นางหลุดเข้ามาในนิยายกลายเป็นแม่ตัวร้ายที่มีลูกหลานล้อมรอบ ภารกิจคือสร้างครอบครัวให้มั่งคั่งเพื่อแลกกับการกลับบ้าน แต่เมื่อใจผูกพันจนไม่อาจจาก..โชคชะตากำลังบังคับให้นางต้องจากพวกเขาไปอย่างเจ็บปวด
View More* ไรต์ขออนุญาตแจ้งว่านิยายเรื่องนี้ไรต์เน้นเรื่องความสัมพันธ์ของแม่ลูกเป็นหลัก ถึงช่วงท้ายจะมีคู่ครองของหลี่เหมยเข้ามาเติมเต็ม แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ล้วนเป็นเนื้อหาของหลี่เหมยกับลูกหลานของเธอเป็นส่วนใหญ่ ฝากนักอ่านทุกท่านติดตามให้กำลังใจด้วยนะคะ
ท่ามกลางความเงียบสงบของวิลล่าหรูย่านชานเมือง หลี่เหมยในวัยสามสิบแปดปีกำลังใช้เวลาช่วงบ่ายอย่างผ่อนคลายในห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ซึ่งความสง่างามตามรสนิยมของเธอ
แสงแดดยามบ่ายสายส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาต้องกับพื้นกระเบื้องเนื้อดี ทำให้เกิดเป็นเงาของต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านที่พริ้วไหวตามแรงลมเบา ๆ หลี่เหมยในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงผ้าเนื้อดี กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวโปรด
สายตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ MacBook รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดหน้าเว็บไซต์นิยายออนไลน์ค้างไว้ นิ้วเรียวสวยที่เพิ่งถูกบำรุงด้วยครีมราคาแพงกำลังกดเลื่อนหน้าจออย่างรวดเร็ว ส่วนมืออีกข้างก็ยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นมาจิบอย่างเชื่องช้า
กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟชั้นดีอบอวลอยู่ในอากาศผสมผสานกับกลิ่นอายความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง นี่คือช่วงเวลาที่เธอชื่นชอบที่สุดในแต่ละวัน
ช่วงเวลาที่ได้ปลีกวิเวกจากความวุ่นวายของห้างค้าส่งขนาดใหญ่ที่เธอเป็นเจ้าของ ห้างที่ครั้งหนึ่งเธอเกือยบสูญเสียมันไปตอนที่พ่อแม่ตายจาก แต่ก่อร่างสร้างตัวจากความมุมานะและความเฉียบแหลมของเธอเอง เธอสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมืออีกครั้ง จนกลายเป็นอาณาจักรที่มั่นคง เสียดายที่พ่อแม่ตายายจากไปก่อน ยังไม่ทันได้เห็นความสำเร็จของเธอ
แต่แล้วสีหน้าของหลี่เหมยก็เปลี่ยนไปจากเดิมที่ผ่อนคลายกลายเป็นบึ้งตึง ดวงตาเรียวสวยหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ นิ้วที่กำลังกดเลื่อนหน้าจออยู่ก็หยุดชะงักลงตรงบรรทัดหนึ่งของนิยายที่เธอกำลังอ่านอยู่พอดี
เนื้อหาในบรรทัดนั้นบอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่มีชื่อเดียวกับเธอว่า หลี่เหมย ผู้ซึ่งมีความประพฤติแย่จนน่ารังเกียจเป็นที่สุด หญิงคนนี้คอยกดขี่ข่มเหงลูกชายคนโตและคนที่สามอย่างไม่ไยดี
ในขณะที่ตามใจลูกชายคนรองที่เอาแต่ได้และไม่เห็นใจพี่น้อง แถมนางยังมีนิสัยชอบขนของกินของใช้ที่ควรจะเป็นของลูก ๆ กลับไปให้บ้านเดิมของตนเอง จนลูก ๆ ต้องอดมื้อกินมื้อ
และเรื่องราวที่เธอกำลังอ่านอยู่นี้ก็มาถึงจุดที่ หลี่เหมยกำลังจะเอาลูกสาวคนเล็กกับหลานชายทั้งสองคนไปขาย เพื่อหาเงินให้หลานชายบ้านเดิมไปเรียนหนังสือ
"นี่มันเกินไปแล้วนะ! นางนี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว!"
หลี่เหมยในยุคปัจจุบันกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนแบบนี้ ยังดีที่เป็นแค่ตัวละครในนิยาย ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่ไร้ความเมตตาต่อลูกของตัวเอง แต่ยังเห็นแก่ตัวและไร้สามัญสำนึกเป็นที่สุด
ฉากต่อไปที่ปรากฏบนหน้าจอคือฉากที่กำลังจะเกิดโศกนาฏกรรม หลี่ซาน ลูกชายคนโตของหลี่เหมยในนิยายพยายามจะปกป้องน้องสาวและลูก ๆ ของตัวเองจากมารดาใจยักษ์
เขาอ้อนวอนขอร้องอย่างน่าเวทนา แต่หลี่เหมยในนิยายก็ไม่สนใจ นางพยายามจะฉุดกระชากหลี่หลิน ลูกสาวคนเล็กออกไปให้ได้ ในที่สุดจึงเกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกันขึ้นอย่างรุนแรง
"ปล่อยเถิดขอรับท่านแม่! ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย!"
เสียงของหลี่ซานร้องขอด้วยความเจ็บปวด
"แกนี่มันไร้ประโยชน์! ถอยไป!"
เสียงของหลี่เหมยในนิยายตอบกลับอย่างเย็นชา
ในขณะที่ยื้อยุดกันอยู่นั้น หลี่ซานก็เผลอผลักมารดาออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจเพื่อป้องกันตัวเองและน้องสาว ร่างของหลี่เหมยเสียหลักเซถลาไปปะทะเข้ากับเหลี่ยมกำแพงหินของบ้านจนศีรษะกระแทกอย่างจัง เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากรอยแตกบนศีรษะ ร่างของนางล้มลงกองกับพื้นอย่างเงียบงัน
"ท่านแม่! ท่านแม่ขอรับ!"
"ท่านแม่!"
"ท่านย่า!"
เสียงร้องไห้ระงมของลูก ๆ และหลาน ๆ ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ หลี่ซานทรุดตัวลงคุกเข่ากอดร่างมารดาที่แน่นิ่งไปแล้วเอาไว้ในอ้อมกอด เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนาโทษตัวเองที่ไม่ระมัดระวังจนทำให้มารดาต้องมาเสียเลือดเสียเนื้อเช่นนี้
หลี่เหมยในปัจจุบันที่อ่านมาถึงฉากนี้ก็ทุบโต๊ะทำงานอย่างแรงด้วยความโมโหจนแก้วกาแฟเย็นที่วางอยู่ข้าง ๆ ถึงกับสั่นคลอน
"ปล่อยให้ตาย ๆ ไปเลย! คนแบบนี้จะไปเสียน้ำตาให้ทำไม!"
หญิงสาวสบถออกมาด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น เธอไม่เห็นใจตัวละครหลี่เหมยในนิยายเลยแม้แต่น้อย สมควรแล้วที่ต้องได้รับจุดจบเช่นนี้
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ป้าหลัว แม่บ้านวัยห้าสิบกว่าปีผู้ที่ทำงานกับหลี่เหมยมานานก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมกับถือเหยือกน้ำและแก้วน้ำใบใหม่เข้ามาเติมให้
"วันนี้คุณหลี่ไม่ออกไปที่ห้างเหรอคะ"
ป้าหลัวเอ่ยถามขึ้นอย่างสุภาพและเป็นห่วงเป็นใย
"ฉันเพิ่งอ่านนิยายเรื่องใหม่ค่ะป้า วันนี้กะว่าจะไม่ออกไปไหน"
หลี่เหมยตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มเล็ก ๆ ให้กับแม่บ้านที่เธอรักเหมือนแม่แท้ ๆ อีกคนหนึ่ง
"ถ้าคุณหลี่หิวเมื่อไหร่ก็โทรเรียกป้านะคะ เดี๋ยวป้าจะยกอาหารขึ้นมาให้"
"ขอบคุณค่ะป้า"
หลังจากป้าหลัวเดินออกจากห้องไปแล้ว หลี่เหมยก็หันกลับมาสนใจนิยายบนหน้าจออีกครั้ง แต่เนื่องจากความรู้สึกยังคงขุ่นเคืองจากเรื่องราวที่เพิ่งอ่านไป เธอจึงอยากจะพักสายตาจากหน้าจอสักครู่ เธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่ป้าหลัวเพิ่งนำมาวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มเพื่อดับความร้อนในใจ
แต่แล้วอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น แก้วน้ำในมือของเธอหลุดมืออย่างกะทันหัน น้ำในแก้วหกใส่ MacBook ที่กำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่พอดี หลี่เหมยตกใจรีบจะถอยหนี แต่ทว่าก็สายไปเสียแล้ว
ในขณะที่เธอเอนตัวหนีนั้น หน้าจอ MacBook ก็เกิดแสงวาบขึ้นมาอย่างรุนแรง แสงนั้นสว่างจ้าจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ ก่อนที่ลำแสงสีเงินยวงจะพุ่งตรงมาที่เธออย่างรวดเร็ว ดึงเอาวิญญาณของเธอเข้าไปสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างน่าอัศจรรย์
"อ๊ายยยย!"
