ฉู่ชิงเฟิงแหวกม่านเตียงออก แล้วค่อยๆ นั่งลงข้างกายหลินเสี่ยวหราน ทว่ายังไม่ทันแตะต้องตัว หญิงสาวที่หลับไม่สนิทเพราะมีเรื่องให้คิดมากก็กระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง“เจ้าเป็นใคร! หลินอ้าย เฉาเหมยพวกเจ้าอยู่ที่ใด” หลินเสี่ยวหรานตะโกนด้วยความตกใจฉู่ชิงเฟิงรู้อยู่แล้วว่าเฉาเหมยกับหลานเหมยที่เฝ้าอยู่ข้างนอกไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้ามา พลันกระชับร่างนุ่มนิ่มที่แสนคิดถึงของหลินเสี่ยวหรานเข้ามาในอ้อมอก แล้วประกบริมฝีปากบดเบียดจุมพิตกลืนกินเสียงร้องของนางแม้จากกันไปนาน ทว่าหลินเสี่ยวหรานกลับจดจำรสจูบของฉู่ชิงเฟิงได้เป็นอย่างดี นางจึงหยุดดิ้น ฉู่ชิงเฟิงถึงค่อยๆ ถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ฉู่ชิงเฟิงสบนัยน์ตาคู่สวยซึ่งสะท้อนความอ่อนไหวที่สั่นระริกของหลินเสี่ยวหรานอย่างลึกซึ้ง“หรานเอ๋อร์”“ท่านอ๋อง”“ใช่ข้าเอง”“ท่านอ๋องเข้ามาได้อย่างไร”“ข้าใช้ความสามารถนิดหน่อยน่ะ” ฉู่ชิงเฟิงยิ้ม“ถึงจะมีพระราชโองการออกมาแล้ว แต่ใช่ว่าท่านอ๋องจะเข้าออกห้องนอนของข้าได้ตามใจชอบ หากผู้ใดล่วงรู้เข้าทั้งข้าและท่านคงได้มัวหมองจากคำครหาจริงๆ แน่”“ข้ารู้ แต่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้า
นานทีปีหนคนที่เก็บงำอารมณ์เก่งกาจอย่างเฉาเหมยจึงจะถอนหายใจ เพราะไม่รู้ว่าหากนางเล่าไปแล้วความรู้สึกของหลินเสี่ยวหรานที่มีต่อนายเหนือหัวของนางจะสั่นคลอนหรือไม่ นางทำได้เพียงเล่าเรื่องที่ควรเล่าอย่างระมัดระวัง“เมื่อก่อนท่านอ๋องมักถูกผู้ไม่รู้ถึงความเก่งกาจดีงามล่วงเกินอยู่บ่อยครั้ง มีเพียงคุณหนูสี่สกุลหลินที่ออกตัวแทนท่านอ๋อง กล่าวตักเตือนเหล่าคุณหนูคุณชายที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพวกนั้นให้ให้เกียรติท่านอ๋อง เมื่อพบคนที่ดีกับตนโดยไม่สนใจรูปลักษณ์ ท่านอ๋องย่อมเกิดความประทับใจในตัวนาง เลยมีความคิดจะรับนางเป็นพระชายา แต่อัครเสนาบดีหลินยังมิได้ตอบรับจวนโซ่วอ๋อง กระทั่งท่านอ๋องหายตัวไปจึงตอบรับจวนอู๋อ๋อง เรื่องที่เฉาเหมยทราบก็มีเพียงเท่านี้”“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่า บางทีท่านอ๋องอาจจะแค่อยากตอบแทนความดีของคุณหนูสี่เท่านั้นก็ได้ใช่หรือไม่” หลินอ้ายเอ่ยถามดวงตาเป็นประกาย ขอเพียงฉู่ชิงเฟิงไม่ได้แต่งเจ้านายของตนเพื่อประชดหลินผู่ซินนางก็พอใจแล้ว“ความคิดของท่านอ๋องเฉาเหมยไม่อาจคาดเดาส่งเดช”“ถ้างั้น ระหว่างคุณหนูสี่กับคุณหนูของข้า ท่านอ๋องดีต่อใครมากกว่ากัน” หลินอ้ายยังคงไม่ยอมแพ้ เพราะไม่เชื่อว่
