แชร์

บทที่ 5

ผู้เขียน: หลันซานอวี่
โจวโหย่วเหลียงเพิ่งมารวมตัวกับครอบครัวบนยอดเขา ก็ได้รู้เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงช่วยชีวิตลูกเมียของเขาจากปากเจิ้งซื่อ

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย

หลังจากตั้งสติได้ เขาก็บอกเรื่องนี้กับบิดามารดาของตน จากนั้นก็ถือลูกเดือยถุงหนึ่ง พาลูกเมียมาขอบคุณ

เมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงบ่ายเบี่ยง โจวโหย่วเหลียงที่เป็นผู้ชายก็ไม่สะดวกที่จะคะยั้นคะยออวิ๋นฝูหลิง ได้แต่ขอบคุณบุญคุณที่ช่วยชีวิตของอวิ๋นฝูหลิงอยู่ข้างๆ อย่างจริงใจ

จากนั้นก็ดึงโจวฉางจี๋มาตรงหน้า

ก่อนมาโจวฉางจี๋ก็ถูกอบรมก่อนแล้ว เขากล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนิ่ม “ขอบคุณป้าอวิ๋น!”

อวิ๋นฝูหลิงเห็นใบหน้าเล็กที่อวบอิ่มและรูปร่างอ้วนเล็กน้อยของเขา ดวงตาที่เหมือนองุ่นดำก็สดใสขึ้นมาทันที

และรู้ด้วยว่าเขาเป็นที่รักของคนตระกูลโจว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถกินจนได้รูปร่างเช่นนี้ในครอบครัวชาวนา

อวิ๋นฝูหลิงเห็นเขาน่ารักมาก อดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของเขา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร!”

พูดจบก็หันไปพูดกับสองสามีภรรยา “สถานการณ์เช่นก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าใครพบเจอก็ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทุกคนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันและกันเป็นสิ่งที่สมควรทำ พวกเจ้าไม่จำต้องทำเช่นนี้”

พวกผู้ใหญ่คุยกัน เด็กน้อยสองคนที่อยู่ข้างๆ พวกเขา ต่างคนต่างมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

เมื่อก่อนอวิ๋นจิงมั่วมักถูกขังอยู่ในบ้านเสียส่วนใหญ่ น้อยครั้งที่จะได้ออกมาเล่นข้างนอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหาเพื่อน

คราวนี้มาเจอเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับตัวเอง จึงอดไม่ได้ที่จะแอบมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

ส่วนโจวฉางจี๋ไม่เคยเห็นเด็กที่หน้าตาน่ารักอย่างอวิ๋นจิงมั่ว

เขาฉีกยิ้มให้อวิ๋นจิงมั่วอย่างซื่อบื้อโดยไม่รู้ตัว

อวิ๋นจิงมั่วรู้สึกถึงเจตนาดีของเขา ก็เม้มปากยิ้มเช่นกัน

ท้ายที่สุดอวิ๋นฝูหลิงก็ไม่สามารถทนต่อการรบเร้าของสองสามีภรรยาไหว ได้แต่รับลูกเดือยถุงนั้นเอาไว้

หลังจากสองสามีภรรยามอบของตอบแทนเสร็จ ก็กล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะอุ้มลูกชายโจวฉางจี๋จากไป

เวลานี้ ชาวบ้านต่างคนต่างหาพื้นที่พักผ่อนจุดละสองสามคนแล้ว

บางคนที่ตากฝน ก็เปลี่ยนชุดที่เปียก

หลังจากนั้นบิดเสื้อจนน้ำแห้ง ถือโอกาสตอนนี้ยังมีแดด นำกิ่งไม้มาต่อกันแล้วตากไว้ข้างบน

คนที่ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนทำได้เพียงบิดน้ำที่อยู่ในเสื้อผ้า หลังจากนั้นก็ไปตากแดดโดยใช้ร่างกายเป็นราวตากผ้า

ดีที่ตอนนี้เป็นหน้าร้อน สวมใส่เสื้อผ้าที่เบาบางและแดดก็แรง ตากเพียงครู่เดียวเสื้อผ้าก็ตากจนเกือบแห้งแล้ว

