เขาเป็นอ๋องอ้วนอัปลักษณ์ ซ้ำยังว่างงาน ส่วนนางเป็นบุตรสาวที่ถูกฮูหยินใหม่ของบิดากลั้นแกล้งจนต้องหนีมาอยู่ชนบท เนื่องจากยศฐาและเงินทองที่มีไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนรักไว้ได้ "โซ่วอ๋อง ฉู่ชิงเฟิง" หอบสารร่างอ้วนใหญ่หนีความช้ำใจจนพลัดตกน้ำ อเนจอนาถอย่างยิ่ง ทว่าเหมือนเขายังไม่หมดบุญ เขาได้ "หลินเสี่ยวหร่าน" บุตรสาวของขุนนางใหญ่ที่กำลังตกยากช่วยเหลือเอาไว้ นางดูแลเขาเป็นอย่างดีในฐานะของ "อาเปา" ชายหนุ่มร่างอ้วนความจำเสื่อม ทว่าเวลาผ่านไป หลินเสี่ยวหร่านกลับค้นพบความพิเศษที่ชายหนุ่มเก็บงำประกายเอาไว้ ทั้งความรู้ ความสามารถ ยังไม่นับรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปราวคนละคนนั้นอีก "ให้ตายสิ นี่อาเปาดูดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ"
View Moreคงไม่มีอะไรงดงามและหวานล้ำยิ่งกว่า การได้ยืนกอบกุมมือหญิงงามท่ามกลางมวลดอกไม้ป่าภายใต้แสงสีเงินยวงของจันทราในคืนเพ็ญ แต่มิใช่กับ โซ่วอ๋อง ฉู่ชิงเฟิง ที่ลงความเห็นว่าภาพเบื้องหน้าช่างบาดตาบาดใจเหลือเกิน เพราะมือของสตรีในดวงใจ ที่เขาเพิ่งจะส่งแม่สื่อไปสู่ขอได้ไม่นานอย่าง หลินผู่ซิน บัดนี้กำลังถูกบุรุษน่าตายผู้หนึ่งกอบกุมเอาไว้
แม้ทางตระกูลหลินจะยังมิได้ให้คำตอบ แต่เขามีบรรดาศักดิ์เป็นถึงโซ่วอ๋อง ไหนเลยอัครเสนาบดีจะกล้าปฏิเสธ พอคิดว่าคู่หมายในอนาคตกำลังถูกชายอื่นล่วงเกินอยู่ เขาก็เกือบจะพุ่งเข้าไปจัดการกับไอ้คนไม่เจียมตัวพรรค์นั้นอยู่แล้ว ทว่าชายผู้นั้นกลับถามคำถามที่เขาเองก็อยากรู้อยู่พอดีขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าจะแต่งงานกับโซ่วอ๋องจริงรึ”
‘ถามโง่ๆ มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ใครจะปฏิเสธบุรุษเพียบพร้อมอย่างข้าได้’ ฉู่ชิงเฟิงตอบโต้บุรุษที่ยืนหันหลังอยู่ในใจ แต่ทันใดนั้นหลินผู่ซินก็หัวเราะออกมา
“จริงอยู่ที่โซ่วอ๋องส่งแม่สื่อมาที่จวน แต่ว่าบิดาข้าไม่มีทางตอบตกลงเป็นแน่เพคะ”
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร บางทีบิดาเจ้าอาจจะยังใคร่ครวญอะไรบางอย่างไม่เสร็จก็ได้”
“ใคร่ครวญอย่างนั้นรึ อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลย แม้แต่ข้ายังโมโหแทบตาย ไม่รู้ว่าคนอ้วนอัปลักษณ์อย่างฉู่ชิงเฟิงเอาความมั่นใจมากมายมาจากที่ใด ถึงได้กล้าส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้า เขาจะรู้หรือไม่ว่า แค่นึกถึงใบหน้าอวบอ้วนกับกลิ่นกายเหม็นสาบของเขา ข้าก็แทบจะสำรอกออกมาแล้ว”
