LOGINหลายวันต่อมา
แม้ไม่ต้องการให้คนเห็นว่าตนเองอยู่ที่นี่มากแค่ไหน แต่ฉู่ชิงเฟิงเริ่มเบื่อหน่ายที่จะต้องอยู่เพียงในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ จึงตัดสินใจออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรก แล้วเขาก็ต้องแปลกใจที่จวนนอกเมืองของอัครเสนาบดีหลินนั้นเล็กเกินกว่าจะเรียกว่าคฤหาสน์ เพราะมันเป็นเพียงเรือนสี่ประสาน ซึ่งจัดสวนแบบธรรมดาไว้ตรงกลางเท่านั้น
หากว่ากันด้วยฐานะแล้ว จวนของใต้เท้าหลินควรจะใหญ่โตและสวยงามกว่านี้อีกสักหน่อย แบบนี้มันใช่สถานที่ที่ควรส่งลูกสาวที่บอบบางและงดงามขนาดนั้นมารักษาตัวหรือ
“หยุดนะ! เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เสียงของหลินอ้ายดังมาทางด้านหลัง ฉู่ชิงเฟิงได้ยินก็หันกลับไปมอง
“ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“โกหก เห็นอยู่ว่าเจ้ากำลังจะเข้าไปในเรือนของคุณหนู”
“ข้าแค่ออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย และก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปในเรือนผู้อื่นสักหน่อย” ฉู่ชิงเฟิงปฏิเสธ เรือนเล็กออกปานนี้ เดินไม่เท่าไรก็ทั่วแล้ว และเขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่เข้าเรือนหลังอื่นที่ไม่ใช่ที่พักของตนเองสุ่มสี่สุ่มห้า
“ปากแข็ง หากข้ามาช้ากว่านี้อีกก้าวเดียว เจ้าคงเดินเข้าไปแล้ว”
“นั่นเป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าผู้เดียว ข้าจะหาเรื่องถูกไล่ออกจากที่นี่ทั้งที่ตัวเองยังจำอะไรไม่ได้ไปเพื่ออะไรกันเล่า” ถึงเขาจะอ้วนอัปลักษณ์ แต่ก็มิได้โง่เง่าจนคิดเรื่องแค่นี้ไม่ได้
“เจ้ามันผู้ร้ายปากแข็ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ เจ้ามาที่นี่ทำไม ใครส่งเจ้ามากันแน่” หลินอ้ายไม่คิดไว้ใจคนนอก ยิ่งเห็นคนกำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าเรือนของคุณหนูตนแบบนี้ ความหวาดระแวงในใจก็ยิ่งปะทุจนห้ามตนเองไม่อยู่
“เรื่องนั้นข้าจะไปรู้ได้ยังไง”
“เอ๊ะ เจ้าอย่ามาเฉไฉนะ”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าความจำเสื่อม ขนาดชื่อตัวเองก็ยังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าทำไมถึงได้มาโผล่ที่นี่ให้คนอย่างเจ้าตะโกนใส่หน้าปาวๆ ว่าเป็นผู้ร้าย”
ถูกฉู่ชิงเฟิงตอกกลับด้วยน้ำเสียงดังกังวานอย่างผู้มีอำนาจ จนหลินอ้ายรู้สึกเย็นยะเยือกจากแรงกดดันนั้นวูบหนึ่ง
“จะ...เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้าบอกว่าข้าไม่รู้อย่างไรเล่า”
เสียงถกเถียงของหลินอ้ายกับฉู่ชิงเฟิงดังขึ้นเรื่อยๆ จนหลินเสี่ยวหรานที่นั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่กับลี่มามาในเรือนต้องออกมาดู
“ผู้ใดมาส่งเสียงเอะอะโวยวายรบกวนคุณหนูอยู่ได้” ลี่มามาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวที่สุด
“ก็ ‘เจ้าอ้วน’ นี่สิ จู่ๆ ก็มาทำลับๆ ล่อๆ ที่หน้าเรือนคุณหนู” หลินอ้ายรีบรายงานทันที
ฉู่ชิงเฟิงไม่สนใจสิ่งที่หลินอ้ายฟ้อง แต่คำบางคำทำให้เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว “เรียกข้าว่า ‘เจ้าอ้วน’ งั้นรึ เจ้านี่มันอ่อนด้อยการอบรมมารยาทจริงๆ”
“นี่เจ้า...เจ้ากล้าด่าข้า” หลินอ้ายรู้สึกอับอายยิ่ง เพราะการที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้นอกจากเป็นการตอกกลับตน ยังเป็นการต่อว่าไปถึงเจ้านายด้วยว่าไม่อบรมสาวใช้ให้ดี
“แล้วข้าพูดสิ่งใดผิดบ้างเล่า หลินอ้าย ฐานะเจ้าคืออะไรย่อมรู้ตัวดี ถึงข้าจะความจำเสื่อม แต่เจ้าอาศัยสิทธิ์ใดถึงได้มาทำตัวหยาบคายเช่นนี้ใส่หรือ”