หลังจากอวิ๋นฝูหลิงกวาดมองหนึ่งรอบ ในใจก็เริ่มมีแผนแล้ว

ในเวลาช่วงสั้นๆ เกรงว่าพวกเขาต้องอยู่บนยอดเขา รอให้น้ำท่วมลดลง

เช่นนั้นก็ต้องคิดเรื่องอาหาร ที่พัก และความปลอดภัยแล้ว

อวิ๋นฝูหลิงนำเสื้อกันฝนและลูกเดือยถุงนั้นใส่ในตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นก็แบกตะกร้าไม้ไผ่ จูงมืออวิ๋นจิงมั่วไปเก็บฟืนในละแวกนี้

อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็จะมืดแล้ว นางต้องอาศัยโอกาสนี้เก็บฟืนมาตากให้แห้ง

เช่นนี้จึงจะก่อไฟหุงข้าว ให้แสงสว่างและความอบอุ่นได้สะดวก

อวิ๋นจิงมั่วฉลาดมาก หลังจากดูครู่หนึ่ง ก็ขยับขาสั้นๆ เก็บฟืนส่งให้อวิ๋นฝูหลิง

อวิ๋นฝูหลิงรับฟืนมาหนึ่งท่อน ก็ชมอวิ๋นจิงมั่วหนึ่งคำ

อวิ๋นจิงมั่วถูกชมจนมีความสุข ยิ่งมีความกระตือรือร้นในการเก็บฟืนเพิ่มขึ้น

สองแม่ลูกยิ่งเดินยิ่งห่างออกไปจากจุดที่ชาวบ้านรวมตัวกันโดยไม่รู้ตัว

เมื่อโหวซานและคนอื่นเห็น ต่างส่งสัญญาณทางสายตาให้กันและกัน จากนั้นก็รีบตามไปทันที

ระหว่างที่อวิ๋นฝูหลิงเก็บฟืน ยังได้เจอเห็ดไม่น้อยด้วย

นอกจากนี้ สมุนไพรบนภูเขาแห่งนี้เติบโตได้เขียวชอุ่ม อวิ๋นฝูหลิงก็เลยอาศัยโอกาสนี้เก็บมาบางส่วน

อวิ๋นฝูหลิงกำลังขุดขิงป่าพุ่มหนึ่ง จู่ๆ ก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ในอากาศ

หลังจากร่างกายร่างนี้ของนางได้รับการดัดแปลงจากหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณ ประสาทสัมผัสทั้งห้าจึงเฉียบคมมาก

นางรีบลุกขึ้นยืน ดมแล้วดมอีกอย่างละเอียด

เป็นกลิ่นคาวของเลือดจริงๆ อีกทั้งกลิ่นแรงกว่าเมื่อครู่หลายส่วน

ที่นี่มีกลิ่นคาวเลือดไม่ใช่เรื่องดีอะไร มันสามารถดึงดูดสัตว์ป่ามาทางนี้

สีหน้าอวิ๋นฝูหลิงเคร่งขรึมทันที

นางมองไปตามทิศทางที่กลิ่นคาวเลือดลอยมา ก็มองเห็นพุ่มหญ้าป่าขนาดใหญ่ที่สูงเท่าครึ่งคน

เวลานี้ไร้ลม พุ่มหญ้าป่ากลับกำลังสั่นเบาๆ เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน

อวิ๋นฝูหลิงกลัวเจอสัตว์ป่าขนาดใหญ่ พลันแน่นหน้าอก รีบจูงมืออวิ๋นจิงมั่ว คิดจะจากไปทันที

ใครจะรู้ว่านางเพิ่งหมุนกาย ก็เห็นโหวซานและคนอื่นใกล้เข้ามา

อวิ๋นฝูหลิงรีบป้องอวิ๋นจิงมั่วไว้ข้างกาย มองไปทางพวกเขาอย่างเย็นชา

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

สีหน้าโหวซานโกรธแค้น “เจ้าฆ่าพวกพี่ใหญ่ข้า ข้าย่อมจะมาฆ่าเจ้าเพื่อแก้แค้นให้พวกเขา!”

อวิ๋นฝูหลิงนึกถึงภาพใต้เขาที่ถูกน้ำท่วม นางเลิกคิ้วทันที แสร้งแสดงสีหน้าโกรธเคืองเพราะถูกปรักปรำ

“เจ้าบอกว่าข้าฆ่าคน มีหลักฐานหรือไม่?”

