หลังจากอวิ๋นฝูหลิงฟังข้อมูลที่พวกจางซานมู่หามาได้ทีละคน อดไม่ได้ที่จะถือถ้วยน้ำชา เริ่มครุ่นคิดอย่างขมวดคิ้วนางรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาในหลายวันนี้หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความสนใจของนางไปตกที่คนคนหนึ่งเวินจือเหิง คุณชายใหญ่สกุลเวินเวินจือเหิงเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เวิน ลูกบ่มเพราะในฐานะผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปตั้งแต่เด็กได้ยินมาว่าเขามีพรสวรรค์เหนือคนตั้งแต่เด็ก ฉลาดมีไหวพริบทุกคนล้วนบอกว่าเขาคืออัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคนแต่คนเช่นนี้กลับป่วยเป็นโรคร้าย รักษาไม่หายเสียทีโดยเฉพาะหลังจากนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เวินเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เดิมทีเวินจือเหิงในฐานะผู้สืบทอดควรก้าวออกมาควบคุมสถานการณ์ ใครจะรู้ว่าอำนาจของสกุลเวินกลับตกไปอยู่ในมือของบ้านรองเวินจือเหิงที่เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมคนนี้ ก็แทบจะไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกเลยนี่เป็นเพราะป่วยหนัก ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน?หรือมีสาเหตุอย่างอื่นที่พูดไม่ได้?และยังมีโรคของเวินจือเหิง ป่วยได้บังเอิญเกินไปแล้วกระมังนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เวินรักลูกชายคนนี้มาก ทุกอย่างในชีวิตประจำวันได้รับการดู
หลังจากนางมาถึงจินโจว ก็อยู่ข้างกายอวิ๋นฝูหลิงมาโดยตลอดข้อมูลในเมืองจินโจว ส่วนใหญ่จางซานมู่พาคนไปตรวจสอบคราวนี้ถ้าหากกลับไปรายงานอวิ๋นฝูหลิง เหยากวงก็รู้สึกว่านางดูไร้ประโยชน์มากอีกทั้งในบรรดาคนที่ตามอวิ๋นฝูหลิงมาจินโจวครั้งนี้ ไม่มีใครที่วิชาตัวเบาดีกว่านางแล้วผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี ต้องรู้จักแบ่งเบาภาระและแก้ปัญหาแทนเจ้านายอย่างไรแต่ไม่ใช่มาสร้างปัญหา ให้เจ้านายไปหาวิธีแก้ปัญหาเหยากวงครุ่นคิด ไม่นานก็คิดแผนได้แล้วพลันนางเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปยังร้านวัตถุโบราณเมื่อกลางวันทันทีหลี่หยวนกำลังกินข้าวเย็นกับบริกรสองคนบริกรสองคนนี้ดูผิวเผินเป็นบริกร แต่ที่จริงเหมือนกับหลี่หยวน ล้วนเป็นคนของหน่วยกระบี่เงาหลี่หยวนกำลังคีบผัก จู่ๆ สองหูก็ขยับเล็กน้อยทันใดนั้นเขาขว้างตะเกียบในมือขึ้นไปที่หลังคา ตะเกียบคู่นั้นเหมือนอาวุธลับ พุ่งทะลุหลังคาด้วยแรงอันมหาศาล หลังจากเสียงแตกดังขึ้น เศษกระเบื้องตกลงมา ขณะเดียวกันก็มีคนตกลงมาจากรูหลังคาที่แตกเมื่อบริกรสองคนนั้นเห็นดังนี้ ลุกขึ้นยืน และร่างกายหดเกร็งทันที แสดงท่าทางของการหวาดระแวงศัตรูออกมาเหยากวงตกลงมา เมื่อเห็นก็รีบกล่
แสงจันทร์กระจ่างแสงสีเงินเย็นยะเยือกสาดส่องไปทั่วห้องสายลมแผ่วเบาหอบหนึ่งพัดผ่าน ต้นไม้นอกหน้าต่างส่งเสียงกรอบแกรบ กิ่งไม้ของต้นไม้ก็พลิ้วไหวราวกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บ ทอดเงาลงมาบนบานหน้าต่างเวินจือเหิงสะดุ้งตื่นจากนิทราอย่างกะทันหันทันทีที่เขาลืมตา ก็เห็นเงาต้นไม้บนบานหน้าต่างเงาไม้นั้นดูน่ากลัวเล็กน้อยแต่ช่วงนี้เวินจือเหิงมักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ทุกคราที่ตื่นขึ้นมา ก็จะเห็นเงาไม้นั้นเขารู้ว่านั่นคือเงาของต้นไห่ถังต้นหนึ่งนอกหน้าต่าง ดังนั้นเมื่อเห็นมาหลายครั้งแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกลัวเวินจือเหิงรู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย กำลังจะเรียกคนมารินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง คาดไม่ถึงว่ากลับเห็นเงาคนร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงาต้นไม้ต้นนั้นอย่างกะทันหันเวินจือเหิงตกใจจนชะงักค้างไปทันทีเงาร่างนั้นค่อย ๆ เดินมาทางเขาเวินจือเหิงนึกถึงนิทานแปลกประหลาดเหล่านั้นที่เขาเคยอ่านขึ้นมาโดยพลันนี่ นี่ นี่...นี่คงมิใช่ว่าต้นไห่ถังต้นนั้นนอกหน้าต่างของเขากลายเป็นวิญญาณไปแล้วกระมัง?สัตว์ประหลาดแบบที่เคยกล่าวในหนังสือ ชื่นชอบการดูดกลืนพลังวิญญาณของมนุษย์เป็นที่สุดมันปร