“เฉาเหมยมีหน้าที่ปกป้องข้ากับคนในเรือนชิงอ้ายไม่ให้เกิดเรื่อง เช่นนั้นเจ้าจงสบายใจเถิด นางไม่ทำอันใดเจ้าดอก”“เจ้าค่ะคุณหนู”“เฉาเหมย เจ้าก็ตามหลินอ้ายไปเรียนรู้งานเถิด ข้าจะนั่งรอกินขนมของแม่นมอยู่ตรงนี้”“เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองรับคำ แล้วพากันถอยออกไปจากห้อง เพราะสำหรับเฉาเหมยแล้ว หากยังอยู่ในระยะได้ยิน ก็ไม่มีเรื่องใดให้วิตกหลินเสี่ยวหรานหันออกไปนอกหน้าต่างอีกครา พลางคิดถึงวันเวลาในอดีต หลังจากสูญเสียมารดานางก็ไปเติบโตที่จวนสกุลกัว แต่พอกลับมาสกุลหลินก็ถูกวางยาพิษหวังให้ตายผ่อนส่ง ดีที่รู้ตัวก่อนสุขภาพจะทรุดโทรมจนกู่ไม่กลับ สี่ปีที่ต้องไปรักษาตัวที่บ้านสวน อันใดที่ส่งมาจากจวนสกุลหลินนางล้วนไม่กินไม่ใช้ ผ่านไปยังไม่ทันพ้นปี ข้าวของที่เคยถูกส่งมาจนเต็มเกวียนเหลือเพียงเล็กน้อย กระทั่งตั๋วเงินก็ลดลงไปเกินกว่าครึ่งตอนนั้นนางไม่รู้ว่าเกาอี้ซินอยากให้นางลำบากจนตาย หรือหมายจะให้นางรีบกลับจวนสกุลหลินเพราะทนความแร้นแค้นมิได้ แต่สุดท้ายก็กัดฟันทน เพราะต้องการรักษาตัว ลำบากสักหน่อยแต่ยังเหลือชีวิต ดีกว่ากลับสกุลหลินมาพบภัยซ่อนเร้นโดยที่ไม่รู้จะป้องกันตัวเยี่ยงไรคิดแล้วหลินเสี่ยวหรานก็ทอดถอนใ
พอรู้ว่าหลินเสี่ยวหรานจะได้เป็นชายาของอ๋องอ้วนว่างงานไร้แก่นสารเกาอี้ซินและหลินผู่ซินจึงไม่คิดสร้างความลำบากอะไรให้นางเพิ่มในตอนนี้ หลังจากเสแสร้งแสดงความยินดีกันอยู่พักหนึ่ง หลินหานเจ๋อก็สั่งให้ภรรยากับบุตรสาวทั้งสองแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลินเสี่ยวหรานกลับมาถึงเรือนชิงอ้ายที่จากไปหลายปี ครั้นเห็นดอกเหมยกุ้ยยังคงเบ่งบานสะพรั่งในสวนก็นึกขอบคุณพ่อบ้านใหญ่คัง เขาคงสั่งให้คนดูแลและทำความสะอาดเรือนของนางอยู่เป็นประจำแน่ เพราะพอเยื้องกรายผ่านประตูเรือน ภายในยังคงตกแต่งเหมือนเดิมไม่ผิดจากตอนที่นางจากไป กระทั่งสาวใช้ก็ยังเป็นชุดเดิมที่มารดาคัดเลือกไว้“คุณหนูใหญ่” สาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดต่างเดินเข้ามาตอนรับหลินเสี่ยวหราน“ลำบากพวกเจ้าแล้ว”“ไม่เลยเจ้าคะ พวกบ่าวมีหน้าที่ดูแลเรือนรอคุณหนูใหญ่กลับมาอยู่แล้ว” หลินหงหนึ่งในสาวใช้ที่ไว้ใจได้ที่สุดที่มารดาคัดเลือไว้ให้นางกล่าวน้ำตารื้นหลินเสี่ยวหรานหันไปมองสาวใช้คนสนิท หลินอ้ายก็หยิบถุงเงินยื่นให้หลินหงและสาวใช้คนอื่นๆ“ขอบคุณคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”“พวกเจ้ามีอะไรทำก็แยกย้ายกันไปทำเถิด ข้าจะพักผ่อนสักหน่อย”“เจ้าค่ะ” ได้ยินคำสั่งสาวใช้เหล่านั้นก็พากันเด