“มันเป็นแค่คำพูดฝ่ายเดียวของเจ้าก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าตะโกนแค่คำเดียว ดึงดูดชาวบ้านมาทางนี้ เจ้าว่าพวกเขาจะเชื่อเจ้าหรือเชื่อข้า?”

เจ้าของร่างเดิมอ่อนแอมาโดยตลอด ใครจะเชื่อว่านางสามารถฆ่าคนได้?

อีกทั้งเมื่อครู่นางเพิ่งช่วยสะใภ้ใหญ่กับหลานชายคนโตของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านโจว

เมื่อเทียบกับอันธพาลเจ้าถิ่นเหล่านี้ คาดว่าคนในหมู่บ้านหลินซานจะเชื่อนางมากกว่า

ราชวงศ์ต้าฉีสถาปนาแคว้นจนถึงตอนนี้ก็มีฮ่องเต้สามพระองค์แล้ว ปัจจุบันทั่วหล้าสงบสุข มีกฎหมายปกครองแคว้น ย่อมไม่ได้วุ่นวายและอันตรายเหมือนตอนที่นางอยู่โลกวิบัติ

อวิ๋นฝูหลิงในเวลานี้ก็ไม่ได้บู่มบ่ามเหมือนตอนที่เพิ่งฟื้น

นางรู้ดี แม้ว่ามิติเวลาแห่งนี้เป็นยุคศักดินาที่ปกครองโดยราชอำนาจ แต่ถ้าหากอยากใช้ชีวิตที่นี่ในฐานะเจ้าของร่าง การกระทำของนางไม่สามารถป่าเถื่อนเหมือนตอนอยู่โลกวิบัติได้

หากต้องการจัดการปัญหาตรงหน้ากลุ่มนี้ มีวิธีเยอะแยะโดยไม่ต้องทำร้ายคน

บางครั้งแสดงความอ่อนแอ ยืมแรงต้านแรง ก็เป็นวิธีที่ไม่เลว

โหวซานรู้ดีว่าหลักฐานถูกทำลายหมดแล้ว เวลานี้ได้ยินอวิ๋นฝูหลิงพูดถึง เขาจึงโกรธมาก

“ข้าจะฆ่านังแพศยาอย่างเจ้าให้ได้!”

ทว่าโหวซานยังไม่ทันได้ลงมือ ก็ถูกลูกพี่อู๋ที่เป็นผู้นำขัดขวาง

ลูกพี่อู๋คว้าไหล่ของโหวซาน กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “โหวซาน ไม่ต้องรีบลงมือ”

เขามองไปทางอวิ๋นฝูหลิง ในดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึง เมื่อมาดูใกล้ๆ เช่นนี้ เหมือนจะยิ่งงามกว่าเดิม

อวิ๋นฝูหลิงถูกสายตาของลูกพี่อู๋มองจนขมวดคิ้ว

แต่คนผู้นี้นอกจากสายตาที่มองมาอย่างเร่าร้อน ก็ไม่ได้ดูหื่นกาม ที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนพวกโหวซาน

แต่อวิ๋นฝูหลิงก็ไม่ชอบที่ถูกคนมองเช่นนี้

นางกำลังจะระเบิดอารมณ์ ลูกพี่อู๋กลับชิงเอ่ยปากกล่าวก่อน

“แม่นางอวิ๋น เลิกขู่พวกเราได้แล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากจุดรวมตัวของชาวบ้านไกลมาก เกรงว่าเจ้าตะโกนจนคอแตก พวกเขาทุกคนก็ไม่ได้ยิน!”

อวิ๋นฝูหลิงจึงจะพบว่า รู้ตัวอีกทีนางก็อยู่ห่างจากจุดรวมตัวของชาวบ้านไกลมากแล้ว

ลูกพี่อู๋กล่าวต่อ “เจ้าบอบบางตัวคนเดียวและยังพาลูกมาด้วย หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของพวกเราหรอก!”

