Se connecter“ว่ายังไงล่ะ อึ้งไปเลยสินะ ทีนี้ยังคิดอยู่อีกหรือไม่ว่าพวกข้าจะขโมยของของเจ้า” หลินอ้ายยืดอกกล่าวอย่างสาแก่ใจที่เห็นคนอึ้งจนพูดไม่ออก
“ขออภัยคุณหนูหลินด้วยที่ข้าเสียมารยาท” ฉู่ชิงเฟิงยอมอ่อนข้อให้หลินอ้าย เพราะหากเขาต้องการหายตัวไปสักพัก การซ่อนตัวอยู่กับหลินเสี่ยวหรานน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด เพราะหากเขาต้องการกลับคืนสู่ฐานะ ก็สามารถแสดงตัวเพื่อแจ้งข่าวกับทางการได้โดยง่าย ทั้งยังไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายข้างนอก
“ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะหมายความเยี่ยงนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” หลินเสี่ยวหรานยิ้มตอบ ท่าท่างเข้าอกเข้าใจของนางทำให้ฉู่ชิงเฟิงนึกอยากรู้จักบุตรสาวคนนี้ของอัครเสนาบดีขึ้นอีกหลายเท่า
“ข้าได้รับรู้ถึงจิตใจอันกว้างขวางของคุณหนูหลินแล้ว รับรองว่าบุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลย และจะตอบแทนคุณหนูอย่างดีแน่นอน” ฉู่ชิงเฟิงพูดจากใจจริง
“เรื่องตอบแทนบุญคุณอะไรนั่น ไว้เจ้ารักษาตัวจนหายดีแล้วค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนก่อน”
“ได้ ข้าจะพักผ่อนเยอะๆ จะได้หายไวๆ” พูดจบฉู่ชิงเฟิงก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย
หลินเสี่ยวหรานยื่นชามโจ๊กที่ว่างเปล่าให้หลินอ้าย เสร็จแล้วนางก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้คนป่วยได้พักผ่อน
ครั้นออกจากห้องแล้ว หลินเสี่ยวหรานก็ลอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการช่วยเหลือคนในครั้งนี้ของนางคงยืดเยื้อต่อไปอีกสักพัก แต่ลำพังนางกับคนของตัวเองอยู่ด้วยกันห้าคนค่าใช้จ่ายในบ้านยังแทบไม่พอ นี่ยังมีคนอ้วนท่าทางจะกินจุปานนั้นมาอยู่เพิ่มอีกคน แล้วนางจะดูแลทุกคนไหวได้เยี่ยงไรกันนะ
นางหวังเหลือเกินว่าเขาจะนึกอะไรออกในเร็ววัน...ยิ่งถ้าสิ่งที่นึกออกจะช่วยเพิ่มเงินทองให้กับนางได้บ้างก็จะยิ่งดีไม่น้อยเลย
เนื่องจากสลบไสลไปหลายวัน ร่างกายของฉู่ชิงเฟิงจึงเพียงไร้เรี่ยวแรงไปเท่านั้น ครั้นได้กินอาหารกับยาบำรุง กำลังวังชาของชายหนุ่มจึงค่อยๆ กลับมา ส่วนแผลภายนอกที่ไม่ได้สาหัสอะไรนัก หลังจากนอนพักรักษาตัวต่ออีกระยะหนึ่งก็สามารถเอาผ้าพันแผลทั้งหมดออกได้ ยามนี้จึงนับได้ว่าเขากลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว
หลังจากตรวจจนมั่นใจ หมอชราก็มิได้จ่ายใบสั่งยาใดๆ ให้ฉู่ชิงเฟิงเพิ่ม ทั้งยังบอกกับหลินเสี่ยวหรานว่าตนไม่จำเป็นต้องออกจากเมืองมาตรวจอาการของเขาอีกแล้ว หลินเสี่ยวหรานได้ฟังก็ร้อนใจยิ่ง
“ท่านหมอ ถึงแผลจะหายดีแล้ว แต่เขายังจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ท่านจะไม่มารักษาต่อได้อย่างไร”
“เรื่องรักษาความจำนั้นเป็นสิ่งยากลำบากยิ่ง ถึงข้าจะเคยรักษาคนมามากมาย แต่อาการแบบนี้ข้าเพิ่งเจอเป็นคนที่สามเท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าขอถามท่านหมอ คนไข้สองคนของท่านก่อนหน้านี้ พวกเขาหายดีแล้วใช่หรือไม่”
หมอชราตอบด้วยสีหน้าหนักใจ “คนแรกบาดเจ็บรุนแรงจนกลายเป็นคนเขลา ส่วนคนที่สองโชคดีหายเป็นปกติ แต่กว่าจะจำอะไรได้ก็ผ่านไปหลายปีทีเดียว”
“ละ...หลายปี!”