เสียงกรีดร้องของหลี่เหมยถูกกลืนหายไปในความว่างเปล่า ในวินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองกำลังถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และถูกลากเข้าไปในกระแสวนที่มองไม่เห็น
เธอคิดว่าเธอคงจะตายไปแล้วแน่ ๆ ทั้งที่เพิ่งจะบ่นว่าตัวละครในนิยายสมควรตายไปไม่นาน แต่ตอนนี้กลับเป็นเธอเสียเองที่ต้องมาเผชิญหน้ากับความตายอย่างกะทันหัน
หลี่เหมยหมดสติไปในความมืดมิดอันว่างเปล่า แต่แล้วความรู้สึกก็ค่อย ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง เธอกลับได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ดังระงมอยู่รอบตัว เสียงสะอึกสะอื้นที่น่าเวทนา เสียงร้องเรียกหาแม่ที่ฟังแล้วปวดร้าวหัวใจ
เธอพยายามลืมตาขึ้น แต่ดวงตาของเธอกลับหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมขึ้นมาได้ เธอพยายามอย่างสุดกำลังจนในที่สุดเปลือกตาก็เปิดออก เธอมองเห็นเพดานไม้ที่เก่าและผุพังเหนือศีรษะ ภาพที่เห็นนั้นช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย นี่ไม่ใช่ห้องทำงานของเธอที่วิลล่าหรูอย่างแน่นอน
"ท่านแม่! ท่านแม่ฟื้นแล้ว!"
เสียงร้องด้วยความดีใจดังขึ้นเมื่อหลี่เหมยลืมตาตื่นขึ้นมา ทุกคนที่คุกเข่าร้องไห้อยู่ข้างเตียงพากันโผเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าดีใจสุดขีด หลี่ซาน ลูกชายคนโตของหลี่เหมยในนิยายก็รีบเข้ามาจับมือของมารดาเอาไว้แน่น เขายังคงมีน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเห็นได้ชัด
"ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้วขอรับ! ลูกขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเป็นเช่นนี้! หากท่านเป็นอะไรไป ลูกคงไม่มีหน้าไปพบใครได้"
หลี่ซานเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ เขายังคงโทษตัวเองอยู่ร่ำไป
หลี่เหมยที่เพิ่งตื่นขึ้นมามองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน เธอกำลังสวมชุดนอนผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ มีผ้าพันแผลพันศีรษะไว้แน่นหนา รอบ ๆ ตัวมีเด็ก ๆ สี่คนและหญิงสาวอีกหนึ่งคนคุกเข่าล้อมรอบเตียง
"ยะ...อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าคือใคร.."
"ลูกหลี่ซานไงขอรับท่านแม่ ท่านจำลูกไม่ได้แล้วหรือ"
หลี่ซานตอบกลับด้วยสีหน้าตกใจและเสียใจที่มารดาจำเขาไม่ได้
ทุกคนในห้องต่างก็แสดงความตกใจและเสียใจออกมาอย่างชัดเจนเมื่อเห็นท่าทีของหลี่เหมย พวกเขาคิดว่าหลี่เหมยคงจะความจำอะไรไม่ได้แล้วแน่ ๆ
หลี่เหมยในร่างใหม่ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ใบหน้าของหลี่ซานและทุกคนในครอบครัวช่างดูเหมือนกับคำบรรยายในนิยายที่เธอเพิ่งจะอ่านมาไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
"ไม่จริง! นี่มันเป็นเรื่องโกหก! เรื่องตลกใช่ไหม! อย่าบอกนะว่าฉันหลุดเข้ามาอยู่ในนิยายที่กำลังอ่านอยู่จริง ๆ!"