ชายผู้นั้นแกล้งดุกลบเกลื่อนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเยาะหยัน “ประเดี๋ยวเถอะ นี่เจ้ากำลังพูดถึงท่านอ๋องอยู่เชียวนะ ไม่กลัวถูกลงโทษบ้างหรือไร”
“เขาเป็นอ๋อง แล้วท่านมิใช่อ๋องหรือไร อย่าบอกนะว่าท่านจะลงโทษข้าแทนพี่ชายตัวเอง” หลินผู่ซินเอียงศีรษะ หัวเราะเสียงใสน่ารักราวกับกำลังพูดเรื่องน่ารื่นรมย์อยู่ ไม่ใช่กำลังวิพากษ์วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งอย่างไม่เกรงอาญา
ฉู่ชิงเฟิงกำหมัดแน่น ที่แท้ผู้ชายคนนั้นคือหนึ่งในน้องชายของเขานี่เอง มิน่าน้ำเสียงถึงได้ฟังดูคุ้นหูนัก
“เปล่าเสียหน่อย เปิ่นหวางแค่เป็นห่วงเจ้าก็เท่านั้น”
“ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และคงไม่ได้มีเพียงผู่ซินที่คิดเช่นนี้ มีสตรีคนใดบ้างอยากตกนรกทั้งเป็น เพราะต้องอยู่กับบุรุษอัปลักษณ์ ไร้ความสามารถอย่างโซ่วอ๋องไปตลอดชีวิตบ้าง” กล่าวจบพลันได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วแว่วมา ชวนให้คู่สนทนาหัวใจปวดหนึบยิ่ง
“โถ ผู่ซินของเปิ่นหวางช่างน่าสงสารจริงๆ”
“ถ้าท่านอ๋องสงสารข้าอย่างที่พูด ก็รีบจัดการเรื่องหมั้นหมายของเราให้เรียบร้อยเถิด พอถึงตอนนั้นโซ่วอ๋องคงเข้าใจได้เองว่า ข้ากับเขามิได้คู่ควรกัน”
“เปิ่นหวางสัญญาว่าจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด แต่ว่าก็ยังไม่อยากมีปัญหากับเขา เพราะอาจจะเสียการใหญ่ได้ ผู่ซิน เจ้าอดทนอีกนิดได้หรือไม่”
“เพื่อเป้าหมายของท่านอ๋อง ผู่ซินอดทนได้เพคะ”
ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของหลินผู่ซินกลายเป็นศรอาบยาพิษพุ่งตรงเข้ากลางใจฉู่ชิงเฟิง ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางเป็นคนเดียวที่เวลาเจอเขาก็ส่งยิ้มงดงามให้ ไม่เคยแสดงท่าทีว่ารังเกียจเขาเหมือนกับคุณหนูคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงเหมือนเทพธิดาในใจเขาเสมอมา ทว่าวันนี้เขาได้รู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา จริงๆ แล้วนางแค่อยากทำตัวเป็นสตรีจิตใจสูงส่งต่อหน้าผู้อื่นเท่านั้น แต่ที่แท้นางมองเขาเป็นเพียงชายอ้วนอัปลักษณ์ ทั้งยังรังเกียจเสียจนแทบจะอาเจียนออกมาเลยทีเดียว
ฉู่ชิงเฟิงเสียใจจนไม่อยากรู้อีกต่อไปแล้วว่า บุรุษที่อยู่กับหลินผู่ซินเป็นพี่น้องของเขาคนไหน รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ตนอยากจะหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ให้มากที่สุด