“คุณหนูอย่าเพิ่งวิตกเกินไป อาการแบบนี้ความหนักเบาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความบาดเจ็บ ข้าก็รักษาเขาจนสุดความสามารถแล้ว ส่วนบาดแผลก็มิได้สาหัสดังคนไข้สองคนก่อน แต่เขาจะระลึกว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหนได้เมื่อใด คงต้องแล้วแต่สวรรค์”
หลินเสี่ยวหรานแทบลมจับ ลำพังแค่เดือนเดียวที่ชายอ้วนอยู่ที่นี่ นางก็ต้องเสียทั้งอีแปะทั้งตำลึงเงินสำหรับการรักษาเขาไปมากมาย แต่เพราะมั่นใจว่าเสื้อผ้ากับเครื่องประดับพวกนั้นคือทองคำและไหมชั้นดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นเพของเขาน่าจะมาจากตระกูลที่มีฐานะ ทำให้นางยอมออกค่ารักษาเขาอย่างเต็มที่ ด้วยหวังว่าหากความทรงจำของเขากลับมา นางจะไปเรียกร้องค่ารักษาที่นางสำรองจ่ายไปก่อนคืนทีหลังได้
แต่ถ้ายังต้องเลี้ยงชายอ้วนกินจุต่อไปแบบไม่มีจุดหมาย นางก็คงไม่ไหวเช่นกัน
“ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้วจริงๆ หรือท่านหมอ”
หมอชราครุ่นคิดสีหน้าหนักใจ แล้วพูดว่า “จากที่ข้าศึกษาเรื่องเหล่านี้มา มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีจุดลมปราณที่ติดขัดเดินไม่สะดวก หากต้องการให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น คุณหนูหลินต้องให้เขาทำงานประเภทที่ใช้กำลัง อาหารการกินเน้นพวกผักสมุนไพรที่มีประโยชน์ และทุกๆ หนึ่งเดือน ท่านก็พาเขาไปฝังเข็มที่โรงหมอของข้า”
หลินเสี่ยวหรานได้ฟังก็ใจห่อเหี่ยว
การรักษาที่ใช้เงินมากที่สุดไม่ใช่ค่ายา แต่เป็นการฝังเข็ม แต่ด้วยทำแล้วได้ผลค่อนข้างดีคนที่มีกำลังทรัพย์มากพอจึงยินดีจ่าย ซึ่งผิดกับนาง
ถึงกระนั้นก็ยังพอมีเวลาอยู่ นางจึงสงบอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน แล้วปลอบตนเองในใจว่า ‘เอาไว้ค่อยคิดอีกทีแล้วกันว่าจะหาเงินค่าฝังเข็มมาจากที่ใด’
หมอชราเห็นหลินเสี่ยวหรานเงียบไป จึงถามนางอีกครั้ง “คุณหนูหลินยังมีเรื่องอะไรจะถามข้าอีกหรือไม่”
“มะ...ไม่มี ขอบคุณท่านหมอที่ชี้แนะ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เดือนหน้าคุณหนูหลินก็อย่าลืมพาเขาไปฝังเข็มก็แล้วกัน”
หมอชรากล่าวอำลาพลางกำชับแล้วรีบขึ้นรถม้ากลับเข้าเมือง
หลังส่งคนเรียบร้อย หลินเสี่ยวหรานก็เดินกลับเรือนพักของตนเอง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับคนอ้วนสมองเสื่อมผู้นั้นดี
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย “เพราะอย่างนั้น ข้าเลยไม่เห็นจำเป็นต้องโอ้อวดความสามารถอะไรเลย หลายครั้งที่ข้าช่วยเสนอความคิดต่างๆ กับเสด็จพ่อ และช่วยให้จิ้นอ๋องทำผลงาน ให้เขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ข้าแค่เห็นว่าได้ช่วยให้คนสองคนที่ข้ารักและเคารพได้สมปรารถนา ได้เติบโตในเส้นทางของพวกเขาก็ถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ข้ามีความสุขมากนะเมื่อได้เห็นพวกเขามีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศอะไรให้ใครรู้เลย”หลินเสี่ยวหรานฟังแล้วใจอ่อนยวบ ความคิดของฉู่ชิงเฟิงนั้นสูงส่งและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าที่นางคิดไว้มากนัก นางรู้สึกละอายใจที่เคยมองเขาเพียงผิวเผิน“เข้าใจแล้วเพคะ” นางพึมพำ ก่อนจะถามคำถามต่อไป “แล้ววรยุทธ์เล่าเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องมีวรยุทธ์ แต่หม่อมฉันคิดว่าแค่พอป้องกันตัวได้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะเก่งกาจราวเทพสงคราม จนสามารถปราบโจรป่าได้ราบคาบในพริบตา”“เทพสงครามอะไรกันเล่าหรานเอ๋อร์” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหน้า เขาปฏิเสธคำชมนั้นอย่างรวดเร็ว “ที่ต้องฝึกวรยุทธ์ก็เพราะถูกบังคับให้ฝึกน่ะสิ ข้าไม่ชอบด้วยซ้ำ เพราะมันเหนื่อยจะตายไป”เขาบ่นอุบอิบ “ที่พอจะดีหน่อยก็คือเรื่องยิงธนูนั่นแหละ เพราะแค่ยื