“เจ้า...เจ้าหลอกด่าข้าอีกแล้ว” หลินอ้ายแทบจะดิ้นเร่าๆ เพราะเจ็บใจ ที่จู่ๆ ก็กลายเป็นคนชั้นต่ำไม่เจียมตัว ทำอะไรเกินหน้าที่ ทั้งที่ความจริงนางแค่อยากปกป้องเจ้านายจากคนน่าสงสัยเท่านั้น
“พอแล้วหลินอ้าย” หลินเสี่ยวหรานปรามคนของตัวเอง “ต้องขออภัยเจ้าด้วย ที่คนของข้าเสียมารยาท”
“คุณหนูท่านไปขอโทษเขาทำไมกัน” หลินอ้ายหันไปมองเจ้านายอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หลินอ้าย ถ้าเจ้าพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะเอาเจ้าไปขายให้พ่อค้าทาส” เสียงของหลินเสี่ยวหรานไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว หลินอ้ายจึงรีบหุบปากทันที
“นางยังเด็กนัก หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา” หลินเสี่ยวหรานหันกลับมาพูดกับฉู่เชิงเฟิงต่อ
“ในเมื่อคุณหนูหลินพูดเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ถือสานาง” ฉู่ชิงเฟิงไม่คิดจะเสียเวลากับเรื่องไร้สาระนี้เช่นกัน จึงยอมรับคำนางโดยง่าย
“แต่เห็นเจ้าออกมาเดินเล่นได้เช่นนี้ แสดงว่าหายดีแล้ว” หลินเสี่ยวหรานชวนเขาสนทนาต่อด้วยน้ำเสียงรื่นหูสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่นเป็นเพราะได้คุณหนูหลินดูแลรักษาเป็นอย่างดี ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
หลินเสี่ยวหรานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่ออย่างทีเล่นทีจริงว่า “อย่าเพิ่งด่วนซาบซึ้งใจนักเลย บางทีเจ้าอาจจะเกลียดข้าขึ้นมาในเร็ววันนี้ก็ได้”
ฉู่ชิงเฟิงขมวดคิ้วมุ่น พลางจดจ้องใบหน้างามสะคราญที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าดูน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกของหลินเสี่ยวหราด้วยนึกสังหรณ์ใจไม่ดี...
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย “เพราะอย่างนั้น ข้าเลยไม่เห็นจำเป็นต้องโอ้อวดความสามารถอะไรเลย หลายครั้งที่ข้าช่วยเสนอความคิดต่างๆ กับเสด็จพ่อ และช่วยให้จิ้นอ๋องทำผลงาน ให้เขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ข้าแค่เห็นว่าได้ช่วยให้คนสองคนที่ข้ารักและเคารพได้สมปรารถนา ได้เติบโตในเส้นทางของพวกเขาก็ถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ข้ามีความสุขมากนะเมื่อได้เห็นพวกเขามีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศอะไรให้ใครรู้เลย”หลินเสี่ยวหรานฟังแล้วใจอ่อนยวบ ความคิดของฉู่ชิงเฟิงนั้นสูงส่งและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าที่นางคิดไว้มากนัก นางรู้สึกละอายใจที่เคยมองเขาเพียงผิวเผิน“เข้าใจแล้วเพคะ” นางพึมพำ ก่อนจะถามคำถามต่อไป “แล้ววรยุทธ์เล่าเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องมีวรยุทธ์ แต่หม่อมฉันคิดว่าแค่พอป้องกันตัวได้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะเก่งกาจราวเทพสงคราม จนสามารถปราบโจรป่าได้ราบคาบในพริบตา”“เทพสงครามอะไรกันเล่าหรานเอ๋อร์” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหน้า เขาปฏิเสธคำชมนั้นอย่างรวดเร็ว “ที่ต้องฝึกวรยุทธ์ก็เพราะถูกบังคับให้ฝึกน่ะสิ ข้าไม่ชอบด้วยซ้ำ เพราะมันเหนื่อยจะตายไป”เขาบ่นอุบอิบ “ที่พอจะดีหน่อยก็คือเรื่องยิงธนูนั่นแหละ เพราะแค่ยื