“เช่นนี้ก็แล้วกัน ขอแค่เจ้ายอมแต่งงานกับข้า ข้าก็ช่วยเจ้าคุยกับโหวซาน คลายความแค้นนี้”

เมื่อชายจมูกงุ้มและคนอื่นได้ยิน ก็เริ่มหยอกเย้าทันที ชั่วขณะเสียงเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่า ‘ซ้อใหญ่’ ดังขึ้นเรื่อยๆ

มีเพียงสีหน้าของโหวซานที่น่าเกลียดมาก

“ลูกพี่อู๋ ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้คุยกันแบบนี้นี่!”

ลูกพี่อู๋ตบไหล่ของโหวซาน เขากล่าวเสียงเบา “สบายใจได้ ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 6

    โหวซานได้ยินดังนั้นก็นึกว่านี่เป็นแผนการที่ลูกพี่อู๋คิดขึ้นเพื่อกำราบอวิ๋นฝูหลิง สีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อยอีกอย่างอวิ๋นฝูหลิงรูปงาม ลูกพี่อู๋อยากจะลองลิ้มรสชาติของนางก่อนก็เป็นเรื่องปกติโหวซานนึกว่าเดาใจลูกพี่อู๋ถูก จึงหัวเราะแล้วหันไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่ลูกพี่อู๋ จากนั้นเอ่ยขึ้น“หญิงสาวที่งดงามขนาดนี้ หากฆ่าทิ้งคงเสียดายแย่ ไม่สู้ให้นางได้เล่นสนุกกับลูกพี่อู๋ก่อน รอให้พี่น้องทุกคนสนุกกันเต็มที่แล้ว ข้าค่อยสังหารนาง เพื่อแก้แค้นให้พี่ใหญ่ก็ยังไม่สาย”ลูกพี่อู๋ได้ยินดังนั้น แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม ทว่าในดวงตากลับเหี้ยมเกรียมขึ้นทันใดเขาอยากจะตบแต่งอวิ๋นฝูหลิงด้วยใจจริง ย่อมทนฟังโหวซานเหยียดหยามนางด้วยคำพูดเช่นนี้ไม่ได้ชายจมูกงุ้มหลายคนเห็นสีหน้าของลูกพี่ พลันรู้ได้ทันทีว่าเขาโมโหแล้วแต่โหวซานยังไม่รู้ตัว ยังคงพูดจาหยาบโลนต่อไปไม่หยุดดวงตาอวิ๋นฝูหลิงเยือกเย็น ทว่าใบหน้ากลับยิ้มแย้ม “ได้สิ งั้นข้าจะเล่นสนุกกับพวกเจ้าก่อน”พอดีกับยามนี้ที่มีสายลมพัดผ่านไปยังทิศทางของพวกลูกพี่อู๋อวิ๋นฝูหลิงฉวยโอกาสตอนทุกคนเผลอ โปรยผงยาหนึ่งห่อผงยาโชยไปตามลมใส่หน้าพวกลูกพี่อู๋ จากนั้นถูกพวกเขา

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 7

    สายตาอวิ๋นฝูหลิงหันมองหินลูกเล็กที่ตกอยู่ข้างกายโหวซานก้อนนั้นใช้เพียงหินก้อนเล็กก้อนเดียวก็สามารถฆ่าคนได้ อีกฝ่ายย่อมไม่ธรรมดาอวิ๋นฝูหลิงแหวกพงหญ้าออก ทันใดนั้นสบเข้ากับดวงตาดำขลับล้ำลึกภายในพงหญ้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรสีดำปักลายสีทองนั่งอยู่มือขวาของเขาถือกระบี่ป้องกันไว้ตรงหน้า ดูระมัดระวังอย่างมากสายตาที่มองอวิ๋นฝูหลิงเต็มไปด้วยความระแวงชายหนุ่มดูเหมือนคนอายุยี่สิบกว่า ใบหน้าหมดจด คิ้วโก่งดั่งภาพวาด เป็นคนที่รูปงามมาก ทว่าท่าทางตึงเครียดของเขาในตอนนี้ ทำให้รังสีรอบตัวเขาดูขึงขังขึ้นมากอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกแค่ว่าช่วงตาของชายหนุ่มดูคุ้นเคย แอบคิดในใจว่าหรือจะเป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมรู้จักแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องตนอย่างแปลกหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เคยรู้จักเจ้าของร่างเดิมมาก่อนอวิ๋นฝูหลิงจึงไม่คิดอะไรอีกนางสังเกตเห็นริมฝีปากที่ขาวซีดของชายหนุ่ม ใบหน้าเขาซีดเผือด จากนั้นได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จึงรู้ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสหากไม่รีบรักษาแล้วห้ามเลือด เกรงว่าคงยืนหยัดได้อีกไม่นาน เขาอาจจะตายเพราะเสียเลือดมากเกินไปอวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด แล้วนำผงยาออกมาจากกระเป๋าหนึ่งขว