หลังจากเหตุการณ์ปราบโจรป่าครั้งใหญ่ที่จบลงไปอย่างน่าตื่นตะลึง หลินเสี่ยวหรานยังคงรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ถ่วงอยู่ในอก ภาพของฉู่ชิงเฟิงที่พลิ้วไหวกระบี่ดุจเทพสงคราม และเงาร่างของหลานเหมยที่ปลิดชีพศัตรูอย่างเลือดเย็นวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของนางตลอดเวลา มันเป็นภาพที่แตกต่างจาก ‘ท่านอ๋องว่างงานผู้ใจดี’ ที่นางรู้จักมาโดยสิ้นเชิงความรู้สึกเหมือนถูกปิดบัง คล้ายเขายังคงเป็นคนแปลกหน้าเกาะกินใจนาง ทำให้นางไม่สามารถร่าเริงได้เหมือนเคยบรรยากาศในจวนดูเหมือนจะปกติ แต่ความอึดอัดบางอย่างลอยอบอวลอยู่ระหว่างโซ่วอ๋องกับพระชายา หลินเสี่ยวหรานพยายามทำตัวปกติ ทว่าความเงียบที่เข้าปกคลุมระหว่างพวกเขามักจะหนักอึ้งอยู่เสมอฉู่ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของพระชายาของเขามาตลอดหลายวัน ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววกังวล“หรานเอ๋อร์ วันนี้อากาศดีนัก ข้าเห็นว่าเจ้าดูไม่ค่อยสบายใจ ไยเราไม่ออกไปเดินเล่นในตลาดสักหน่อยเล่า เผื่อจะช่วยให้ใจเจ้าผ่อนคลายขึ้นบ้าง”หลินเสี่ยวหรานวางผ้าปักในมือลงช้าๆ พลางเงยหน้ามองเขา “เพคะท่านอ๋อง” นางตอบรับเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความห่างเหิน แม้ในใจจะรู้สึกว่าการไปเดินตลาดอาจไม่ได้ช
เขาเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาฉู่ชิงเฟิง ทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าทันที “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน... หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉัน... หม่อมฉันไม่เคยคิดเลยว่าท่านอ๋องจะ... ทรงเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารบ้านเมือง หรือวรยุทธ์ ท่านคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกระหม่อมเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสารภาพว่าตลอดมากระหม่อมอิจฉาท่าน ไม่ยอมรับในความสามารถของท่าน แต่บัดนี้... กระหม่อมยอมรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านคือผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง หลี่เจิ้นขอถวายชีวิตรับใช้ท่านอ๋องตลอดไป และจะเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านอ๋องแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”น้ำเสียงของหลี่เจิ้นสั่นเครือด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกอย่างแท้จริง แววตาที่มองฉู่ชิงเฟิงเปี่ยมไปด้วยความเคารพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับเขาได้พบกับเทพเจ้าที่พร้อมจะยอมอุทิศตนเองให้ฉู่ชิงเฟิงมองหลี่เจิ้นนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ และยื่นมือไปประคองเขาให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถิดท่านรองเจ้าเมือง เพียงท่านเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เปิ่นหวางทำเพื่อแคว้นก็พอแล้ว เรื่องที่ผ่านมาเปิ่นหวางไม่เคยติดใจ” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ภายในใจของฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงชัยช
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ฉู่ชิงเฟิงพลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากเงามืดอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ราวกับพายุที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่ง เขาเหลือบมองไปยังทิศทางนั้นโดยไม่ละสายตาจากศัตรูเบื้องหน้า“หลานเหมย...” เสียงของฉู่ชิงเฟิงต่ำลง แต่หนักแน่นเด็ดขาด “ไประบายโทสะของเจ้าได้”สิ้นคำสั่งนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏกายขึ้นจากเงามืด ราวกับภูตผีที่โผล่พ้นจากนรกานต์ นางสวมชุดองค์รักษ์สีดำสนิท ปกปิดทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งใบหน้าก็ถูกผ้าคลุมสีดำทมึนบดบังไว้จนมิดชิด เห็นเพียงประกายเย็นเยียบและดุดันที่ลอดผ่านช่องแคบของผ้าคลุมเท่านั้น รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างของนางเข้มข้นจนบรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือก เสียงกรีดร้องของโจรที่ดังระงมอยู่แล้ว กลับทวีความน่าหวาดกลัวขึ้นเมื่อเงาร่างสีดำนั้นเริ่มเคลื่อนไหว การโจมตีของนางรวดเร็ว ไร้ความปรานี และเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับยมทูตที่มาทวงวิญญาณทันใดนั้นเอง นางก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างกายที่เคยสงบนิ่งบัดนี้กลับบ้าคลั่งราวกับสัตว์ร้ายที่หลุดออกจากกรงขัง นางพุ่งเข้าใส่กลุ่มโจรที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เสียง
“เรียนท่านอ๋อง... พระชายาและท่านรองเจ้าเมือง... ถูกจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของเขาขาดห้วง ร่างของเฉาเหมยในอ้อมแขนซีดเผือดไร้ชีวิตชีวา พิษกำลังแล่นเข้าสู่หัวใจทันทีที่เห็นสภาพของเฉาเหมยที่ถูกนำกลับมาในสภาพปางตาย ฉู่ชิงเฟิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเห็นธนูพิษที่ปักอยู่บนแขนของนาง ดวงตาคมกริบฉายแววเป็นห่วงปนโทสะ“ใครก็ได้! ไปตามหมอหลวงมาดูอาการเฉาเหมยเดี๋ยวนี้” ฉู่ชิงเฟิงตะโกนเสียงดังลั่น ในขณะที่หมอหลวงกำลังเดินทางมาอย่างเร่งด่วนในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงจนน่าสะพรึง มันแผ่ออกมาจากเงามืดในมุมหนึ่งของห้องโถง แม้จะไร้ซึ่งเสียงและตัวตนที่มองเห็น แต่จิตสังหารนั้นก็เข้มข้นจนทำให้เส้นผมบนแขนของเขาลุกชัน เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้มาจากใคร หลานเหมยคงเดือดดาลอย่างถึงที่สุดที่ได้เห็นสภาพปางตายของผู้เป็นน้องสาว จิตสังหารที่แผ่ออกมานั้นไม่ใช่แค่ความโกรธแค้น แต่มันคือคำประกาศกร้าวว่า ‘จะไม่มีใครรอด’ และผู้ที่บังอาจทำร้ายน้องสาวของนางจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตอย่างสาสมจากนั้นองครักษ์ผู้รอดชีวิตก็ยื่นจดหมายที่กำแน่นในมือให้ฉู่ชิงเฟิง เขาหยิบมาคลี่ออกอ่าน แววตา
หนึ่งปีแห่งความรุ่งเรืองของแคว้นหลิงหลงได้ผ่านไป ภายใต้การบริหารของฉู่ชิงเฟิงและเหล่าขุนนางผู้จงรักภักดี เมืองชิงหลิวและหัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างผาสุกแต่เหรียญย่อมมีสองด้าน...ความร่ำรวยดึงดูดสายตาของเหล่าโจรป่าผู้หิวโหย ภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาเริ่มคุกคามเส้นทางการค้าและการสัญจรของชาวบ้าน สร้างความปั่นป่วนไปทั่วแคว้นภายในจวนเจ้าเมือง “กราบทูลท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ! แม้แคว้นเราจะมั่งคั่งขึ้น แต่ปัญหาโจรป่ากลับหนักหนาสาหัสขึ้นพ่ะย่ะค่ะ พวกมันกล้าดียิ่งขึ้น ดักปล้นขบวนสินค้าและชาวบ้านตามเส้นทางสำคัญๆ ทำให้การค้าชะงักงันพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพซ่งยืนกรานสีหน้าเคร่งเครียดฉู่ชิงเฟิงขมวดคิ้ว “แล้วกองทัพเล่า ท่านแม่ทัพมีกำลังไม่เพียงพอหรืออย่างไร”แม่ทัพซ่งถอนหายใจหนัก “กำลังพลมีจำกัดพ่ะย่ะค่ะ ทหารหลวงหนึ่งพันนายต้องกระจายกำลังดูแลสี่หัวเมือง อีกทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายอย่างก็เริ่มชำรุดทรุดโทรม เพราะสงบศึกมานานหลายปี ทหารเองก็ขาดการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ทำให้ความแข็งแกร่งลดลงพ่ะย่ะค่ะ”“ปัญหาใหญ่จริงๆ นั่นแหละท่านแม่ทัพ เปิ่นหวางเข้าใจดี” ฉู่ชิงเฟิงหันไปมองเหวินจ