หลังจากเหตุการณ์ปราบโจรป่าครั้งใหญ่ที่จบลงไปอย่างน่าตื่นตะลึง หลินเสี่ยวหรานยังคงรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ถ่วงอยู่ในอก ภาพของฉู่ชิงเฟิงที่พลิ้วไหวกระบี่ดุจเทพสงคราม และเงาร่างของหลานเหมยที่ปลิดชีพศัตรูอย่างเลือดเย็นวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของนางตลอดเวลา มันเป็นภาพที่แตกต่างจาก ‘ท่านอ๋องว่างงานผู้ใจดี’ ที่นางรู้จักมาโดยสิ้นเชิงความรู้สึกเหมือนถูกปิดบัง คล้ายเขายังคงเป็นคนแปลกหน้าเกาะกินใจนาง ทำให้นางไม่สามารถร่าเริงได้เหมือนเคยบรรยากาศในจวนดูเหมือนจะปกติ แต่ความอึดอัดบางอย่างลอยอบอวลอยู่ระหว่างโซ่วอ๋องกับพระชายา หลินเสี่ยวหรานพยายามทำตัวปกติ ทว่าความเงียบที่เข้าปกคลุมระหว่างพวกเขามักจะหนักอึ้งอยู่เสมอฉู่ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของพระชายาของเขามาตลอดหลายวัน ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววกังวล“หรานเอ๋อร์ วันนี้อากาศดีนัก ข้าเห็นว่าเจ้าดูไม่ค่อยสบายใจ ไยเราไม่ออกไปเดินเล่นในตลาดสักหน่อยเล่า เผื่อจะช่วยให้ใจเจ้าผ่อนคลายขึ้นบ้าง”หลินเสี่ยวหรานวางผ้าปักในมือลงช้าๆ พลางเงยหน้ามองเขา “เพคะท่านอ๋อง” นางตอบรับเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความห่างเหิน แม้ในใจจะรู้สึกว่าการไปเดินตลาดอาจไม่ได้ช
เขาเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาฉู่ชิงเฟิง ทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าทันที “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน... หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉัน... หม่อมฉันไม่เคยคิดเลยว่าท่านอ๋องจะ... ทรงเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารบ้านเมือง หรือวรยุทธ์ ท่านคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกระหม่อมเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสารภาพว่าตลอดมากระหม่อมอิจฉาท่าน ไม่ยอมรับในความสามารถของท่าน แต่บัดนี้... กระหม่อมยอมรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านคือผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง หลี่เจิ้นขอถวายชีวิตรับใช้ท่านอ๋องตลอดไป และจะเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านอ๋องแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”น้ำเสียงของหลี่เจิ้นสั่นเครือด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกอย่างแท้จริง แววตาที่มองฉู่ชิงเฟิงเปี่ยมไปด้วยความเคารพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับเขาได้พบกับเทพเจ้าที่พร้อมจะยอมอุทิศตนเองให้ฉู่ชิงเฟิงมองหลี่เจิ้นนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ และยื่นมือไปประคองเขาให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถิดท่านรองเจ้าเมือง เพียงท่านเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เปิ่นหวางทำเพื่อแคว้นก็พอแล้ว เรื่องที่ผ่านมาเปิ่นหวางไม่เคยติดใจ” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ภายในใจของฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงชัยช
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ฉู่ชิงเฟิงพลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากเงามืดอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ราวกับพายุที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่ง เขาเหลือบมองไปยังทิศทางนั้นโดยไม่ละสายตาจากศัตรูเบื้องหน้า“หลานเหมย...” เสียงของฉู่ชิงเฟิงต่ำลง แต่หนักแน่นเด็ดขาด “ไประบายโทสะของเจ้าได้”สิ้นคำสั่งนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏกายขึ้นจากเงามืด ราวกับภูตผีที่โผล่พ้นจากนรกานต์ นางสวมชุดองค์รักษ์สีดำสนิท ปกปิดทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งใบหน้าก็ถูกผ้าคลุมสีดำทมึนบดบังไว้จนมิดชิด เห็นเพียงประกายเย็นเยียบและดุดันที่ลอดผ่านช่องแคบของผ้าคลุมเท่านั้น รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างของนางเข้มข้นจนบรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือก เสียงกรีดร้องของโจรที่ดังระงมอยู่แล้ว กลับทวีความน่าหวาดกลัวขึ้นเมื่อเงาร่างสีดำนั้นเริ่มเคลื่อนไหว การโจมตีของนางรวดเร็ว ไร้ความปรานี และเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับยมทูตที่มาทวงวิญญาณทันใดนั้นเอง นางก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างกายที่เคยสงบนิ่งบัดนี้กลับบ้าคลั่งราวกับสัตว์ร้ายที่หลุดออกจากกรงขัง นางพุ่งเข้าใส่กลุ่มโจรที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เสียง
“เรียนท่านอ๋อง... พระชายาและท่านรองเจ้าเมือง... ถูกจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของเขาขาดห้วง ร่างของเฉาเหมยในอ้อมแขนซีดเผือดไร้ชีวิตชีวา พิษกำลังแล่นเข้าสู่หัวใจทันทีที่เห็นสภาพของเฉาเหมยที่ถูกนำกลับมาในสภาพปางตาย ฉู่ชิงเฟิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเห็นธนูพิษที่ปักอยู่บนแขนของนาง ดวงตาคมกริบฉายแววเป็นห่วงปนโทสะ“ใครก็ได้! ไปตามหมอหลวงมาดูอาการเฉาเหมยเดี๋ยวนี้” ฉู่ชิงเฟิงตะโกนเสียงดังลั่น ในขณะที่หมอหลวงกำลังเดินทางมาอย่างเร่งด่วนในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงจนน่าสะพรึง มันแผ่ออกมาจากเงามืดในมุมหนึ่งของห้องโถง แม้จะไร้ซึ่งเสียงและตัวตนที่มองเห็น แต่จิตสังหารนั้นก็เข้มข้นจนทำให้เส้นผมบนแขนของเขาลุกชัน เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้มาจากใคร หลานเหมยคงเดือดดาลอย่างถึงที่สุดที่ได้เห็นสภาพปางตายของผู้เป็นน้องสาว จิตสังหารที่แผ่ออกมานั้นไม่ใช่แค่ความโกรธแค้น แต่มันคือคำประกาศกร้าวว่า ‘จะไม่มีใครรอด’ และผู้ที่บังอาจทำร้ายน้องสาวของนางจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตอย่างสาสมจากนั้นองครักษ์ผู้รอดชีวิตก็ยื่นจดหมายที่กำแน่นในมือให้ฉู่ชิงเฟิง เขาหยิบมาคลี่ออกอ่าน แววตา
หนึ่งปีแห่งความรุ่งเรืองของแคว้นหลิงหลงได้ผ่านไป ภายใต้การบริหารของฉู่ชิงเฟิงและเหล่าขุนนางผู้จงรักภักดี เมืองชิงหลิวและหัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างผาสุกแต่เหรียญย่อมมีสองด้าน...ความร่ำรวยดึงดูดสายตาของเหล่าโจรป่าผู้หิวโหย ภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาเริ่มคุกคามเส้นทางการค้าและการสัญจรของชาวบ้าน สร้างความปั่นป่วนไปทั่วแคว้นภายในจวนเจ้าเมือง “กราบทูลท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ! แม้แคว้นเราจะมั่งคั่งขึ้น แต่ปัญหาโจรป่ากลับหนักหนาสาหัสขึ้นพ่ะย่ะค่ะ พวกมันกล้าดียิ่งขึ้น ดักปล้นขบวนสินค้าและชาวบ้านตามเส้นทางสำคัญๆ ทำให้การค้าชะงักงันพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพซ่งยืนกรานสีหน้าเคร่งเครียดฉู่ชิงเฟิงขมวดคิ้ว “แล้วกองทัพเล่า ท่านแม่ทัพมีกำลังไม่เพียงพอหรืออย่างไร”แม่ทัพซ่งถอนหายใจหนัก “กำลังพลมีจำกัดพ่ะย่ะค่ะ ทหารหลวงหนึ่งพันนายต้องกระจายกำลังดูแลสี่หัวเมือง อีกทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายอย่างก็เริ่มชำรุดทรุดโทรม เพราะสงบศึกมานานหลายปี ทหารเองก็ขาดการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ทำให้ความแข็งแกร่งลดลงพ่ะย่ะค่ะ”“ปัญหาใหญ่จริงๆ นั่นแหละท่านแม่ทัพ เปิ่นหวางเข้าใจดี” ฉู่ชิงเฟิงหันไปมองเหวินจ