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 8

    อวิ๋นฝูหลิงจ้องลูกพี่อู๋หนึ่งครั้งเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ อีกทั้งสามารถทำให้ลูกน้องเชื่อฟัง เชื่อใจ และทำตามได้ถือเป็นคนเก่งคนที่มีความสามารถเช่นนี้หากยอมศิโรราบต่อนาง รับใช้นาง ต่อไปต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีอวิ๋นฝูหลิงที่ได้ลูกน้องใหม่สี่คน สั่งให้พวกเขาไปตามหาแหล่งน้ำและเก็บฟืนทันทีอวิ๋นฝูหลิงถือคติตบหัวแล้วลูบหลัง จึงแจกจ่ายถุงยาให้พวกเขาคนละหนึ่งอันถุงยานี้อวิ๋นฝูหลิงปรุงขึ้นอย่างตั้งใจ เมื่อสวมใส่ติดตัวจะมีสรรพคุณขับไล่งูและแมลง เป็นสิ่งจำเป็นเมื่ออยู่ในป่าในเขาก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงพาอวิ๋นจิงมั่วไปมาในป่าอย่างตามใจ เพราะมีถุงยานี้ติดตัวทั้งสองเมื่อพวกของลูกพี่อู๋รู้ว่าถุงยาสามารถขับไล่งูและแมลง รู้ว่านี่เป็นของดีจึงรีบสวมติดตัวทันทีความขุ่นเคืองที่ต้องกินยาถอนพิษเพราะไม่มีทางเลือก จึงค่อยสลายไปบ้างเมื่อมีพวกลูกพี่อู๋ไปตามหาฟืนและแหล่งน้ำ มือหนึ่งของอวิ๋นฝูหลิงจูงอวิ๋นจิงมั่ว ส่วนอีกมือหนึ่งถือฟืนที่เพิ่งเก็บได้เมื่อครู่ จากนั้นย้อนกลับไปจุดที่ชาวบ้านรวมตัวกันหลังจากเซียวจิ่งอี้จัดการแผลบนร่างกายเสร็จแล้ว เขาแหวกพงหญ้าและมองเห็นแผ่นหลังของอวิ๋นฝูงหลิงพอดีเขากำขวดยาที

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 9

    อวิ๋นฝูหลิงคิดแต่จะช่วยคน จึงขี้เกียจสนใจนาง ไม่แม้แต่จะช้อนตามองสักนิดเด็กสาวเห็นอวิ๋นฝูหลิงไม่สนใจนาง ใบหน้างามแดงเถือกทันที เหมือนถูกเหยียดหยามอย่างมาก“นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ หรือเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?”ขณะนี้ ท่ามกลางฝูงชน ชายวัยกลางคนร่างท้วมอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่นางน้อย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่พี่ชายเจ้าช่วยไม่ได้ ใช่ว่าคนอื่นจะช่วยไม่รอดนะ”ท่ามกลางชาวบ้านมีคนไม่พอใจคำพูดของเด็กสาว แต่เห็นนางแต่งตัวหรูหรา แค่ดูก็รู้ว่าฐานะไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าต่อว่าส่งเดชตอนนี้เมื่อเห็นมีคนพูดขึ้น พวกเขาจึงรีบสำทับทันที“ตัวเองช่วยไม่ได้ ยังไม่ยอมให้คนอื่นช่วยหรือ?”“ไม่เคยเห็นคนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย”“หมอหนุ่มผู้นี้ดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ วิชาแพทย์จะเก่งกาจสักเพียงใด?”เดิมทีคนตระกูลเฉินยังฝากความหวังให้หมอหนุ่มช่วยลูกหลานตัวเอง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าช่วยไม่ได้ นอกจากรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ยังพาลโกรธอีกฝ่ายไปด้วยยามนี้เมื่อเห็นเด็กสาวเอ่ยปากเหน็บแนม ซ้ำยังขวางไม่ให้คนช่วยลูกตัวเอง ทำให้พวกเขายิ่งโกรธ ทันใดนั้นจึงด่าทอไปพร้อมพวกชาวบ้าน

