ในวันที่นางสูญเสียดวงตา เขาก็พาสตรีอีกนางมาหยามหน้า ในเมื่อฟ้าไม่ยุติธรรมสวรรค์ไร้เมตตาเช่นนั้นนางจะขอคืนชีวิตด้วยการยอมเขียนหนังสือหย่า พร้อมดื่มสุราพิษจากไปกลายเป็นเถ้าธุลีเพื่อคืนอิสรภาพให้แก่เขา!
View Moreว่ากันว่าระฆังแห่งโชคชะตา คือระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้ผู้ขอพรสมหวังดั่งปรารถนา ทว่าบรรดาผู้คนกลับเล่าลือกันว่าสิ่งที่ต้องตอบแทนต่อคำอธิษฐานล้วนน่าพรั่นพรึงจนยากจะหยั่ง
ดังนั้นจึงมิเคยมีใครหาญกล้าเฉียดกรายขึ้นมาบนหุบเขาซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของหอระฆังเนิ่นนานนับหลายร้อยปี กระทั่งพื้นที่แห่งนี้ถูกลืมไปตามกาลเวลา จนเรียกได้ว่ารกร้างเสื่อมโทรม
บรรยากาศวิเวกวังเวงค่อย ๆ กลืนกินสรรพชีวิต มีเพียงสายลมเย็นยะเยือกที่ยังพัดเอื่อยจนไผ่ต้นสูงเอนไหวกระทบกัน พวกมันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียจนบาดหู ขณะเดียวกันความน่ากลัวที่จิตปรุงแต่งไหนเลยจะเทียมเทียบสิ่งต่ำช้าในใจผู้คน
ท่ามกลางบรรยากาศชวนผวากลับมีสตรีใจกล้ากำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ตามลำพังบนหอคอยระฆังเปลี่ยวร้าง ใบหน้าซึ่งเคยงดงามเจือไปด้วยความโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง สายลมที่พัดโกรกตีกระทบกายหยาบเป็นเหตุให้หญิงสาวหนาวสะท้าน ไหล่แคบทั้งสองด้านกระเพื่อมสั่น ฟันสวยเรียงกันขบแน่นจนเกิดเสียงกึก ๆ กระโปรงผ้าป่านบนหน้าตักอันเปียกชุ่มถูกมือเรียวขย้ำจนเผยรอยยับย่น
บัดนี้ผิวหนังที่เคยขาวเนียนผุดผาดดั่งหยกพิสุทธิ์กลับถูกบดบังด้วยผดผื่นสีแดงก่ำมันลุกลามไปทั่ว กำลังทำร้ายเรือนกายอย่างสุดสาหัส หญิงสาวรู้สึกคันคะเยอไปทั่วทั้งร่าง กระนั้นแววตาของนางกลับไร้ประกายราวกับชินชาต่อความทรมานโดยสิ้นเชิง
มือที่กำแน่นอยู่บนตักคลายออกเนิบช้า พลางควานไปเบื้องหน้าเปะปะ ที่ตรงนี้คือโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยไรฝุ่นจับหนา ไม่นานก็สามารถสัมผัสต้องบางสิ่ง ปลายนิ้วเรียวลูบไล้แผ่วเบาจึงรู้ได้ว่าของสิ่งนี้คือพู่กันที่ทำจากไม้ทั้งยังมีสภาพเก่าคร่ำคร่า เคียงข้างกันเป็นแท่นฝนหมึกซึ่งแห้งกรังจนไม่อาจใช้งานได้แล้ว
กลีบปากซีดขาวเผยยิ้มขมขื่น นางถอนหายใจตัดพ้อต่อโชคชะตา เพียงต้องการสลักสิ่งที่ปรารถนาออกมาเป็นตัวอักษรไฉนจึงดูลำเข็ญนัก
นี่สินะถึงเรียกว่าฟ้าไม่ยุติธรรม สวรรค์ไร้เมตตาอย่างแท้จริง!
