สวินเส้าคังไม่อยากให้ตำแหน่งผู้นำตระกูลตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น อีกทั้งถ้าหากบ้านสายหลักเสียตำแหน่งผู้นำตระกูล วันข้างหน้าคิดจะเอากลับคืนมาก็ไม่ง่ายเช่นนั้นแล้วเกรงว่าตั้งแต่นี้ไปบ้านสายหลักยังจะถูกกดขี่หลังจากสวินเส้าอันพิจารณา แต่งตั้งสวินเส้าคังเป็นผู้นำตระกูลโดยตรงนับตั้งแต่อดีตลูกชายสืบทอดกิจการบิดา พี่ชายตายน้องชายรับช่วงต่อ สวินเส้าอันไม่มีทายาท ดังนั้นส่งต่อกิจการครอบครัวให้น้องชายที่เกิดจากบิดามารดาเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไรได้แต่ช่วยไม่ได้เจตจำนงของสวินเส้าคังคือฝีมือการแพทย์ โดยเฉพาะหลายปีนี้เร่ร่อนไปทั่ว เพื่อหาเบาะแสของอวิ๋นฝูหลิงช่วงก่อนเขาได้รับจดหมายจากทางบ้าน สภาพร่างกายของพี่ใหญ่แย่ลงเรื่อยๆ เร่งเร้าให้เขากลับเจียงเป่ยเพื่อรับช่วงต่อกิจการครอบครัวสวินเส้าคังลังเลมาโดยตลอดเขารู้ว่าตัวเองควรกลับไปรับช่วงต่อกิจการครอบครัว นี่คือความรับผิดชอบที่เขาควรแบกรับในฐานะคนสกุลสวินอีกทั้งอวิ๋นฝูหลิงก็หาเจอแล้ว เขาก็ควรกลับเจียงเป่ยแล้วแต่เขาก็ทำใจทิ้งอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ และไม่อยากละทิ้งเจตจำนงของตัวเองอวิ๋นฝูหลิงเห็นสีหน้าสวินเส้าคังดูไม่ได้นัก อดไม่ได้ที่จะกล่าว “เก
เมื่อสวินเส้าคังได้ยินคำพูดนี้ของอวิ๋นฝูหลิง ก็อารมณ์ดีทันทีความกังวลทั้งหมดหายไปในพริบตาแต่ว่าหลังจากได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายที่มีเจตนาหยอกล้อแฝงอยู่ เขาก็โต้กลับทันที “ไม่มีทาง เรื่องแค่นี้ข้ายังรู้จักแยกแยะอยู่” อวิ๋นฝูหลิงยิ้มจนคิ้วโก่ง จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยปากกล่าว “ใช่แล้ว เจียงเป่ยก็มีสาขาของสำนักช่วยชีพ”“เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้ายกสาขาของสำนักช่วยชีพทั้งหมดที่อยู่ในเจียงเป่ยให้ท่านดูแล”“รอหลังจากท่านกลับถึงเจียงเป่ย ถ้าหากวันไหนอยากรักษาคน สามารถไปเป็นหมอที่สำนักช่วยชีพโดยตรงเลย”“เป็นอย่างไร?”เมื่อสวินเส้าคังได้ยิน ยกมือชี้อวิ๋นฝูหลิงแล้วชี้อีก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าอยากดึงข้าเข้าสำนักช่วยชีพทางอ้อม เพื่อเสริมหน้าตาให้เจ้าสินะ”“และยังช่วยเจ้าดูแลการค้าของเจ้าแล้ว”“ยิงธนูครั้งเดียวได้นกสามตัว ไม่มีใครฉลาดกว่าเจ้าแล้วจริงๆ!”อวิ๋นฝูหลิงยิ้มแหะๆ รินน้ำชาให้สวินเส้าคังถ้วยหนึ่ง“ก็ตอนนี้ข้ากำลังขาดหมอ โดยเฉพาะหมอที่มีฝีมือเลิศล้ำอย่างศิษย์พี่สวิน!”“อีกอย่างนะ พวกเราเป็นใคร ท่านปฏิเสธข้าได้ลงคอจริงๆ หรือ?”“อีกทั้งพวกเรายังเป็นการร่วมมือที่ต่างฝ่ายต่างได