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 10

    อวิ๋นซานหูจับแขนเสื้อติงหมิงรุ่ยแล้วเขย่าไปมาพลางออดอ้อน “ท่านพี่ นางก็แค่โชคดีเหมือนแมวตาบอดจับหนูตายได้ จะไปมีความรู้วิชาแพทย์ที่สูงส่งได้อย่างไร!”ติงหมิงรุ่ยถูกนางปลอบ จึงสบายใจขึ้นมาบ้างใช่สินะ ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ที่มีความรู้ระดับภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้นแต่เขาไม่เหมือนกัน เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เกิดมาในตระกูลแพทย์อีกทั้งมีชื่อเสียงแต่เด็ก ภายหน้าต้องสอบเข้าสำนักหมอหลวง มียศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นหมอหลวงที่มีชื่อเสียงหนำซ้ำแวดวงการแพทย์ยังเป็นพื้นที่ของบุรุษมาโดยตลอดแม้สตรีจะเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่สังคมไม่ยอมให้พวกนางมานั่งรักษาอยู่ในสำนักอย่างเปิดเผยอย่างมากก็แค่ได้เข้าไปเป็นหมอหลวงระดับล่างสุดในสำนักหมอหลวง เป็นลูกมือให้พวกหมอหลวงชายเท่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ ติงหมิงรุ่ยสบายใจขึ้นมาก จากนั้นกลับมามั่นอกมั่นใจอีกครั้งความวุ่นวายในตระกูลเฉินดำเนินไปสักพักใหญ่ถึงจะสงบลงจากการเตือนสติของผู้ใหญ่บ้านโจว สองสามีรรยาเฉินเหล่าเอ้อร์ถึงจำบุญคุณของอวิ๋นฝูหลิงได้จากคำซุบซิบของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้อวิ๋นฝูหลิงพอปะติดปะต่อเหตุการณ์ของตระกูลเฉินได้แม่เฒ่าเฉินเป็นม่ายสามีตาย

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 11

    อวิ๋นฝูหลิงชิมน้ำแกงเห็ดคำหนึ่ง ต่อหมั่นโถวอีกคำด้วยความเพลิดเพลินหลังคราวโลกวิบัติอมนุษย์ครองเมือง พืชพันธุ์กลายพันธุ์ ทำให้อาหารขาดแคลน จะหาเห็ดป่าหอมหวานสดใหม่เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกแม้ต่อมาฐานปฏิบัติการจะพยายามวิจัยเพาะพันธุ์พืชบางชนิด แต่ผลผลิตที่ได้กลับน้อยนิดหมั่นโถวสิบกว่าลูกที่อวิ๋นฝูหลิงเก็บเอาไว้ในมิติ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางใช้เส้นสาย พึ่งคะแนนสมทบซื้อมาได้อย่างยากลำบากเมื่อครู่ให้พวกลูกพี่อู๋ทั้งสี่คนไป อาลัยอาวรณ์เสียจนหืดขึ้นคอแต่ถ้าอยากให้ม้าวิ่งก็มีแต่ต้องให้อาหารม้านางต้องการชักนำพวกลูกพี่อู๋มาเป็นพวกของนางโดยเบ็ดเสร็จ ให้พวกเขาจงรักภักดีเชื่อฟังนางอย่างสุดจิตสุดใจแต่เพียงผู้เดียว การลงทุนด้วยหมั่นโถวขาวสี่ลูกนี้จึงนับว่าได้หว่านเมล็ดแล้วอีกอย่าง จากการสังเกตคร่าวๆ โลกนี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในช่วงระส่ำระสาย การหุงหาอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากนักอวิ๋นฝูหลิงมีความคิดแล่นโลดอยู่ในใจ วางแผนชีวิตวันข้างหน้าของตนทว่าลูกพี่อู๋ทั้งสี่ต่างเมียงมองดูหมั่นโถวขาวในมือ ค่อยๆ กลืนน้ำลายลงเฮือกหมั่นโถวจากแป้งขาวเชียวนะ!แม่นางอวิ๋นไม่เพียงแต่แบ่งอาหาร