พร่ำโทษโชคชะตาด่าทอสวรรค์ก็ไม่ช่วยอันใด ดังนั้นนางจึงตัดสินใจใช้ฟันแหลมคมกัดลงตรงปลายนิ้วตน โลหิตสีแดงฉานผุดออกมาเป็นสายจนปลายนิ้วเรียวเปียกชุ่ม กลิ่นคาวคลุ้งพุ่งปะทะโพรงจมูก กระดาษเนื้อหยาบที่ถูกวางทิ้งไว้จนกลายเป็นสีเหลืองถูกหยิบมาวางตรงหน้า จากนั้นนางจึงใช้ปลายนิ้วของตนตวัดเขียนแทนพู่กัน
ดวงตาของนางมองไม่เห็นครบหนึ่งปีแล้ว หนึ่งปีเต็ม ๆ ที่นางต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืดสนิท หญิงสาวเรียนรู้จะอยู่กับมันจนเกิดชินชา ดังนั้นแค่ละเลงขีดเขียนให้เป็นประโยคย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรง
‘ข้าปรารถนาเพียง…ชีวิตใหม่ที่รุ่งโรจน์’
หลังจบประโยค คิ้วสวยก็ขยับเข้าชิดกันเล็กน้อย
“นั่นใคร?”
ถึงแม้ตาบอดทว่าใบหูกลับใช้งานได้อย่างดียิ่ง เสียงสวบสาบมุ่งตรงเข้ามาไม่ช้าไม่เร็ว เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งหยุดลงเมื่ออีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้านาง ลมหายใจอุ่นระอุเป่าปะทะใบหู ขนอ่อนบนกายพร้อมใจกันลุกเกรียว
“เจ้าปรารถนาชีวิตใหม่ที่รุ่งโรจน์มิใช่หรือ” เสียงเล็กกระซิบแผ่ว
คิ้วสวยขมวดแน่น “เจ้าเป็นปีศาจหรือ?”
“สุดแล้วแต่เจ้านั้นอยากให้ข้าเป็น” เสียงเล็กเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เช่นนั้นคงไม่มีใครอยากเป็นปีศาจ”
“ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
หญิงสาวถามต่อ “เจ้าเป็นมนุษย์เช่นข้าใช่หรือไม่”
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ เจ้าอยากให้ข้าเป็นอะไรข้าก็จะเป็นสิ่งนั้น”
ริมฝีปากซีดขาวขยับยกเป็นรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้เจ้าเป็นดวงชะตาของข้า ดวงชะตาที่จะพาชีวิตของข้ารุ่งโรจน์”
เสียงแหลมเล็กหัวเราะร่วนบาดหู “นอกจากไม่กลัวข้าแล้วยังกล้าร้องขอเรื่องแปลกประหลาด เห็นแก่ความมานะของเจ้าที่อุตส่าห์ปีนขึ้นเขาทั้งที่ตาบอด ขอเพียงเจ้ากล้าแลกกับการดื่มของสิ่งนี้ ข้าก็จะยอมเป็นดวงชะตาให้แก่เจ้า”
หญิงสาวกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงไปจนคอขยับ กลิ่นของมันรุนแรงและฉุนจนแสบจมูก “สุรางั้นหรือ?”
“ไม่ผิด ทว่ามันคือสุราพิษ…”
มือเรียวกำหมัดแน่นจนเส้นโลหิตปูดโปน หลังใคร่ครวญอยู่นานอาการประหม่าก็คลายลงเนิบช้า ลมหายใจร้อนผ่าวถูกพ่นขึ้นจมูก “หากเป็นสุราพิษข้าดื่มเข้าไปก็ต้องตาย เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ หากตายแล้วชีวิตของข้าก็ต้องดับสิ้น นับว่าเป็นเส้นทางอันรุ่งโรจน์ตรงไหนกัน”
“เช่นนั้นเจ้าชอบชีวิตในตอนนี้หรือ”
หญิงสาวเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าพร้อมตอบกลับ “ข้าเกลียดชีวิตตอนนี้ยิ่งนัก”
“เช่นนั้นเจ้าลังเลอะไร ตายเพื่อเกิดใหม่ ถอยเพื่อรุกเคยได้ยินหรือไม่”
“หากข้าตายไป เกิดใหม่ก็คงไร้ความทรงจำ เดิมทีนั่นควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสาง ดังนั้นข้าไม่อาจปล่อยวางความเจ็บปวดที่หยั่งลงจิตใจข้าได้”
“นี่มิใช่น้ำแกงยายเมิ่ง [1] เสียหน่อย สะพานไน่เหอ [2] เจ้าก็ไม่ต้องข้าม หากเจ้าไม่เชื่อจะปฏิเสธก็ย่อมได้” เสียงปลายเท้าถอยห่างออกไปจนเริ่มเบาบาง
หญิงสาวพยายามทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ผสานกับคำพูดของสตรีแปลกหน้าสลับไปมา ถึงอย่างไรชีวิตยามนี้ก็ช่างต่ำต้อยด้อยค่า คนผู้นี้จะเป็นผีก็ดีหรือปีศาจก็ช่าง ขอเพียงสามารถทำให้นางสมปรารถนาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ
“ช้าก่อน!”