อวิ๋นฝูหลิงได้ส่งบัตรเชิญของการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในนามของผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่นางปรากฏตัวในแวดวงการแพทย์อย่างเป็นทางการในฐานะผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นกับหมอถึงเวลานั้น ต้องเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามและหาเรื่องแน่นอนอย่างไรก็ตาม แวดวงการแพทย์นั้นไม่ได้อ่อนโยนและสงบอย่างที่เห็นการต่อสู้ที่อยู่ในมุมมืดไม่เคยหยุดลงเลยแม้ทางสกุลสวินเร่งเร้าให้เขากลับไป แต่หลังจากสวินเส้าคังคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าหลังจากการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์สิ้นสุดลง เขาค่อยกลับเจียงเป่ยเช่นนี้แล้วถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นในการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ เขายังสามารถช่วยอวิ๋นฝูหลิงได้อวิ๋นฝูหลิงกับสวินเส้าคังกินไปพลางคุยไปพลางในห้องส่วนตัวของหอสุรา แต่ไม่รู้เลยว่าในห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งที่มีเพียงกำแพงกั้น อวิ๋นกานซงล้วงห่อผ้าใบหนึ่งออกมาเขาเปิดห่อผ้าทีละชั้นอย่างระมัดระวัง ด้านในสุดเผยให้เห็นหนังสือเล็กๆ เล่มหนี่งเมื่อชายวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเห็นหนังสือเล่มนั้น ในแววตาเผยให้เห็นความเร่าร้อนทันทีเขาเพิ่งจะยื่นมือออกไป ใครจะรู้ว่ากลับถูกอวิ๋นกานซงห้ามถ้าหากอวิ๋นฝูหลิงอยู่ที่นี
หลังจากก่อตั้งราชวงศ์ต้าฉี เจ้าสำนักรุ่นแรกของสำนักหมอหลวงก็คือนายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นหลังจากเขาเกษียณ ตำแหน่งเจ้าสำนักก็รับช่วงต่อโดยโอวหยางหมิงศิษย์คนโตของเขาและหมอหลวงทั้งสองรุ่นของสกุลเฉิง ล้วนทำได้เพียงอยู่ใต้พวกเขาปัจจุบันโอวหยางหมิงอายุมากแล้ว และอยากเกษียณนานแล้วถ้าหากโอวหยางหมิงเจ้าสำนักคนนี้เกษียณ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าเจ้าสำนักคนใหม่ จะถูกคัดเลือกจากระหว่างรองเจ้าสำนักฝ่ายซ้ายเฉิงกับรองเจ้าสำนักฝ่ายขวาจงฮุยและจงฮุยคือผู้ที่ถูกคัดเลือกจากหมู่ราษฎรให้เข้าสำนักหมอหลวง เพราะฝีมือการแพทย์ที่โดดเด่นปกติอยู่ในสำนักหมอหลวง นอกจากรักษาโรคให้เฉพาะเหล่าผู้สูงศักดิ์ ก็ไม่สนใจอะไรเลยด้วยเหตุนี้จึงไม่มีภูมิหลัง และไม่มีอิทธิพลหนุนหลังส่วนเฉิงชงนั้นต่างออกไป เบื้องหลังของเขามีสกุลเฉิง และปัจจุบันยังได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา ฝีมือการแพทย์ก็อยู่ในระดับแนวหน้าในบรรดาเหล่าหมอหลวงดังนั้นเฉิงชงคิดว่าผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นเจ้าสำนัก ต้องเป็นเขาเท่านั้นแต่ช่วงนี้กลับมีข่าวลือ โอวหยางหมิงอยากผลักดันคนของเขาขึ้นตำแหน่งเฉิงชงที่มีความมั่นใจเปี่ยมล้นในตอนแรก คราวนี้เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว
แต่เฉิงชงเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่าเมื่อหลายปีก่อนเขาเคยออกไปฝึกฝนประสบการณ์ที่ข้างนอก ได้รู้จักกับหมอซางท่านหนึ่งและก็เป็นตอนนั้นเอง เฉิงชงเกิดความสนใจต่อหมอซางเมื่อเห็นหมอซางท่านนั้นนำกระต่ายและสัตว์เล็กอื่นๆ มาทำการทดลองผ่าเย็บ เฉินชงก็เกิดความคิดแปลกๆ รู้สึกว่าบางทีร่างกายของมนุษย์อาจสามารถเย็บแผลและงอกใหม่เหมือนกระต่ายแต่น่าเสียดายที่สกุลเฉิงสนับสนุนแนวทางดั้งเดิม ฝีมือการแพทย์อย่างหมอซางที่ไม่เข้าขั้น ไม่ได้รับอนุญาตในสกุลเฉิงเฉิงชงทำได้เพียงแอบศึกษาเองจนกระทั่งช่วงก่อน เขาได้ยินว่ามีคนผ่าท้องของคนที่ใกล้ตายในเจียงโจวและคนที่ถูกผ่าท้อง ไม่เพียงไม่ตาย กลับกันยังถูกช่วยจนรอดชีวิตแล้วเขาส่งคนไปหาข่าวที่เจียงโจวทันทีหลังจากหาข่าว จึงจะรู้ว่าคนที่ใกล้ตายคนนั้นคือคุณชายน้อยของอัครมหาเสนาบดีลู่ส่วนคนที่ผ่าท้องช่วย ก็คืออวิ๋นฝูหลิงเฉิงชงรู้สึกตกใจมาก ยิ่งคลั่งไคล้ในทักษะหมอซางแล้วเขานึกถึงสมัยที่ฮ่องเต้ไท่จูยกทัพพิชิตใต้ฟ้า นายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นก็เป็นแพทย์ทหารอยู่ในกองทัพ ทักษะหมอซางของเขาไม่มีใครสามารถเทียบทักษะการผ่าท้องของอวิ๋นฝูหลิง ไม่แน่ว่าได้รับการถ่ายทอดโดยน
อวิ๋นกานซงลอบแค่นเสียงเย็นชาหากไม่ใช่เพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า เขาย่อมไม่เลือกเฉิงชงแต่ไม่เป็นไร รอให้จบเรื่องเสียก่อน เขาก็จะสามารถเหยียบย่ำชื่อเสียงในวงการแพทย์ของเฉิงชงได้ เมื่อถึงครานั้นเฉิงชงจะยังเย่อหยิ่งได้อยู่หรือ?เมื่อนึกถึงแผนของตัวเอง มุมปากของอวิ๋นกานซงก็เผยรอยยิ้มมีความสุขออกมาหลังจากอวิ๋นฝูหลิงรับประทานอาหารกลางวันกับสวินเส้าคังเสร็จ ทั้งกลุ่มก็ออกไปจากห้องส่วนตัวคาดไม่ถึงว่าทันทีที่นางออกมาจากประตูห้องส่วนตัว ก็เห็นเฉิงชงออกมาจากห้องส่วนตัวด้านข้างเช่นกันแม้อวิ๋นฝูหลิงจะเคยพบเฉิงชงเพียงไม่กี่ครา แต่นางซึ่งมีความจำดียิ่ง ก็แทบจะจำเฉิงชงได้ในทันทีเห็นเฉิงชงรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นฝูหลิงก็มิได้ตามไปทักทายเช่นกันกล่าวกันตามตรงระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็มิได้สนิทสนมกันมากนัก ก่อนหน้านี้ยามที่ฮ่องเต้จิ่งผิงประชวร พวกเขาก็รักษาฮ่องเต้จิ่งผิงอยู่ที่ตำหนักจื่อเฉิน จึงเคยรวมกลุ่มกันอยู่บ้างอวิ๋นฝูหลิงคิดว่าอาหารร้านนี้ไม่เลวเลย เฉิงชงก็อาจจะมากินอาหารและรวมตัวกับสหายเช่นกันดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจสถานการณ์นี้มากนักจนกระทั่งนางเห็นอวิ๋นกานซงเดินตามไป โดยท
