม่ สิ่งนี้คือขี้ผึ้งทอง เป็นของดีที่บัดนี้กำลังเป็นที่นิยมที่สุดของทางเจียงหนาน”“ของสิ่งนี้มีราคาสูง สูงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก ซื่อจื่อซุ่นอ๋องเป็นผู้ให้กล่องนี้กับข้าเอง”“ของสิ่งนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกเบาเหมือนลอยได้ราวกับเทพเซียน ลืมเลือนเรื่องวุ่นวายทุกอย่างบนโลกนี้ ฉะนั้นเจ้าขี้ผึ้งทองนี้จึงได้อีกชื่อว่าขี้ผึ้งเทพ
อวิ๋นซานหูที่ถูกเซี่ยงซื่อว่าขานว่าเสียสติ ยามนี้กำลังนั่งส่องกระจกมองใบหน้าของตนเองราวกับกำลังลุ่มหลงก็ไม่ปานนางยกมือขึ้นมาแตะดวงหน้าเบา ๆบาดแผลสยดสยองที่เดิมทีอยู่บนใบหน้าได้มลายหายไปไม่เหลือร่องรอย มีเพียงผิวเนียนนุ่มราวกับไข่ที่ปอกเปลือกไปแล้วอยู่เท่านั้นอวิ๋นซานหูถึงขั้นคิดว่า หลังจากที่นางใช้ยาลบรอยแผลเป็นของอวิ๋นฝูหลิงแล้ว ใบหน้าของนางนั้นงดงามกว่าก่อนหน้านั้นถึงสามเท่าแลกใบหน้านี้คืนกลับมาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำไปทั้งหมดก่อนหน้านี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว!ทันใดนั้นบานประตูพลันถูกคนผลักออกอวิ๋นซานหูมองไปตามเสียง คนที่เข้ามาคือสาวใช้ข้างกายอวิ๋นฝูหลิงนามว่าเหยากวงผู้นั้น ในใจของนางพลันบีบรัดแน่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าบนกายสาวใช้ผู้นี้แฝงไปด้วยความกดดันที่อธิบายไม่ถูก ทำให้คนรู้สึกอันตรายและหวาดผวา“อวิ๋นฝูหลิงต้องการให้ข้าทำอันใดอีก?” อวิ๋นซานหูวางกระจกทองแดงลงแล้วเอ่ยถามสายตาของเหยากวงเย็นชาดั่งเกาทัณฑ์ “เจ้าเรียกชื่อเจ้านายเช่นนี้ได้หรือ?”อวิ๋นซานหูอดหดคอไม่ได้หลังถูกเหยากวงจ้องมองนางอึดอัดใจระคนไม่ยินยอม แต่อย่างไรก็ยั
อวิ๋นซานหูมิใช่คนที่รู้จักบุญคุณคนเช่นนั้นอวิ๋นซานหูถูกเหยากวงตอกหน้าจนถึงกับพูดไม่ออกไม่รั้งรอให้นางคิดหาข้ออ้างใหม่ขึ้นมาอีก เหยากวงจึงสะบัดมือของนางออกอย่างรำคาญ“พระชายาตรัสว่า เรื่องที่พระนางต้องการให้เจ้าทำ เจ้าได้ทำแล้ว ยามนี้ใบหน้าของเจ้าก็รักษาหายดีแล้ว ข้อตกลงอันเป็นสิ้นสุดเท่านี้”“มอบตั๋วเงินให้เจ้าแล้ว เจ้าไปเก็บข้าวของแล้วรีบออกไปแต่เนิ่น ๆ เถิด!”พูดจบ เหยากวงก็ไม่สนใจอวิ๋นซานหูอีก หมุนตัวแล้วเดินจากไปทันทีเพียงแต่หลังจากเดือนออกมาจากตัวเรือนแล้ว เหยากวงจึงยกมือเรียกบ่าวรับใช้ในเรือนมาสั่งคำไว้ว่า “จับตาดูอวิ๋นซานหูทุกคำพูดทุกฝีก้าว หากนางเก็บข้าวของแล้วออกจากที่นี่ไปก็แล้วไป มิอย่างนั้นหากมีความผิดปกติใด ๆ รีบให้คนมารายงานข้าทันที!”บ่าวรับใช้ผู้นั้นรีบรับคำทันทีเหยากวงหันไปมองเรือนที่อวิ๋นซานหูพักอยู่แวบหนึ่ง แล้วแค่นเสียงดูถูกอยู่ในใจเดิมทีคิดว่าผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้ อวิ๋นซานหูจะได้รับบทเรียน รู้จักว่าง่ายขึ้นมาบ้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะโง่เง่าได้ถึงขนาดนี้!ทั้งที่รู้ว่าตนเองถูกพระชายาบีบอยู่ในมือ ทำได้เพียงเชื่อฟังคำเท่านั้นทว่ากลับมีแต่เล่ห์เหลี่
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