หลี่เหมยกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง เธอรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะหยุดเต้น ภาพที่เห็นตรงหน้าคือความจริงที่เธอไม่อยากจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในห้วงความคิดของเธอ เสียงนั้นฟังดูสุขุมและอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
[จากนี้ไปเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้ จนกว่าเจ้าจะทำให้ครอบครัวนี้มีความสุขและรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ เจ้าจึงจะมีโอกาสได้กลับไปยังที่ที่เจ้าจากมา ห้างค้าส่งของเจ้าจะติดตามเจ้ามาในรูปแบบของมิติ ยังมีน้ำพุวิเศษที่รักษาได้ทุกโรคเป็นตัวช่วยอีกอย่างหนึ่ง แต่เจ้าควรระวังในการใช้ เพราะสิ่งของเหล่านั้นในยุคนี้มีทั้งคุณและโทษในคราวเดียว]
"อะไร? ใครพูด?" หลี่เหมยถามออกไปในใจ
แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีกแล้ว เสียงนั้นเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ความทรงจำของร่างนี้จะหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธออย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
"อ๊ะ!...โอ๊ยย!"
หลี่เหมยกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เมื่อความทรงจำทั้งหมดของหลี่เหมยร่างเดิมพรั่งพรูเข้ามาในสมองของเธออย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่สมองของคนปกติจะรับไหว
ความทรงจำอันเลวร้ายของหลี่เหมยร่างเดิมที่เต็มไปด้วยความอิจฉา ริษยา และการกระทำที่เลวทรามหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ความทรงจำของร่างนี้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งกายและใจ
เมื่อเห็นว่าหลี่เหมยส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ลูก ๆ ลูกสะใภ้ และหลาน ๆ ของเธอก็รีบเข้ามาดูเธอด้วยความตกใจ
"ท่านแม่เป็นอะไรไปขอรับ"
หลี่ซานรีบถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
"ท่านย่า! ท่านย่าอย่าเป็นอะไรนะขอรับ"
หลี่ซางจื้อและหลี่ซางหยวนรีบเข้ามาดูอาการของท่านย่าด้วยความเป็นห่วง
หลี่เหมยได้แต่กุมศีรษะของตัวเองไว้แน่น ดวงตาของนางเหลือบไปเห็นหญิงสาวหน้าตาอ่อนโยนที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอด หลี่เหมยรู้ได้ทันทีว่านางคือเสี่ยวม่าย ภรรยาของหลี่ซาน
ร่างทั้งร่างของหลี่เหมยสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดจากอาการปวดศีรษะ และในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
"ขะ...ข้าควรจะทำยังไงต่อไปดี"
นางพึมพำกับตัวเองในใจขณะที่ภาพความทรงจำของร่างเดิมยังคงหมุนวนอยู่ในหัวไม่ยอมหยุดหย่อน
(จากนี้ไปไรต์จะเปลี่ยนคำเรียกแทนตัวของหลี่เหมย จาก เธอ เป็น นาง เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยนะคะ)
การสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ทำให้หลี่เหมยเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงด้วยอาการตรอมใจ แต่ในห้วงเวลาสุดท้ายของการจากไป จิตใจของเธอกลับสงบและเต็มไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์ การยอมสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ทำให้เธอได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมให้เธอกลับไปสู่จุดจุดเดิมที่ห้วงคะนึงโหยหาอีกครั้งประตูสู่โลกใบเก่าในห้วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะสิ้นสุดลง วิญญาณของหลี่เหมยพลันหลุดลอยออกมาจากร่างที่ผ่ายผอม เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสถานที่อันว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวเย็นยะเยือก รอบกายไม่มีสิ่งใด