“แต่ยามนี้ผู้ที่กุมอำนาจในสกุลเวินกลับเป็นบ้านรอง”“ตรงกันข้ามท่านที่เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมกลับเป็นโรคร้าย ป่วยมานานรักษาไม่หาย”“ท่านคิดว่าหากท่านตายไป คนของบ้านรองสกุลเวินจะดีใจ หรือว่าเสียใจเล่า?”เวินจือเหิงเหลือบมองเหยากวง “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดจายั่วยุข้า”“สกุลเวินเป็นอย่างไร ข้าย่อมรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด”“เจ้ากับนายท่านของเจ้าทุ่มเทความพยายามเช่นนี้ เพราะต้องการรักษาข้า คิดว่าคงมิใช่การกระทำจากความเมตตา เพราะอยากช่วยชีวิตข้ากระมัง?”แม้เหยากวงจะไม่รู้แผนการทั้งหมดของอวิ๋นฝูหลิง แต่ก็พอเดาได้บางส่วนเดิมทีที่ผ่านมาพวกเขาต่างกำลังตามสืบหอจินอวี้กับบ้านรองสกุลเวินจู่ ๆ อวิ๋นฝูหลิงก็หันเหความสนใจมาที่ตัวคุณชายใหญ่เวินผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกนางแล้ว เขามีประโยชน์มิเช่นนั้นอวิ๋นฝูหลิงซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ คงมิเสียเวลาและความคิด เพื่อมารักษาคนที่ไม่สำคัญผู้หนึ่งเมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของเวินจือเหิง เหยากวงก็ยิ้มบาง “เมื่อท่านได้เจอนายท่านของข้า นายท่านของข้ามีเงื่อนไขอันใด ก็จะมาหารือกับท่านเอง”เวินจือเหิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ“ได้”เขารู้สึกได้ว่าร่
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงได้รับรายงานของเหยากวง บนใบหน้าก็ฉายความแปลกใจออกมาเล็กน้อยนางคาดเดาไว้ว่าคุณชายใหญ่เวินผู้นั้นมีโอกาสสูงมากที่จะไม่ปฏิเสธการรักษาแต่กลับคาดไม่ถึงว่าแม้แต่นางจะเข้าไปในสกุลเวินอย่างไร เขาก็ล้วนคิดวิธีไว้แทนนางแล้วดูท่าอาการป่วยของเวินจือเหิงผู้นั้น จะมีส่วนที่แปลกประหลาดอยู่มากยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้อาจจะฉลาดกว่าที่นางคิดอยู่บ้างหากทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกันได้ บางทีการเคลื่อนไหวที่เจียงหนานครั้งนี้ อาจจะราบรื่นกว่าที่คิดไว้วันรุ่งขึ้นอวิ๋นฝูหลิงตื่นขึ้นมาเตรียมตัวเพื่อการรักษาในวันนี้ตั้งแต่เช้าช่วงเวลาการรักษาระหว่างสกุลเวินกับสำนักโซ่วอันคือช่วงต้นยามซื่ออวิ๋นฝูหลิงมาก่อนล่วงหน้าครึ่งชั่วยาม ช่วงกลางยามเฉินก็มาถึงสกุลเวินแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนของสำนักโซ่วอัน อวิ๋นฝูหลิงยังให้จางซานมู่พาคนไปจับตามองในตรอกนอกสกุลเวินเป็นพิเศษเมื่อหมอจ้าวจากสำนักโซ่วอันมาถึง ก็ให้หาวิธีถ่วงเวลาเขาไว้ถ่วงเวลาไว้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ในระยะเวลาเท่านี้ ก็คงเพียงพอที่นางจะรักษาให้เวินจือเหิงแล้วอวิ๋นฝูหลิงคิดแผนไว้เป็นอย่างดี คาดไม่ถึงว่าทันทีที่มาถึ