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 12

    เพียงแต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับตกทอดในสกุลอวิ๋นที่นางเคยเรียน มีเพียงครึ่งแรกเท่านั้นว่ากันว่าอีกส่วนหนึ่งสาบสูญไปตอนบ้านเมืองระส่ำระสาย ดังนั้นลูกหลานสกุลอวิ๋นที่เรียนศาสตร์ฝังเข็ม จึงได้เรียนเพียงส่วนที่เหลืออยู่ แต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับนั้นก็ละเอียดมาก แม้จะมีเพียงครึ่งเดียว ก็มากพอจะทำให้สกุลอวิ๋นตั้งตัวในแดนซิ่งหลินได้อวิ๋นฝูหลิงเปิดดูศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือออกดู พบว่าศาสตร์ฝังเข็มที่บันทึกไว้มีเนื้อหาเยอะกว่าครึ่งที่ตกทอดในสกุลอวิ๋นอยู่มากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือนางนี้ ดูท่าจะเป็นฉบับสมบูรณ์ เหตุใดศาสตร์ฝังเข็มที่สกุลอวิ๋นตกทอดกันมา จึงปรากฏอยู่ที่นี่ได้?หรือว่าเจ้าของร่างเดิมกับสกุลอวิ๋นชาติที่แล้วของนางจะเกี่ยวข้องกัน? ไม่ใช่ว่าเป็นบรรพบุรุษสกุลอวิ๋นของนางหรอกหรือ?ในใจอวิ๋นฝูหลิงผุดข้อสงสัยขึ้นมากมายแม้ความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมเหลือให้นางจะไม่สมบูรณ์นัก แต่ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับรู้สึกได้ว่าฐานะของเจ้าของร่างเดิมเกรงว่าจะไม่ธรรมดาลูกหลานตาสีตาสา มีหรือจะจ้างแม่นมมาให้เด็กน้อยบ้านตนได้?อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมกับแม่นมยังใช้ฐานะแม่กับลูกสาว ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนอยู่

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 13

    อวิ๋นฝูหลิงเอ่ย “ลมภายนอกเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งความตื่นกลัว จึงทำให้ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด หากจะรักษาก็ไม่ยาก ข้าจะเขียนเทียบยาให้ ดื่มยาสักสองวันเป็นอันใช้ได้”เฉินเหล่าต้าได้ยินว่าลูกตนตื่นกลัว ก็นึกถึงเรื่องวันก่อนที่ตบนางไปฝ่ามือหนึ่ง ในใจเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างสะใภ้ใหญ่เฉินดวงตาแดงก่ำ “รบกวนแม่นางอวิ๋นแล้ว ส่วนค่าหยูกยา...”สะใภ้ใหญ่เฉินยังพูดไม่ทันจบ คนสกุลเฉินคนอื่นๆ ก็ต่างกระโดดเข้าวง เอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแนม“บ้านเรามีเงินจ่ายค่ายาให้ต้ายาที่ไหนกัน!”“ของขาดทุนแท้ๆ แค่ทนเอาสักหน่อยก็หายแล้วเชียว”“ลำเอียงให้รักก็แล้ว ยังต้องมาเสียเงินซื้อหยูกยา”“พวกเจ้าให้นางรักษา เช่นนั้นค่าหยูกยาพวกเจ้าต้องเป็นคนจ่าย!”เฉินเหล่าต้ารู้ดีว่าการลี้ภัยในครั้งนี้ แม่จะต้องเอาทุกสิ่งอย่างที่มีติดมาด้วยเป็นแน่ ไม่มีทางไร้เงินติดกายเขามองไปยังลูกสาวที่จับไข้จนหน้าแดงเถือก แม้เมื่อเผชิญหน้ากับแม่บังเกิดเกล้าตนจะไม่กล้ามีปากมีเสียงทว่าก็ยังเปิดปากพูด “ท่านแม่ พวกข้ามีเงินเสียที่ไหน? เงินที่พวกข้าหามาได้ก็ให้ท่านแม่ไปหมดแล้ว...”แม่เฒ่าเฉินจ้องเขม็ง “ที่เจ้าดื่มเจ้ากินก็ล้วนเป็นของที่บ้าน ได้