เสียงฝีเท้าหยุดลงเดี๋ยวนั้น ไม่นานก็แปรผันเป็นลมสายหนึ่ง
“เปลี่ยนใจแล้วหรือ หากเจ้ากลัวข้าก็ไม่บังคับ”
หญิงสาวผงะเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายประชิดกายนางได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอให้ถูกถามซ้ำ มือเรียวพลันคว้าหมับแย่งสุราจอกนั้นมาไว้ที่ตน “ชะตาข้าชาตินี้แสนอาภัพ ต่อให้ตายไปแล้วอย่างไร มีชีวิตแล้วอย่างไร ก็คงไม่มีผู้ใดแยแสอยู่ดี เช่นนั้นสุราพิษจอกนี้ข้าขอคืนอิสรภาพให้แก่คนไม่รักษาสัจจะ นับจากนี้ข้าและเขาไม่ข้องเกี่ยวกันอีก!”
อึก!
สุราในมือถูกกระดกขึ้นกรอกปากทันควัน ราวกับว่าลมหายใจเมื่อครู่เลือนหายไปชั่วขณะ
“ใจกล้าไม่เบา ถือว่าข้าให้โอกาสคนไม่ผิด”
เพียงชั่วพริบตาร่างระหงก็ทรุดฮวบลงบนพื้น ลมหายใจของหญิงสาวค่อย ๆ แผ่วโหยรวยริน
ฝ่ามืออันเย็นเยียบยื่นลูบเส้นผมสีดำขลับอย่างทะนุถนอม ราวกับต้องการปลอบประโลม “ต่อไปนี้ใครก็มิอาจรังแกเจ้าได้ เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกปวด จงหลับตาลง แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเจ้าเสีย”
เปลือกตาบางปิดลงเนิบนาบ ประหนึ่งว่าจิตวิญญาณกำลังถูกยมบาลมาดึงออกไป ลมหายใจที่เคยมีอยู่ดับสิ้นลงพร้อมกับเรือนกายที่นิ่งสนิทดั่งไม่เคยมีชีวิตมาก่อน...
^น้ำแกงยายเมิ่ง เป็นความเชื่อของชาวจีน หากดื่มแล้วจะลบความทรงจำในชาติก่อน
^สะพานไน่เหอในความเชื่อจีนคือ สะพานข้ามแม่น้ำแห่งความลืมเลือน ( แม่น้ำวั่งชวน) ที่ดวงวิญญาณต้องข้ามก่อนไปสู่การเกิดใหม่ โดยมี ยายเมิ่ง (Meng Po) คอยแจกน้ำลืมอดีต
หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ “เจ้าบอกว่าชื่อของข้ากับนางคล้ายกัน ข้าตาย เอ่อ...ไม่สิ ข้าหลับไปวันเดียวกับที่นางสิ้นใจอย่างนั้นหรือ”หลิวอี้พยักหน้าหงึกหงัก หม่าเซียวจึงลดมือของตนลงแช่มช้าครั้นหลิวอี้เป็นอิสระนางก็เร่งเอ่ยปาก “ท่านหญิงอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ บ่าวปากไม่ดีเอง”เพียะ!หลิวอี้ยกมือตบปากของตนเสียงดังสนั่น หลี่เสวี่ยซินเบิกตาโพลง “ทำอะไรของเจ้า!?”“ยามปกติหากบ่าวปากไม่ดี ท่านหญิงจะให้ตบปากมิใช่หรือเจ้าคะ”“หา...พอเลย พอเลย ต่อไปพวกเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” หลี่เสวี่ยซินคลึงขมับ นึกไม่ถึงว่าหนิงเสวี่ยซินจะเข้มงวดเอาแต่ใจเพียงนี้ทั้งหลิวอี้และหม่าเซียวก้มหน้างุด ประสานเสียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”“ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าข้าตกฟากเมื่อใด”สองสาวใช้แหงนหน้าขึ้น ครุ่นคิดเสียจนหัวคิ้วเคลื่อนชนกันหม่าเซียวเอ่ย “ท่านหญิงจำวันตกฟากของตนไม่ได้หรือเจ้าคะ”“ข้าหลับไปนาน บางเรื่องก็ลืมไปแล้ว”“เช่นนี้เอง เห็นท่านโหวและฮูหยินเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ ท่านหญิงตกฟากฤกษ์ดาวหงส์เชี