“ฮูหยิน ข้ายังไม่ทันกลับมาเล่าอะไรให้ฟัง แต่เหมือนเจ้าจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จงมู่หมดแล้ว ข้าต้องซาบซึ้งที่เจ้าใส่ใจหรานเอ๋อร์มากเป็นพิเศษสินะ”เกาอี้ซินได้ฟังก็ตระหนักทันทีว่าตนเองพลาดไปแต่แล้วอย่างไรเล่า สตรีที่ถูกพิษปลุกกำหนัดซึ่งมีฤทธิ์แรงที่สุดในยุทธภพ ไม่มีทางรอดชีวิตมาได้แน่ หากมิได้น้ำพิสุทธิ์จากชายชาตรีเพื่อถอนพิษ และการที่หลินเสี่ยวหรานมีชีวิตรอดกลับมายืนรกหูรกตาอยู่ตรงนี้ แสดงว่านางต้องตกเป็นของชายไร้หัวนอนปลายเท้าที่แส่เข้ามาตามที่คนของนางแจ้งไว้แน่นอน“นายท่านได้โปรดฟังข้าก่อน อำเภอจงมู่นั้นห่างไกล ข้าจึงจ้างวานคนให้มาสอดส่องอยู่ห่างๆ ในบางครา เผื่อว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะได้รายงานให้นายท่านทราบได้ทันการณ์”“ดีนี่ เจ้ารู้จักใช้เงินทองจ้างคนมาสอดส่องหรานเอ๋อร์ได้ แต่กลับไม่ส่งข้าวของเงินทองให้ใช้สอย จนนางต้องไปรับจ้างเย็บเสื้อผ้าประทังชีวิต หากใครรู้เข้า ข้าที่เป็นถึงอัครเสนาบดีของฝ่าบาทจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” เมื่อคิดถึงสิ่งที่โซ่วอ๋องเล่าให้เขาฟังในระหว่างเดินทาง เสียงของหลินหานเจ๋อก็เข้มขึ้นทุกขณะ“ทำไมนายท่านพูดเยี่ยงนั้นเล่าเจ้าคะ ข้าจัดส่งข้าวของเครื่องใช้ และ
“จู่ๆ เสี่ยวหรานก็ถูกท่านพาตัวกลับมา ข้าคิดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ จึงไม่เห็นด้วยที่พ่อบ้านคังทำการต้อนรับเสียใหญ่โต เพราะเกรงว่าหากเป็นดังที่ข้ากังวล เสี่ยวหรานจะยิ่งได้รับความอับอาย แต่นอกจากนางจะไม่สนใจคำเตือนข้า ยังพยายามยกฐานะคุณหนูใหญ่มาข่มขู่ซินเอ๋อร์ เพียงเพราะน้องสาวดีใจเกินไปที่พบพี่สาวเลยเสียมารยาท”“นางด่าข้าว่าเป็นบุตรสาวที่มารดามิได้สั่งสอน พอท่านแม่อธิบาย นางก็ให้ท้ายบ่าวมาถกเถียงท่านแม่ ทั้งยังทำร้ายคนจนบาดเจ็บ ซินเอ๋อร์เลยทนมิได้เจ้าค่ะ” หลินผู่ซินกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ดวงตาที่ปานจะพ่นไฟใส่หลินเสี่ยวหรานได้เมื่อครู่ ตอนนี้กลับน้ำตาเอ่อ คล้ายคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเหลือแสนหลินหานเจ๋อมองไปยังคนสนิทของภรรยา ที่ตอนนี้นั่งโอดโอยอยู่บนพื้น“ถ้าเจ็บจนทำงานไม่ได้ ก็ขายออกไป ข้าไม่สนใจเลี้ยงบ่าวพิการ”“นายท่าน!” เกาอี้ซินตกใจ เพราะบ่าวที่บาดเจ็บคือคนข้างกายที่อยู่ด้วยกันมาก่อนจะออกเรือน กอปรกับท่าทีของสามีที่ดูขึงขังห่างเหิน“ถ้าเจ้าอยากเก็บนางเอาไว้ ก็พาไปรักษาสิ จะให้นางมานั่งร้องไห้คร่ำครวญน่ารำคาญตรงนี้ทำไม”“ท่านพี่ หากหลินเสี่ยวหรานทำร้ายข้า ท่านยังจะพูดแบบน