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 630

    เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 629

    ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 628

    จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 627

    อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 626

    อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 625

    ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 624

    ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 623

    เซียวจิ่งอี้ดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน “นี่เป็นจดหมายที่จิงมั่วเขียนมาให้เจ้า เสด็จพ่อสอดมาในสาส์นของข้ากับพระราชโองการ แล้วให้จุดพักม้าส่งมาให้พร้อมกัน”ทั้งสองคุยไปพลางเดินไปพลาง ยามนี้ก็ขึ้นไปบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วอวิ๋นฝูหลิงนั่งอยู่ภายในเก๋งรถม้า ยื่นมือออกไปรับจดหมายที่เซียวจิ่งอี้ส่งให้จดหมายทั้งใหม่และตุง ดูแล้วหนาไม่น้อยอวิ๋นฝูหลิงดึงกระดาษจดหมายออกมา แล้วก้มหน้าอ่านจิงมั่วนั้นมีสติปัญญาปราดเปรื่อง บัดนี้ตัวอักษรที่ใช้เป็นประจำส่วนใหญ่ล้วนอ่านออกและเขียนได้แล้วเพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วเป็นเพราะว่าเขาอายุยังน้อย ข้อมือยังไม่แข็งแรงมากพอ ดังนั้นตัวหนังสือจึงเขียนออกมาได้กระยึกกระยือ ไม่งดงามทว่าในสายตาของอวิ๋นฝูหลิง กลับรู้สึกว่าเขียนได้เท่านี้ก็ยอดเยี่ยมแล้วเพราะถึงอย่างไรตอนที่นางมีอายุเท่ากับจิงมั่วในยามนี้ ก็ไม่ได้ฉลาดเฉลียวและขยันเท่านี้บุตรชายข้านี่ช่างเก่งกาจจริง ๆ !อวิ๋นฝูหลิงตั้งใจอ่านข้อความในจดหมายทีละคำทีละประโยคจนจบในจดหมาย เซียวจิงมั่วถามถึงสารทุกข์สุกดิบของอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้ จากนั้นถึงเริ่มเล่าถึงชีวิตของเขาในเมืองหลวงช่วงนี้

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 622

    ผู้ป่วยระดับกลางค่อนข้างลำบากกว่าผู้ป่วยอาการเบาอยู่บ้างแต่ก็ยังมีความหวังที่จะรักษาหายขาดเพียงแต่คนที่ทนต่อความทรมานได้นั้น จะว่าไปแล้วก็น้อยกว่าผู้ป่วยอาการเบามากโขด้วยอย่างไรแล้วยามที่ผู้ป่วยระดับกลางอาการอยากกำเริบ ก็อาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยอาการเบาส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรงนั้น ส่วนใหญ่ร่างกายจะพร่องไปหมดแล้วเพราะการเสพขี้ผึ้งทองเมื่อถึงขั้นนี้ก็แทบจะไม่มีคนที่อดทนต่อความทรมานที่ต้องเลิกเสพได้เลย ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงไม่ยอมเลิกเสพ พวกเขาต้องการแค่ขี้ผึ้งทองเท่านั้นต่อให้เสพขี้ผึ้งทองแล้วต้องตาย ก็ไม่สนสำหรับคนพวกนี้ หากเปรียบเทียบกันระหว่างความตายก็ความทรมานที่ไม่อาจเสพขี้ผึ้งทองได้นั้น ความตายกลับเป็นสิ่งที่พอจะอดทนรับได้มากกว่าทว่าเพราะเสพขี้ผึ้งทองมากเกินไป ร่างกายของพวกเขาจึงกลายเป็นตะเกียงขาดน้ำมัน เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วสิ่งที่อวิ๋นฝูหลิงทำให้คนเหล่านี้ได้ ก็มีเพียงพยายามบรรเทาความทรมานของพวกเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ บ้างในช่วงชีวิตที่เหลือตะวันเคลื่อนเดือนคล้อย เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า สถานการณ์ของเมืองจินโจวก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status