เหยากวงได้ยินเช่นนี้ ในใจก็พลันเต้น ‘ตึกตัก’ ขึ้นมาแอบคิดว่าเมื่อครู่โชคดีที่อวิ๋นฝูหลิงดึงนางไว้ได้ทันเวลา นางจึงยังไม่ได้พูดคำว่า ‘ใช่’ ออกไปมิเช่นนั้นเมื่อบังเอิญพบตัวจริงในยามนี้ พวกนางย่อมถูกเปิดโปงว่าเป็นตัวปลอม แล้วหลังจากนี้จะเข้าไปดูอาการป่วยของเวินจือเหิงในจวนสกุลเวินได้อย่างไร?หลังจากคนเฝ้าประตูทักทายหมอจ้าวด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้จึงเพิ่งนึกถึงอวิ๋นฝูหลิงกับเหยากวงทั้งสองคนที่มาเยือนได้“คุณชายรอง สองคนนี้ก็บอกว่ามาตรวจอาการให้คุณชายใหญ่เหมือนกันขอรับ”“พวกเขาบอกว่าตัวเองเป็นคนของสำนักโซ่วอัน หมอจ้าว ท่านดูหน่อยเถิดขอรับว่าพวกเขาใช่หรือของสำนักโซ่วอันหรือไม่?”สายตาของเวินเจากับหมอจ้าวหันไปมองอวิ๋นฝูหลิงกับเหยากวงทั้งสองคนนี้ทันทีไม่รอให้หมอจ้าวเอ่ยปาก อวิ๋นฝูหลิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “พี่ชายคนนี้ ทำไมจึงพูดจาไร้มูลเหตุใส่ร้ายคนตามใจชอบเช่นนี้เล่า?”“พวกข้าบอกเมื่อใดว่าตัวเองเป็นหมอจากสำนักโซ่วอัน?”คนเฝ้าประตูอ้าปากแย้งทันที “ก็เมื่อครู่ พวกท่านบอกว่ามารักษาคุณชายใหญ่ ข้าถามพวกท่านว่าเป็นหมอจากสำนักโซ่วอันใช่หรือไม่...”อวิ๋นฝูหลิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม“เจ้าถามเช่นนี้
หมอจ้าวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือให้อวิ๋นฝูหลิงโดยพลัน และพูดอย่างมีมารยาทว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายจากสกุลหาง เสียมารยาทแล้ว ๆ!”อวิ๋นฝูหลิงประสานมือกลับทันที และพูดอย่างสุภาพว่า “หมอจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว ท่านเป็นผู้อาวุโส ผู้น้อยเดินทางมาเพื่อหาประสบการณ์ ในเรื่องทักษะแพทย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอีกมาก!”ป้ายหยกลายเห็ดหลินจือชิ้นนี้ในมือของอวิ๋นฝูหลิง เป็นนายท่านผู้เฒ่าหางมอบให้นาง ก่อนที่จะออกเดินทางจากเมืองหลวงเผื่อว่าวันใดนางออกเดินทาง และมีช่วงเวลาที่ไม่สะดวก ก็สามารถใช้สถานะของสกุลหางจัดการได้นี่คือเจตนาดีของนายท่านผู้เฒ่าหาง ทั้งยังเป็นความรู้สึกรักและอยากปกป้องที่มีต่อนางด้วยในตอนนั้นอวิ๋นฝูหลิงไม่อาจปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงรับไว้เดิมทีนางไม่คิดจะใช้แผ่นป้ายชิ้นนี้เพียงแต่วันนี้สถานการณ์บังคับ จึงจำต้องเอาออกมาใช้แก้ไขสถานการณ์เดิมนางยังกังวลว่าป้ายหยกลายเห็ดหลินจือชิ้นนี้จะใช้ไม่ได้ผลคาดไม่ถึงว่าหมอจ้าวเห็นป้ายหยกชิ้นนี้แล้ว จะรู้ตัวตนของนาง จึงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งโดยพลันดูท่านายท่านผู้เฒ่าหางจะไม่ได้หลอกนางสำนักผิงอันมีชื่อเสียงมากที่เจียงหนานแม้แต่สก
แม้ว่าเวินเจาจะมั่นใจว่าหมอธรรมดา ไม่อาจมองปัญหาบนร่างของเวินจือเหิงออกตั้งแต่เวินจือเหิงป่วย ก็ได้เชิญหมอมาไม่รู้ตั้งกี่คน หมอชื่อดังใกล้จินโจวก็เชิญมาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีหนทางทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้เมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาเมื่อครู่เขาได้ยินหมอจ้าวบอกแล้ว ป้ายหยกลายเห็ดหลินจือชิ้นนั้นในมือของอวิ๋นฝูหลิงไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งมีเพียงทายาทสายตรงหรือศิษย์สายตรงของสกุลหางเท่านั้น ที่จะได้รับอนุญาตให้พกติดตัวทักษะแพทย์ของสกุลหางได้รับสืบทอดมาจากผู้อาวุโสอวิ๋นจี้ชุนโหวทักษะแพทย์ของคนผู้นั้นไม่เป็นสองรองใคร เป็นผู้ที่ได้บรรดาศักดิ์โดยอาศัยแค่ทักษะแพทย์คนเช่นนี้ คาดว่าในปัจจุบันมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น!หมอคนอื่นมองลับลมคมในบนร่างของเวินจือเหิงไม่ออก แต่คนของสกุลหาง อาศัยทักษะแพทย์ของพวกเขา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่ออกดังนั้นตั้งแต่เวินจือเหิงป่วย เวินเจาก็หลีกเลี่ยงการเชิญหมอจากสำนักผิงอันมาตรวจอาการมาโดยตลอดแม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็หาหมอที่มีทักษะแพทย์ธรรมดาจากสำนักผิงอันมาหมอเหล่านั้นที่เป็นสายตรงของสกุลหาง เขาล้วนไม่กล้าพามาทุกอย่างตั้
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