นอกจากความเงียบงันและอุณหภูมิที่หนาวเหน็บ ทันใดนั้นเอง เสียงลึกลับที่เคยพาเธอมายังโลกแห่งนิยายในครั้งแรก ก็ดังขึ้นอีกครั้ง"หลี่เหมย... เจ้าได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการสละทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าได้นับร้อยชีวิต ความดีงามของเจ้าได้กลายเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ดวงวิญญาณของเจ้า และด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่เจ้ามีต่อครอบครัว บุญกุศลนี้จึงได้ตอบแทนเจ้า"หลี่เหมยเงียบฟังอย่างตั้งใจ หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวังที่ริบหรี่"เราจะให้โอกาสเจ้าอี
เสียงเครื่องวัดชีพจรในห้องคนป่วยดัง "ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…" เนิ่นนานกว่าหนึ่งปีเต็ม ที่ร่างของหลี่เหมยนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งนี้ สีหน้าของเธอนั้นสงบราวกับคนที่หลับใหลไปในห้วงนิทราอันยาวนานข้างกายของหลี่เหมย มีเพียงป้าหลัว หญิงวัยกลางคนที่จงรักภักดี คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไม่เคยห่างกาย ถึงจะมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ แต่ป้าหลัวก็จะคอยพูดคุยกับร่างที่ไร้การตอบสนองนั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเจ้านายของตนจะกลับมากระทั่งเช้าวันหนึ่ง แสงตะวันสีทองอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้อง ดวงตาที่ปิดสนิทของหลี่เหมยค่อย ๆ กะพริบขึ้นอย่างเชื่องช้า นิ้วมือเรียวเล็กขยับสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังไขว่คว้าจับต้องบางสิ่ง ป้าหลัวที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความยินดี ก่อนจะรีบคว้ามือของเจ้านายเอาไว้แน่น"คุณหลี่! คุณหลี่ฟื้นแล้วหรือคะ!" เสียงของป้าหลัวสั่นเครือด้วยความตื้นตันใจและดีใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทันทีที่ได้รับแจ้งผ่านสัญญาณ พยาบาลและแพทย์ก็รีบเข้ามาตรวจ
เสียงสะอื้นแผ่วเบาของเด็ก ๆ ทั้งสามดังลอดออกมาจากเรือนนอนที่เงียบสงัด ราวกับสายลมเศร้าที่กำลังร่ำร้องปลุกปลอบวิญญาณของผู้เป็นย่าให้ตื่นขึ้นมา ทว่า...ความเงียบวังเวงกลับเป็นสิ่งเดียวที่โอบล้อมอยู่เซียวติ้งเซิงก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ใจที่เคยแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผากำลังแหลกสลายอย่างไม่อาจต้าน ดวงตาคมของเขาเบิกกว้าง ก่อนจะพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าหลี่เหมยนอนนิ่งบนเตียง ผิวซีดขาวเย็นชืดประหนึ่งหยกที่ไร้ชีวิตชีวา มีร่างเล็กจ้อยของซางหนิงอิงซบอยู่กลางอก มือเล็ก ๆ ตบเบา ๆ ราวกับจะปลุกให้ท่านย่าลืมตา ซางจื้อคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กอบกุมมือที่เย็นเฉียบไว้แน่น ดวงตาบวมช้ำด้วยน้ำตา ซางหยวนนอนข้างน้องสาวสะอื้นจนตัวสั่นไม่ยอมห่างไปไหน"ท่านย่า...ตื่นเถอะขอรับ...อาจื้ออยู่ตรงนี้แล้ว...ได้โปรดอย่าทิ้งพวกเราไป...""ต้านย่า...ต้านย่ากลับมาก่อน...ฮึก...อย่าไปนะ..."หัวใจของเซียวติ้งเซิงแทบแตกสลาย เขาก้าวเข้าไปอย่างโซซัดโซเซ ก่อนทรุดนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่สั่นเทาขณะประคองร่างบอบบางของหลี่เหมยขึ้นมากอดแนบอก ความเย็นชืดนั้นแทงทะลุเข้าถึงกระดูก"อาเหมย...เหตุใดเจ้าจึงจากไปเช่นนี้ ข้าตั้งใ