ร่างตุ้มตุ้ยพลันหันหลังกลับ แล้ววิ่งเตลิดไปในป่าอย่างไร้จุดหมาย พลางนึกโต้แย้งคำหยามเหยียดของหลินผู่ซินทั้งน้ำตาไปด้วย
‘ถึงข้าจะรูปร่างไม่ดีเท่าพี่น้อง แต่เรื่องความสามารถ มีสิ่งใดที่ข้าด้อยกว่าพวกเขา ทั้งโคลงกลอน เขียนอักษร หลักการบริหารบ้านเมือง ไหนจะผีมือยิงธนู อาจารย์ล้วนชมว่าข้านั้นเก่งกาจยิ่ง หลินผู่ซินเจ้าน่ะสบประมาทข้าเกินไปแล้ว’
ด้วยปกติฉู่ชิงเฟิงเป็นคนพิสมัยการกิน ทั้งยังชอบอ่านตำรา ฝึกเขียนพู่กันอยู่ในห้องหนังสือมากกว่าฝึกฝนร่างกาย เลยทำให้เขามีรูปร่างอ้วนท้วน ดังนั้นการที่ต้องวิ่งแบกน้ำหนักเกือบหนึ่งร้อยชั่ง[1] เป็นเรื่องยากลำบาก เขาวิ่งไปได้สักพักก็สะดุดขาตัวเองล้มลงข้างธารน้ำตก ชายหนุ่มที่บอบช้ำทั้งกายใจพยายามกลั้นเสียงร้อง แต่ยิ่งกลั้นก็ยิ่งสะอึกสะอื้น น้ำหูน้ำตาไหลย้อยปะปนกับน้ำมูกจนใบหน้าอ้วนกลมเลอะเทอะดูไม่ได้
“ฮือๆ เง็กเซียนฮ่องเต้ แม้แต่เทพธิดาผู่ซินที่ท่านส่งมาก็รังเกียจข้า ในเมื่อไม่มีใครรักและจริงใจ แล้วแบบนี้ข้าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรกันเล่า” ฉู่ชิงเฟิงฟุบหน้าลงกับพื้นดิน พลางร่ำร้องตัดพ้อสวรรค์อยู่เป็นนาน และดูเหมือนเง็กเซียนฮ่องเต้อาจจะเห็นแก่คำขอของเขา เลยบันดาลให้เป็นไปตามคำพูด...
เนื่องจากตลิ่งตรงนี้ถูกน้ำกัดเซาะจนดินอ่อน ประกอบกับน้ำหนักมหาศาลของฉู่ชิงเฟิง ฉับพลันพื้นดินบริเวณที่ร่างอวบอ้วนฟุบอยู่ทรุดลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ตูม!
แม้เสียงดินและคนตัวหนักกว่าร้อยชั่งตกลงไปในน้ำดังสนั่นปานใด ทว่าสุดท้ายกลับเลือนหายไปพร้อมกับเงาร่างของโซ่วอ๋องโดยไม่มีผู้ใดสังเกตหรือได้ยิน
[1] หนึ่งชั่ง มีค่าเท่ากับ 1.2 กิโลกรัม ดังนั้น 100 ชั่ง จึงมีค่าเท่ากับ 120 กิโลกรัม
ครั้นบรรยากาศในงานกลับมาครึกครื้นถานอิ่งเสวี่ยจึงยิ้มออก เหล่าคุณหนูคุณชายพากันเล่นปาลูกดอก ทายปริศนาคำกันอย่างครึกครื้น ไม่มีใครคิดถึงจางฟานซินสักคน เพราะตอนนี้พวกเขาต่างให้ความสนใจโซ่วอ๋อง จึงเข้ามาคารวะสุราไม่ขาดสายเดิมฉู่ชิงเฟิงไม่ใช่คนดื่มเก่งอะไรจึงรู้สึกมึนศีรษะไวกว่าผู้อื่น สาวใช้ที่มาเปลี่ยนกาสุราจึงแนะนำให้เขาไปนั่งพักที่ศาลากลางสระบัวอีกด้านก่อน แต่พอเดินมาถึงกลางสะพานก็พบว่าหลินผู่ซินยืนอยู่ที่นั่น“เปิ่นหวางไม่ทราบว่าที่นี่มีคนจับจองแล้ว เช่นนั้นขอตัวก่อน”“ศาลาข้างหน้าออกจะกว้างใหญ่ ยกเว้นเสียแต่ว่าท่านอ๋องรังเกียจข้าแล้ว” น้ำเสียงนางเจือสะอื้นน้อยๆฉู่ชิงเฟิงชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปมองสตรีที่ครั้งหนึ่งตนเองเคยเห็นเป็นดังเทพธิดาแสนอ่อนโยน ดวงตานางที่ทอดมองดอกบัวฉายแววโศก แต่ไม่ถึงกับมีน้ำตา เป็นท่าทางที่ไม่ว่าบุรุษใดได้เห็นก็ต้องรู้สึกปวดใจ“ใยคุณหนูสี่คิดเยี่ยงนั้น เหตุใดเปิ่นหวางต้องรังเกียจเจ้าด้วย”“หากมิได้รังเกียจเหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงได้ทำเหมือนไม่รู้จักข้า มาตอนนี้ก็ยังทำท่าเหมือนอยากจะหนีไปให้ไกลอีก” ดวงตาคู่นั้นสั่นระริก หยาดน้ำตาเริ่มคลอหน่วง“จำได้ว่าตอนนั้
“เสี่ยวหรานเป็นสตรีในห้องหอ ต่อให้ยังมิได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่หนังสือและเทียบดวงชะตาได้รับการรับรองแล้ว ย่อมถือว่าเป็นสตรีของเปิ่นหวาง จะปล่อยให้บุรุษอื่นบุกเข้าไปหานางในห้องได้เยี่ยงไร”“อิ่งเสวี่ยร้อนใจจึงบู่มบ่าม กระหม่อมเป็นพี่ชายแต่ดูแลน้องไม่ดี หากท่านอ๋องจะลงโทษ ก็ลงโทษกระหม่อมแทนเถิด” ถานอิงเฉิงออกรับแทนน้องสาว ปกติถานอิ่งเสวี่ยมิใช่คนที่ชอบต้อนผู้อื่นให้จนมุม เพียงแต่คราวนี้จางฟานซินไม่ยอมเลิกลา ทำให้น้องสาวเขาจำต้องคาดคั้นหลินเสี่ยวหราน“เอาเถอะ ปกติคุณหนูถานเป็นคนรู้ความ และวันนี้ก็เป็นวันเกิดของนาง เปิ่นหวางจะถือว่านี่คือเรื่องเข้าใจผิดก็แล้วกัน แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปหากเปิ่นหวางพบว่ามีใครจงใจทำให้หลินเสี่ยวหรานลำบากใจอีก ก็อย่าหาว่าเปิ่นหวางวางอำนาจ รังแกผู้น้อย”พอได้ยินโซ่วอ๋องที่ปกติไม่เคยกล้ามีปากมีเสียงกับใครมาก่อนเอ่ยด้วยท่าทางขึงขังเช่นนั้น หลายคนก็เริ่มรู้สึกตัวว่าได้ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ทว่าจางฟานซินที่ถือว่าบิดาเป็นถึงเจ้ากรมอาญากลับไม่คิดเช่นนั้น “ท่านอ๋องพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก เป็นหลินเสี่ยวหรานต่างหากที่ทำตัวมีพิรุจ เป็นใครก็ต้องสง
“เอาเถอะๆ เดิมข้าตั้งใจมาร่วมงานเลี้ยงอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ออกไปพบทุกคนพร้อมเจ้าเลยแล้วกัน ไม่เป็นไรหรอก” เป็นเสียงทุ้มของบุรุษ ทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจ ที่แท้คุณหนูใหญ่หลินไม่ได้พบคุณชายฉงที่กำลังเมา แต่นางนัดพบกับชายอื่นทั้งที่กำลังจะแต่งงานกับโซ่วอ๋องนี่มันเรื่องใหญ่ระดับแว่นแคว้น!!!“นางพูดกับใครน่ะ!”“ตายแล้ว! มีบุรุษอยู่ในนั้นกับนางจริงๆ ด้วย”“นางเป็นว่าที่ชายาโซ่วอ๋อง แต่กลับนัดพบบุรุษอื่นในที่ลับตา ช่างหน้าไม่อาย!”