‘เกิดอะไรขึ้น!?’“ซินเอ๋อร์ เป็นอะไร” หนิงถงไท่ตกใจหน้าถอดสี เขาหันไปเร่งหมออีกครั้ง “หมอ นางเป็นอันใดไปอีกแล้ว!”หมอสูงวัยกุลีกุจอเข้ามา ไม่ทันจับชีพจรอีกครั้งหลี่เสวี่ยซินก็ยกมือปราม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คงเพราะเพิ่งฟื้นไม่นานร่างกายเลยยังไม่ชิน”หลี่เสวี่ยซินรู้สึกว่าร่างกายใหม่นี้อ่อนแอเกินไป เมื่อครู่ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ปรากฏเป็นเพราะใบหน้าของคนผู้หนึ่งล่องลอยเข้ามา นั่นไม่ใช่ความทรงจำของนาง ทว่าเป็นของหนิงเสวี่ยซิน‘ฮั่วเหวินหลง เขาต้องมีเรื่องผิดปกติแน่ ท่านหญิงถึงได้โมโหเช่นนี้’“แล้วเอ่อ…ท่านพี่ฮั่วไปที่ใดแล้วเจ้าคะ”“ฝ่าบาทเรียกตัวเข้าเฝ้า น่าเสียดายที่พี่เขามาครู่เดียวเจ้าก็หมดสติไปก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้รั้งอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน” หนิงเข่อเหรินตอบใบหน้าของหลี่เสวี่ยซินกระตุก รอยยิ้มของนางเริ่มประหลาดโดยไม่รู้ตัว เพราะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหนิงเสวี่ยซินกับฮั่วเหวินหลงกลายเป็นปริศนาในคลังสมองของนางเป็นที่เรียบร้อยความทรงจำที่หลงเหลือไว้เกี่ยวกับชายผู้นั้นในตอนนี้ก็คือ เขาเป็นบุตรชายจากจวนป๋อ เขาสอบได้จอหงวน [1] เมื่อหนึ่งปีก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาคือคู่หมั้นของหนิงเสว
ปลายยามเว่ย [1] ณ จวนหนิงโหว“ว่าอย่างไรท่านหมอ ลูกสาวของข้าเมื่อครู่ก็ฟื้นขึ้นแล้ว เหตุใดจึงหลับไปอีก”“ท่านโหวใจเย็นก่อนเถิดขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยลองจับชีพจรท่านหญิงดูแล้ว นี่เป็นอาการอ่อนเพลียเท่านั้น คือผลข้างเคียงจากการที่ร่างกายไม่อาจปรับตัวได้ทันท่วงทีจึงทำให้ท่านหญิงหมดสติอีกครั้ง”“แล้วถ้าหากนางหลับไปเป็นปีอีกเล่า จะทำอย่างไร”หนิงโหวหรือหนิงถงไท่สนทนากับหมอสูงวัยหน้าเคร่งเครียด ความกังวลบนใบหน้าไม่คลายลงแม้แต่น้อย กว่าบุตรีเพียงคนเดียวของเขาจะฟื้นคืนสติมิใช่เรื่องง่าย ยังไม่ทันได้พูดคุยสนทนาประสาพ่อลูกนางก็ชิงหลับใหลไปอีกคราเสียอย่างนั้น “ซินเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างลูก ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะซินเอ๋อร์ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” หนิงเข่อเหรินโพล่งเสียงสั่น ทั้งเป็นห่วงทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน หนิงถงไท่ไม่รอช้า เขาปรี่เข้าหาภรรยาและลูกเดี๋ยวนั้น “ซินเอ๋อร์ โล่งอกไปที ในที่สุดลูกพ่อก็ฟื้นแล้ว”นัยน์ตาดอกท้อกลอกมองบุรุษและสตรีวัยกลางคนสลับไปมา ทั้งใบหน้าและรูปร่างของพวกเขาดูภูมิฐานน่าเกรงขาม กระนั้นแววตาคนทั้งสองล้วนเจือไปด้วยความอาทรห่วงใย หลี่เสวี่ยซินรับรู้ได้ถึงกระแสความอบอุ่นหลั่