ยามเย็นของวันนั้น แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ลาลับทิวเขา สาดทาบเป็นสีทองเรื่อไปทั่วทุ่งนา เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับขานทำนองแห่งรัตติกาล กลิ่นหอมจากครัวเล็ก ๆ ของจวนสกุลหลี่ก็ลอยอบอวลไปทั่วทุกห้องบนโต๊ะไม้เรียบง่ายกลางเรือน มีอาหารเรียงรายครบครัน ทั้ง ปลาช่อนทอดสามรส ผัดหน่อไม้ น้ำแกงรากบัวตุ๋นกระดูกหมู กลิ่นหอมอบอวล ชวนให้น้ำลายสอ ทั้งหมดนั้นคืออาหารที่ครั้งหนึ่งหลี่เหมยเคยทำให้ลูก ๆ ลิ้มรส และบัดนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่มือหลี่หลินกับเสี่ยวม่าย ที่ตั้งใจปรุงรสราวกับได้รำลึกความหลัง นางทอดสายตามองอาหารตรงหน้าแล้วหัวใจสั่นสะท้าน เหมือนทุกอย่างย้อนคืนกลับสู่วันเก่า ช่วงเวลาแรกที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้"โอ้โห กับข้าวพวกนี้ทำให้ลูกคิดถึงบ้านหลังเก่าของเรานะขอรับท่านแม่ ลูกยังจำวันที่เราไปสับหน่อไผ่แล้วก็จับงูมาขายได้ขึ้นใจเลย" หลี่ซุนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า"จริงด้วย วันที่พวกเราขึ้นเขาไปเก็บรากบัว ไปจับปลาช่อนตัวใหญ่ ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน แม้กระทั่งวันที่พวกเราวิ่งหนีเสือครั้งนั้นลูกก็ยังจำได้ขึ้นใจ" หลี่ซานเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ"แม่ก็คิดถึง ช่วงเวลานั้นแม่มีความสุขมากเลยนะ"ห
หลายเดือนต่อมา หลังจากที่หลี่เหมยและครอบครัวได้ตั้งรกรากในเมืองเทียนฉางอย่างมั่นคง นางก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังตั้งแต่แรกนางหมายใจว่าจะซื้อบ้านที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เมื่อดูอยู่หลายแห่งก็ยังไม่ถูกใจ บ้างก็แคบเกินไป บ้างก็ทรุดโทรมเสียจนต้องซ่อมใหม่หมดสิ้น ใช้เงินมากกว่าที่นางตั้งใจไว้เสียอีกพอฮูหยินผู้เฒ่าเซียวรู้จึงได้บอกให้นางมาดูจวนที่อยู่ติดกัน จวนนี้มีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน จวนประเภทนี้สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ โดยมีรูปแบบจตุรนิเวศ ซึ่งเป็นการสร้างอาคารสี่หลังล้อมรอบลานกว้างไว้ตรงกลาง จวนประเภทนี้เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองรอง ไม่ใช่เมืองหลวง ราคาจึงอยู่ที่ 2000 ตำลึง เท่าที่หลี่เหมยหาข้อมูลมา ทว่าจวนหลังนี้นางกลับซื้อได้เพียง 1000 ตำลึงเท่านั้น ช่างโชคดียิ่งนักแต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือเซียวติ้งเซิงคือผู้อยู่เบื้องหลัง หลายเดือนมานี้เขาไม่ยอมไปทำการค้าต่างแคว้นนาน ๆ เหมือนเคย ไปก็เพียงใกล้ ๆ 1 สัปดาห์ก็รีบกลับมา แถมยังชอบหาของฝากมาให้ลูกหลานของนางอยู่ตลอดบ
ณ ตรอกเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเต้าหู้สกุลหลี่ บรรยากาศอับชื้นและเย็นยะเยือก หวังเฟยฮวา สตรีผู้ซึ่งมีใบหน้าเต็มไปด้วยความริษยา พูดคุยอย่างออกรสกับญาติผู้น้อง ที่นางจ้างมาเพื่อแสดงละคร "พวกเจ้าสองคนต้องแสดงให้แนบเนียน อย่าให้พวกมันจับพิรุธได้รู้หรือไม่""ข้ารู้แล้วน่าพี่หญิง ว่าแต่ถ้าข้าทำสำเร็จ เมื่อได้เงินมาแล้ว 100 ตำลึงต้องเป็นของข้าตามที่ตกลงกันไว้นะ" เจิ้งฉือญาติห่าง ๆ ของนางกล่าวย้ำชัดถึงข้อตกลงอีกครั้ง"ข้ารู้แล้ว หากทำสำเร็จ เงินก็อยู่ในมือพวกเจ้ามิใช่หรือ พวกเจ้าก็หักไว้เลย 100 ตำลึง ส่วนที่เหลือค่อยเอามาให้ข้า ขอเพียงได้มาจ่ายหนี้พนันให้อาจงก็พอ เรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันอีกทีหลังจากนี้"หวังเฟยฮวาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ พูดจบสองสามีภรรยา เจิ้งฉือและเจิ้งหว่านหรู ก็เริ่มการแสดงที่ซักซ้อมกันมาอย่างดี เจิ้งฉือล้มตัวลงนอนในเปลหาม ส่วนเจิ้งหว่านหรูก็รีบเอาผ้าคลุมสีขาวปิดหน้าสามีเอาไว้ แล้วสั่งให้ลูกชายทั้งสองของพวกเขาหามผู้เป็นพ่อเดินตรงไปที่หน้าร้านเต้าหู้สกุลหลี่"ช่วยด้วย...ช่วยด้วยเจ้าค่ะ" เจิ้งหว่านหรูร้องห่มร้องไห้ "...""มาดูความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเ
Comments