“จะโทษนางเสียทีเดียวก็ไม่ถูก เพราะถ้าข้าเป็นคุณหนูใหญ่หลิน ข้าก็ทำใจลำบากเหมือนกันนะ ก็โซ่วอ๋อง...”“เปิ่นหวางทำไมหรือคุณหนูอวี้”สายตาทุกคู่มองไปยังบุรุษหล่อเหลาในชุดสีม่วงปักลายที่เดินออกมาจากห้องรับรองด้านในสุด กลิ่นอายสูงส่งของเชื้อพระวงศ์แผ่กำจาย ด้วยรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายคลึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยู่สามส่วน แต่ไม่มีผู้ใดนึกออกว่าเขาคือองค์ชาย ท่านชาย หรือคุณชายท่านใดกันแน่ เสียงซุบซิบดังต่อเนื่อง เหล่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนที่ตามมาด้วยต่างพากันใจเต้นโครมคราม บ้างก็พยายามคิดว่าบุรุษเครื่องหน้าราวเทพสวรรค์ปั้นผู้นี้ ที่ผ่านมาเขาไปอยู่เสียที่ไหนกัน ไยเพิ่งมา
ในที่สุดทุกคนก็มาถึงเรือนรับรองริมสระบัว ต่างคนต่างสอดส่ายสายตา บ้างก็เงี่ยหูฟังเผื่อว่าจะได้ยินอะไร แต่ก็มีเพียงความเงียบงัน“เจ้าพาคุณหนูใหญ่หลินมาส่งที่นี่แน่นะ” ถานอิ่งเสวี่ยหันไปถามคนของตนเอง“แน่เจ้าค่ะ”“นางอยู่ในนี้จริงหรือ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่ามันเงียบแปลกๆ”“จะอยู่หรือไม่อยู่ เข้าไปดูก็รู้เรื่องแล้ว” จางฟานซินออกความเห็น“ไม่ได้นะ! หรานเอ๋อร์มาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรงนี้มีพวกคุณชายอื่นๆ อยู่ด้วยเจ้าไม่เห็นหรือไร” กัวชิงเยว่เดินออกไปขวางจางฟานซินเอาไว้“ถูกของคุณหนูกัว เอาเป็นว่าข้าจะลองเรียกนางดูก่อนแล้วกัน” พอเห็นว่าทุกคนต่างพยักหน้าถานอิ่งเสวี่ยก็ตะโกนออกไป “คุณหนูใหญ่หลิน ข้าคือถานอิ่งเสวี่ย ไม่ทราบว่าเจ้ายังอยู่ข้างในหรือไม่”สิ้นคำทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังว่าจะมีเสียงขานรับจากหลินเสี่ยวหรานหรือเปล่า“...” ไม่มีเสียงตอบจากภายใน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเริ่มมองกันเลิ่กลั่ก“พี่หญิงใหญ่ ท่านยังอยู่ข้างในหรือไม่ช่วยตอบข้าที” หลินผู่ซินตะโกนออกไป สีหน้าแววตาเป็นกังวล“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูใหญ่ ข้าว่าเรารีบเข้าไปดูกันเถอะ” จางฟานซินเอามือดันกัวชิงเยว่ที่ขวางหน้าตัวเองออกสุดแร