ท่ามกลางความอนธการ [1] ม่านหมอกสีขาวลอยฟุ้งเหนือบรรยากาศ ไม่นานก็เริ่มเลือนรางและก็จางหาย มือเรียวเที่ยวควานไปทั่วทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า“นี่คือที่ใด?”ท่อนขาผอมเพรียวขยับเดินไปข้างหน้า หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นมาสำรวจพลางขมวดคิ้วฉงน “นี่ข้า...มองเห็นแล้วหรือ?”“หนิงเสวี่ยซิน”เสียงใสกังวานก้อง ใบหน้างามแหงนเงยขึ้นพลางกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ “เจ้ากำลังเรียกข้าหรือ ไฉนข้าจึงเห็นแต่เพียงหมอกขาว”เสียงใสหัวเราะแว่วมาตามสายลม “ใช่ข้าเรียกเจ้า เจ้าก็คือ... หนิงเสวี่ยซิน”“ข้าหรือ? ข้ามิใช่หนิงเสวี่ยซิน ข้าคือ หลี่เสวี่ยซิน เจ้าจำคนผิดแล้ว ชื่ออาจจะคล้ายแต่สกุลของข้าคือหลี่มิใช่หนิง”“ไม่ผิด เป็นเจ้า เจ้าก็คือหนิงเสวี่ยซิน”หลี่เสวี่ยซินขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจว่าผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไฉนต้องยัดเยียดให้นางเป็นหนิงเสวี่ยซินผู้นั้นให้ได้ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเล่นละครปาหี่ด้วยการทำตัวดุจเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง [2] “เจ้าเอาแต่พูดเพ้อเจ้ออยู่ฝ่ายเดียว เหตุใดจึงไม่ปรากฏกาย”สิ้นประโยคสตรีร่างระหงพลันสาวเท้าออกมาด้วยรอยยิ้มละไม ใบหน้าของนางจิ้มลิ้มพริ้มเพราแตกต่างจากหลี่เสวี่ยซินที่ยามนี้ทั้งด
ว่ากันว่าระฆังแห่งโชคชะตา คือระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้ผู้ขอพรสมหวังดั่งปรารถนา ทว่าบรรดาผู้คนกลับเล่าลือกันว่าสิ่งที่ต้องตอบแทนต่อคำอธิษฐานล้วนน่าพรั่นพรึงจนยากจะหยั่งดังนั้นจึงมิเคยมีใครหาญกล้าเฉียดกรายขึ้นมาบนหุบเขาซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของหอระฆังเนิ่นนานนับหลายร้อยปี กระทั่งพื้นที่แห่งนี้ถูกลืมไปตามกาลเวลา จนเรียกได้ว่ารกร้างเสื่อมโทรม บรรยากาศวิเวกวังเวงค่อย ๆ กลืนกินสรรพชีวิต มีเพียงสายลมเย็นยะเยือกที่ยังพัดเอื่อยจนไผ่ต้นสูงเอนไหวกระทบกัน พวกมันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียจนบาดหู ขณะเดียวกันความน่ากลัวที่จิตปรุงแต่งไหนเลยจะเทียมเทียบสิ่งต่ำช้าในใจผู้คน ท่ามกลางบรรยากาศชวนผวากลับมีสตรีใจกล้ากำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ตามลำพังบนหอคอยระฆังเปลี่ยวร้าง ใบหน้าซึ่งเคยงดงามเจือไปด้วยความโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง สายลมที่พัดโกรกตีกระทบกายหยาบเป็นเหตุให้หญิงสาวหนาวสะท้าน ไหล่แคบทั้งสองด้านกระเพื่อมสั่น ฟันสวยเรียงกันขบแน่นจนเกิดเสียงกึก ๆ กระโปรงผ้าป่านบนหน้าตักอันเปียกชุ่มถูกมือเรียวขย้ำจนเผยรอยยับย่นบัดนี้ผิวหนังที่เคยขาวเนียนผุดผาดดั่งหยกพิสุทธิ์กลับถูกบดบังด้วยผดผื่นสีแดงก่ำมันลุกลามไปทั่ว กำลั
Comments