ตัวตนที่นางปรารถนามากที่สุด และอยากให้เป็นที่รู้จักมากที่สุด ก็คือตัวตนในฐานะหมออวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าให้หลิงโหยว มิได้รบกวนการตรวจคนไข้ที่โถงด้านหน้า และพาหลิงโหยวไปที่ด้านหลังโรงหมออวิ๋นฝูหลิงถามไถ่สถานการณ์ในช่วงนี้ของสำนักช่วยชีพ และได้รู้ว่าสำนักช่วยชีพดำเนินกิจการไปได้ปกติ จึงรู้สึกวางใจ“คุณหนูใหญ่ เมื่อสองวันก่อนได้มีการจัดพิธีสรงสามของหลานชายคนโตที่จวนชิงเหอปั๋ว ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนชิงเหอปั๋วเฝ้ารอหลานชายคนนี้มานานมากแล้ว เพราะมีความสุขมากเกินไป จึงเกิดอาการหัวใจวายอย่างกะทันหันในงานเลี้ยง”“โชคดีที่ครอบครัวพวกเขาเตรียมยาบำรุงหัวใจของสำนักช่วยชีพของพวกเราเอาไว้ล่วงหน้า หลังจากฮูหยินผู้เฒ่ากินยาก็ได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว”“จวนชิงเหอปั๋วไม่วางใจ จึงเชิญหมอหลวงมาดูอาการเป็นพิเศษ”“เมื่อหมอหลวงผู้นั้นรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากินยาบำรุงหัวใจของพวกเราจึงได้สติ ก็ขอยาเม็ดหนึ่งจากจวนชิงเหอปั๋ว”“หลังจากตรวจสอบแล้วก็บอกว่าโชคดีมากที่มียาบำรุงหัวใจเม็ดนั้น ไม่เช่นนั้นชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าคงตกอยู่ในอันตรายไปแล้ว”“หลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพของพวกเรา ก็เป็นที่นิยมขึ้
หลิงโหยวส่ายศีรษะ “มิได้บอกขอรับ อีกฝ่ายได้ยินว่าท่านไม่อยู่ ก็บอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีกครา”“ข้าบอกกฎเกณฑ์การให้ท่านตรวจอาการกับอีกฝ่ายไปแล้วเช่นกัน และบอกว่าอีกสองวันคุณหนูใหญ่จะมาตรวจคนไข้ที่สำนักช่วยชีพ คนผู้นั้นก็มิได้พูดอันใด ก่อนจะกลับไปเช่นนั้นขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงคิดว่าหากอีกฝ่ายอยากมาให้นางตรวจอาการ ย่อมต้องมาหาที่สำนักอีกคราเป็นแน่หลังออกจากสำนักช่วยชีพ เดิมทีอวิ๋นฝูหลิงคิดจะกลับไปที่จวนอี้อ๋องทันทีทว่ายามที่ผ่านจวนจี้ชุนโหวระหว่างทาง อวิ๋นฝูหลิงก็บอกให้หยุดรถม้าอย่างกะทันหันหลังจากอวิ๋นฝูหลิงนำจวนจี้ชุนโหวกลับมาได้แล้ว ไม่เพียงแต่ขับไล่คนของครอบครัวอวิ๋นกานซงออกไป แม้แต่คนใช้ในจวนก็ถูกนางไล่ออกไปจนหมดยามนี้ในจวนมีเพียงสามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งกับหลิงโหยวคอยดูแลทำความสะอาดหลังจากอวิ๋นฝูหลิงกลับมาที่เมืองหลวง ก็อยู่ที่จวนอี้อ๋องมาโดยตลอด ดังนั้นจวนจี้ชุนโหวแสนกว้างขวางแห่งนี้ จึงถูกทิ้งให้ว่างเปล่าเดิมทีอวิ๋นฝูหลิงยังกังวลเรื่องโรงปรุงยา ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา คิดว่าการตั้งโรงปรุงยาที่จวนจี้ชุนโหวก็ไม่เลวนางเดินชมจวนจี้ชุนโหวรอบหนึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