“บ่าวประมาทมีความผิด ท่านอ๋องทรงลงอาญาเถิดเพคะ” เฉาเหมยคุกเข่าลงเตรียมรับโทษทัณฑ์อย่างกล้าหาญ“ข้าเป็นคนสั่งให้เฉาเหมยไปเอง นางก็แค่ทำตามคำสั่ง”“เปิ่นหวางยังไม่ทันว่าอะไรเลย เจ้าก็ออกหน้าแทนนางแล้ว”“ในเมื่อท่านยกนางให้ข้า หากจะลงโทษก็ควรให้ข้าตัดสินใจมิใช่หรือ”“เจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็จนใจน่ะสิ”หลินเสี่ยวหรานยิ้มให้ฉู่ชิงเฟิง แล้วหันไปสั่งคนของตนเองด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เฉาเหมยโทษฐานที่เจ้าทำท่านอ๋องมีโทสะ กลับจวนแล้วเจ้าก็ไปคุกเข่าสำนึกผิด ทบทวนตนเองที่หน้าพระโพธิสัตว์หนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”“เอาล่ะๆ ลุกขึ้นเถอะ”สาเหตุหนึ่งที่ฉู่ชิงเฟิงประทับใจในตัวหลินเสี่ยวหราน ก็คือนางมีเมตตาต่อคนใต้อาณัติของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เพราะโลกใบนี้ ผู้มีอำนาจอยู่เหนือทุกสิ่ง ชีวิตของบ่าวไพร่ไม่ต่างจากใบหญ้า เจ้านายจะใช้สอย หรือให้สละชีพพวกเขาล้วนต้องทำตาม แต่ว่าที่ชายาของเขากลับใส่ใจ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจดีงามยิ่ง“ท่านอ๋อง พวกเรารีบออกจากที่นี่ดีกว่า”“เจ้าพูดแบบนี้แสดงว่ามั่นใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”หลินเสี่ยวหรานพยักหน้า“หลานเหมยจัดการเขาเสีย”“เจ้าคะ”“ไม่นะท่านอ๋อง เร
เรือนรับรองสำหรับแขกเป็นเรือนเล็กๆ ตั้งอยู่ในสวนอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณจัดงานเลี้ยง“เชิญคุณหนูหลินเจ้าค่ะ” สาวใช้นำทางเปิดประตูเรือนรับรอง พลางผายมือเชิญ พอคนเข้าไปแล้วนางก็ปิดประตูให้แล้วจากไปหลินเสี่ยวหรานกวาดสายตามองรอบๆ ห้อง เมื่อแน่ใจว่าภายในไม่มีผู้ใด ก็หันไปสั่งเฉาเหมยว่า “เจ้ารีบไปนำเสื้อผ้าตัวใหม่มา ส่วนข้าจะรออยู่ที่นี่”“เฉาเหมยไม่อาจปล่อยคุณหนูไว้ผู้เดียว”“ด้วยฝีมือของเจ้าคงใช้เวลาไปกลับไม่นานกระมัง”“แต่ว่า...”“แค่ครู่เดียวเท่านั้น ข้าไม่เป็นอะไรไปหรอก เจ้ากังวลมากเกินไปแล้ว”“เจ้าค่ะ เฉาเหมยจะรีบไปรีบกลับ” ว่าแล้วนางก็หันกายเดินออกจากเรือนรับรองไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำเวลาหลินเสี่ยวหรานกวาดสายตามองอีกรอบหนึ่ง ภายในเรือนรับรองมีการแบ่งเป็นห้องเล็กๆ ไร้ประตูสามห้อง มีผ้าม่าน และฉากกั้นบังตา เพื่อให้แขกที่ไม่สบายหรือเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นนางเข้ามาพักผ่อนชั่วคราวหลินเสี่ยวหรานเลือกห้องด้านในสุด นางเดินเข้าไปหลังฉากกั้นแล้วไปนั่งตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง คิดว่าก็ดีเหมือนกันที่คุณหนูจางสร้างเรื่องเล็กๆ นี่ให้ เพราะก็อยากปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยงที่มีแต่คนพร้อมสร้างความอ
Comments